ชายที่รวยที่สุดในโลกเช่น เจฟฟ์ เบโซส (Jeff Bezos) อีลอน มัสก์ (Elon Musk) จอร์จ โซรอส (George Soros) และวอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) จ่ายค่าภาษีแค่ส่วนเสี้ยวเดียวของสินทรัพย์ของพวกเขา และในบางช่วงก็ไม่ได้จ่ายเลยด้วยซ้ำ!
สำนักข่าว ProPublica เปิดเผยรายงานว่า เศรษฐีชาวอเมริกันที่รวยที่สุดในประเทศจำนวน 25 คน มีสินทรัพย์มูลค่าเพิ่มขึ้นเกือบ 4 แสนล้านเหรียญ (ประมาณ 12.5 ล้านล้านบาท) จากปี 2014 ถึง 2018 แต่พวกเขากลับจ่ายภาษีเพียงแค่ 13,600 ล้านเหรียญ (ประมาณ 420,000 ล้านบาท) คิดเป็นสัดส่วนการเสียภาษีแค่ 3.4% เท่านั้น
ในขณะเดียวกันค่าเฉลี่ยของประชากรในสหรัฐอเมริกาต้องจ่ายค่าภาษีประมาณ 70,000 เหรียญต่อปี (2,180,000 บาท) หรือคิดเป็นสัดส่วนการเสียภาษีเท่ากับ 14% ของรายได้ โดยอัตราการเสียภาษีที่สูงที่สุดนั้นอยู่ที่ 37%
ProPublica ระบุว่า ความแตกต่างระหว่างเศรษฐีเหล่านี้กับคนปกติอยู่ที่รายได้ส่วนมากของพวกเขาไม่ได้มาจากเงินเดือนเหมือนคนปกติ ทำให้มีกลวิธีมากมายที่จะหลีกเลี่ยงภาษีได้มากมายแตกต่างจากคนทั่วไป
จากการคำนวณของ ProPublica ทำให้พบตัวเลขที่น่าตกใจอย่างมาก โดยพวกเขาพบว่าบัฟเฟตต์เสียภาษีในสัดส่วนเท่ากับ 0.1% เท่านั้น! โดยในระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2014 – 2018 เขามีสินทรัพย์เพิ่มขึ้น 24,300 ล้านเหรียญ แต่กลับจ่ายค่าภาษีแค่ 23.7 ล้านเหรียญเท่านั้น
เจฟฟ์ เบโซส เจ้าของบริษัท Amazon ที่ขณะนี้เป็นชายที่รวยที่สุดในโลกก็จ่ายภาษีเพียงแค่ 1% คิดเป็นเงิน 973 ล้านเหรียญ ในขณะที่เขามีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นถึง 99,000 ล้านเหรียญ! ไม่เพียงเท่านั้น ProPublica ยังรายงานเพิ่มเติมอีกว่า ในปี 2007 เบโซสไม่ได้จ่ายเงินค่าภาษีเลยซักเหรียญเดียว!
คาร์ล ไอคาห์น (Cark Icahn) นักธุรกิจชาวอเมริกัน ผู้ก่อตั้ง Icahn Enterprises ให้สัมภาษณ์กับ ProPublica ในประเด็นการไม่เสียภาษีว่า เขาสามารถลดหย่อนภาษีได้จากการจ่ายค่าดอกเบี้เงินกู้จำนวนมหาศาล โดยอธิบายเพิ่มเติมเรื่องภาษีเงินได้ (income tax) ว่า “มีเหตุผลที่มันถูกเรียกว่า ภาษีเงินได้ (income tax) อยู่ นั่นหมายความว่า ถ้าคุณเป็นคนจน คนรวย หรือหากคุณคือบริษัท Apple ถ้าคุณไม่มีรายได้ (income) คุณก็ไม่ต้องจ่ายภาษี!”
อ้างอิง: CNBC
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส