หลังจากที่ ‘สินมั่นคงประกันภัย’ ออกมาชี้แจงผ่านแฟนเพจของบริษัทว่าจะมีการยกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยการติดเชื้อไวรัสโคโรนาแบบ ‘เจอ จ่าย จบ’ หรือ COVID 2 in 1 โดยจะให้กรมธรรม์ประกันภัยข้างต้นสิ้นสุดความคุ้มครองทั้งฉบับเมื่อพ้นกำหนดเวลา 30 วัน หลังผู้เอาประกันได้รับหนังสือเป็นต้นไป ซึ่งทางบริษัทจะคืนเบี้ยประกันภัยให้้เสร็จภายใน 15 วัน และจะหักเบี้ยประกันสำหรับระยะเวลาที่กรมธรรม์ประกันภัยได้ใช้บังคับมาแล้วออกตามส่วน

ล่าสุด ทาง คปภ. หรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยได้สั่งห้าม ‘สินมั่นคง’ ยกเลิกประกันภัยโควิดประเภท เจอ จ่าย จบ เพราะนั่นเป็นการเอาเปรียบประชาชนและเพื่อเป็นการให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนเหมือนเดิมด้วย โดยถ้าหากสินมั่นคงไม่ยอมทำตาม ทางคปภ.จะใช้มาตรการบังคับให้สินมั่นคงต้องรับการเคลมประกันในส่วนของกรมธรรม์ดังกล่าว ซึ่งเป็นอำนาจทางกฎหมาย

จากเอกสารผลประกอบการของสินมั่นคงพบว่าบริษัทมีมูลค่าทั้งสิ้น 7,450 ล้านบาท ซึ่งมาจากการประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่ ประกันภัยรถยนต์ ประกันอัคคีภัย ประกันภัยทางทะเลและขนส่งและประกันภัยเบ็ดเตล็ด
รายได้ 3 ปีย้อนหลังของบริษัทสินมั่นคงค่อนข้างทรงตัว โดยเมื่อปี 2561 มีรายได้ 10,020 ล้านบาทและได้กำไรไปทั้งสิ้น 749 ล้านบาท ซึ่งปี 2562 มีรายได้ 11,375 ล้านบาท ส่วนกำไรอยู่ที่ 677 ล้านบาทและปี 2563 มีรายได้ 10,413 ล้านบาทและกำไร 757 ล้านบาท
ซึ่งเมื่อปี 2563 ประเทศไทยต้องพบเจอกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ทำให้หลายธุรกิจเริ่มได้รับผลกระทบ แต่ธุรกิจด้านประกันภัยกลับเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการขายกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19
ในปี 2563 อุตสาหกรรมประกันวินาศภัยมีอัตราการเจริญเติบโตร้อยละ 3.9 ส่วนบริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับ 9,762.7 ล้านบาท ลดลงร้อยละ13.2 เมื่อเทียบกับปี 2562 แต่เนื่องจากมีประสิทธิภาพการพิจารณารับประกันภัย และการบริหารต้นทุนที่ดีทำให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 757.4 ล้านบาท ในปี2563 เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ร้อยละ 11.8
แม้ว่าบริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากผลตอบแทนการลงทุนที่ลดลง เนื่องจากผลกระทบของเศรษฐกิจมหภาค ในส่วนของเงินกองทุน บริษัทฯ ยังคงมีเงินกองทุนที่แข็งแกร่งพร้อมที่จะขยายธุรกิจให้เจริญก้าวหน้าเมื่อโอกาสเอื้ออำนวย โดยมีอัตราส่วนของเงินกองทุนต่อเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฎหมาย ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 เท่ากับร้อยละ 456.6

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส