หลังจากที่คณะลูกขุนศาลประจำเมืองแฟร์แฟกซ์ (Fairfax) รัฐเวอร์จิเนีย (Virginia) สหรัฐอเมริกา ได้ตัดสินให้ ‘จอห์นนี เดปป์’ (Johnny Depp) ชนะคดีในการฟ้องร้อง ‘แอมเบอร์ เฮิร์ด’ (Amber Heard) อดีตภรรยา ในข้อหาหมิ่นประมาท เมื่อวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา จากบทความ ‘I spoke up against sexual violence — and faced our culture’s wrath. That has to change.’ ที่เธอเขียนให้กับเว็บไซต์วอชิงตันโพสต์ (Washington Post) ที่มีเนื้อหาพาดพิงว่า เธอคือเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวที่เกิดขึ้นจากอดีตสามี
จากผลของคดีที่ตัดสิน ย่อมมีผลกระทบทำให้ชีวิตของอดีตคู่รักคู่นี้เปลี่ยนไปอย่างแน่นอนไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่ง ทั้งจากการที่ทั้งสองฝ่ายเองต่างก็เสื่อมเสียชื่อเสียง และสูญเสียหน้าที่การงานในฮอลลีวูดอยู่ไม่น้อย รวมทั้งผลจากการจ่ายค่าเสียหายก้อนใหญ่ที่อาจทำให้ฐานะทางการเงินของทั้งสองฝ่ายเปลี่ยนไป รวมทั้งหากทางทนายฝั่งเฮิร์ด ต้องการที่จะยื่นอุทธรณ์ ก็อาจจะทำให้คดีนี้ไม่อาจจบลงง่าย ๆ อย่างที่คาดเอาไว้
‘แอมเบอร์ เฮิร์ด’ จะจ่ายเงินค่าเสียหายได้หรือไม่ ?
หลังจากที่คณะลูกขุน 7 คนได้ใช้เวลา 3 วันในการพิจารณาคดีหมิ่นประมาท และผลการตัดสินของคณะลูกขุนมีผลทำให้การที่เฮิร์ดเขียนบทความอ้างว่าเป็นเหยื่อการใช้ความรุนแรงทางเพศ รวมทั้งคำแถลงการณ์ปัญหาชีวิตสมรสของเธอต่อศาลนั้นฟังไม่ขึ้น ทำให้เข้าข่ายเป็นการหมิ่นประมาท
จากคำตัดสินคดีนี้ ทำให้เฮิร์ดถูกเรียกค่าเสียหายแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ค่าเสียหายในรูปแบบค่าสินไหมทดแทน (ค่าเสียหายตามจริง) ประมาณ 10 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 340 ล้านบาท) และได้รับค่าเสียหายเชิงลงโทษ (ค่าเสียหายทางแพ่ง) อีก 5 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 170 ล้านบาท) รวมทั้งหมดประมาณ 15 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ (510 ล้านบาท) จากเดิมที่เดปป์เรียกร้องไว้ 50 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ (1,717 ล้านบาท)
ส่วนทางฝั่งเฮิร์ด ก็ชนะในการฟ้องกลับเดปป์ข้อหาหมิ่นประมาท จากการที่ทนายความของเดปป์กล่าสหาว่าเฮิร์ดเป็นคนโกหกเรื่องการเป็นเหยื่อความรุนแรง โดยเฮิร์ดจะได้รับเงินค่าสินไหมทดแทน ที่ฝั่งเดปป์จะต้องจ่ายให้เธอ 2 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 68 ล้านบาท) จากเดิมที่เรียกไว้ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เนื่องจากในส่วนที่คณะลูกขุนเห็นพ้องกันว่า เดปป์ได้กล่าวหาว่าเฮิร์ดเป็นคนที่จัดฉากห้องเสมือนว่าถูกเดปป์ทำร้าย ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเดินทางมาตรวจสอบที่บ้านของเธอ
หลังคำตัดสินของศาล ‘อีเลน เบรดฮอฟต์’ (Elaine Bredehoft) ฝ่ายกฏหมายของเฮิร์ด ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในรายการ Today ทางสถานีโทรทัศน์ NBC ในคืนวันที่ 1 มิถุนายนว่า เฮิร์ดในฐานะลูกความ จะขอยื่นอุทธรณ์ในคดี เนื่องจากเฮิร์ดยังมีหลักฐานอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้นำมาประกอบหลักฐานในชั้นศาล และศาลก็มีการนำสิ่งที่ไม่สมควรเปิดเผยเข้ามาในการพิจารณาคดีด้วย ซึ่งอาจทำให้ลูกขุนในศาลเกิดความสับสน
และเธอยังมองว่า คณะลูกขุนถูกโน้มน้าวจากกระแสความคิดเห็นบนโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะใน TikTok ที่โจมตีเฮิร์ดเป็นจำนวนมาก ที่อาจส่งผลต่อรูปคดี ทำให้ลูกขุนถูกโน้มน้าวจิตใจให้เข้าข้าง และตัดสินให้ฝั่งเดปป์ชนะ
“คณะลูกขุนไม่ควรจะเสพโซเชียลมีเดียเลย แต่จะไปห้ามก็คงไม่ได้ เพราะพวกเขาต้องกลับบ้าน พวกเขามีครอบครัว และครอบครัวของเขาก็มีโซเชียลมีเดีย จะเว้นก็แค่ตอนที่พักการพิจารณาคดี 10 วันที่ลูกขุนต้องประชุมกัน เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะไม่ได้รับอิทธิพลจากมัน ซึ่งมันแย่ และเป็นอะไรที่ลำเอียงมาก
“ฉันขอคัดค้านไม่ให้มีกล้องถ่ายทอดสดในการพิจารณาคดี ฉันพยายามโต้เถียงในจุดยืนเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะมันมีความละเอียดอ่อน มันทำให้พวกเราเหมือนอย่างกับอยู่ในสวนสัตว์เลย” นอกจากนี้ยังเปิดเผยว่า เฮิร์ดไม่น่าจะสามารถจ่ายค่าเสียหายจำนวน 10.35 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ให้แก่เดปป์ได้
แม้สถานการณ์ทางการเงินของเฮิร์ดจะยังไม่เป็นที่เปิดเผย แต่จากคำให้การในการพิจารณาคดี ชี้ให้เห็นว่า อาชีพการงานของเธอต้องหยุดชะงักลงเนื่องจากการต่อสู้คดีกับอดีตสามี แม้เธอจะยังได้รับค่าตัวจากการแสดงภาพยนตร์และผลงานทางโทรทัศน์มาโดยตลอด โดยเฉพาะที่ทางทนายของเฮิร์ดได้เปิดเผยว่า ในภาพยนตร์ ‘Aquaman 2’ หรือ ‘Aquaman and the Lost Kingdom’ ที่เธอรับบท ‘เมรา’ (Mera) เธอจะได้รับค่าตัว 2 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ตามสัญญา
แต่จากรูปคดีและภาพลักษณ์ที่เสียหาย เธอก็อาจต้องเผชิญความเสี่ยงที่ วอร์เนอร์ บราเธอร์ส พิกเจอร์ส (Warner Bros. Pictures) อาจลดบทบาท หรือปลดเธอออกจากภาพยนตร์ (ตามที่ผู้บริหารให้เหตุผลว่า เคมีของเธอกับนักแสดงหลักไม่เข้ากัน) อีกทั้งทนายของเฮิร์ดยังกล่าวอ้างว่า ในการฟ้องร้องครั้งนี้ ทำให้เธอเสียโอกาสรับงานแสดงภาพยนตร์เรื่องใหม่ของ แอมะซอน สตูดิโอ (Amazon Studios) ไปอีกด้วย
รวมทั้งจากกรณีที่ ‘เทอร์เรนซ์ โดเฮอร์ตี’ (Terence Dougherty) ผู้บริหารและที่ปรึกษาของหน่วยงานไม่แสวงหากำไร ‘สหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน’ (ACLU) ที่ได้ให้การต่อศาลว่า เฮิร์ดสัญญาว่าจะมอบเงินจากการชนะคดีความที่ฟ้องเดปป์ในอังกฤษ (ในกรณี The Sun) เป็นจำนวน 7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อการกุศลนั้น
กลับกลายเป็นว่า เฮิร์ดกลับโอนเงินบริจาคแบบทยอยจ่ายทีละก้อน ๆ รวมทั้งหมดเพียง 1.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เท่านั้น (และเงินบางก้อนพบว่า ถูกสั่งจ่ายจาก ‘อีลอน มัสก์’ (Elon Musk) ด้วย) จนกระทั่งมีข่าวว่า เดปป์ได้เซ็นเช็กสั่งจ่ายเงินเข้าองค์กรการกุศล 2 แห่งในชื่อของเฮิร์ดโดยตรงจนครบตามจำนวนด้วยตนเอง โดยไม่ได้ผ่านมือเธอเลย นั่นจึงทำให้มีการคาดการณ์ว่า เฮิร์ดจะยังมีความสามารถในการจ่ายค่าเสียหายต่อไปหรือไม่
ตามบทความของ CBS ได้ระบุว่า เฮิร์ดยังสามารถใช้เงื่อนไขตามกฏหมายในการจ่ายค่าเสียหายก้อนนี้ได้ เช่น หากต้องการจะอุทธรณ์จริง ๆ ตามแผนที่ทนายได้เปิดเผย เฮิร์ดอาจต้องวางหลักทรัพย์เต็มจำนวนพร้อมดอกเบี้ยเพื่อวางประกันแก่ศาล หรือหากไม่สามารถวางเงินประกันได้ ศาลอาจใช้วิธีอายัดทรัพย์สินและรายได้บางส่วน หากพบว่าเฮิร์ดยังมีศักยภาพในการหารายได้อยู่
หรือในกรณีที่เฮิร์ดอาจมีทรัพย์สินไม่เพียงพอ จนอาจต้องใช้วิธีการฟ้องล้มละลาย ซึ่งอาจทำให้ค่าเสียหายลดลงได้บางส่วน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะกฏหมายล้มละลายระบุว่า ลูกหนี้ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบค่าเสียหายที่เกิดจากการจงใจกระทำความเสียหายต่อเจ้าหนี้โดยเจตนา รวมทั้งยังต้องจ่ายค่าเสียหายในเชิงลงโทษตามเดิม
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เดปป์ในฐานะผู้ชนะคดี อาจตัดสินใจคัดค้านกระบวนการเหล่านี้ หรืออาจยอมเจรจาไกล่เกลี่ย เพื่อให้เฮิร์ดสามารถปรับลดค่าเสียหายลง หรือละเว้นไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายก็ได้ หากเดปป์เองรู้สึกว่า สามารถเรียกร้องความยุติธรรม และเรียกคืนชื่อเสียงที่เสียไปกลับมาได้แล้ว
หรือหากเฮิร์ดเลือกที่จะอุทธรณ์ การเจรจาต่อรองเพื่อขอลดเงินค่าเสียหายลง ก็อาจเป็นประเด็นที่ถูกยกขึ้นมาพูดถึงในชั้นศาลได้ในภายหลัง
‘จอห์นนี เดปป์’ จะหวนคืนตำแหน่งนักแสดงแถวหน้าของฮอลลีวูดได้หรือไม่ ?
แม้ในการฟ้องร้องครั้งนี้ เดปป์จะเป็นผู้ถือไพ่เหนือกว่าในฐานะฝ่ายที่ชนะคดี แต่ที่น่าสนใจมากกว่าก็คือ เขาจะได้รับผลกระทบในด้านใดบ้างหลังจากที่คดีความเสร็จสิ้นลง ทั้งจากความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการเสื่อมเสียชื่อเสียงของเขาเอง รวมทั้งรายได้ในฐานะนักแสดงฮอลลีวูดแถวหน้าที่หายไป จากการโดนถอดออกจากแฟรนไชส์ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ และโอกาสที่อาจทำให้เขาอาจยังถูกปฏิเสธบทภาพยนตร์จากสตูดิโอใหญ่ ๆ
‘อเล็กซานดรา วิลลา’ (Alexandra Villa) ผู้เชี่ยวชาญด้านการประชาสัมพันธ์จากบริษัท In House PR ได้ให้ความเห็นกับเว็บไซต์สำนักข่าว Daily Star ว่า แม้ตลอดคดีความที่ผ่านมากว่า 6 ปี เดปป์เปรียบเสมือนเหยื่อที่ถูกพรากชีวิต ความยุติธรรม และชื่อเสียงในระดับ A-List ของเขาไป แต่เขาเองก็ยังคงเป็นที่พูดถึง และชื่นชอบของบรรดาผู้ชมทั่วโลก และจากการเรียกร้องค่าเสียหายในครั้งนี้ อาจทำให้เดปป์กลายเป็นหนึ่งในดาราฮอลลีวูดที่ร่ำรวยที่สุดได้อีกครั้งหนึ่ง
วิลลาได้เผยว่า “ณ ตอนนี้ อาชีพนักแสดงของเดปป์กำลังรุ่งเรือง ไม่ใช่แค่ว่าเขาเป็นผู้กุมหัวใจของผู้ชมทั่วโลก แต่เขาเองสามารถเลือกที่จะแสดงในหนังยักษ์ใหญ่ในอนาคตได้ด้วย” และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ในระหว่างพิจารณาคดี เดปป์เองเป็นผู้ยอมเปิดเผยชีวิตส่วนตัว ทั้งเรื่องดีและเรื่องแย่ต่อศาล เพราะไม่ใช่แค่ต้องการจะเอาชนะคดี แต่ต้องการทวงคืนความยุติธรรมกลับคืนมาสู่เขาเองต่างหาก
และจากกระแสข่าว แม้เขาจะต้องเผชิญกระแสด้านลบ แต่ตัวเขาเองก็ยังคงเป็นดารานักแสดงที่อยู่ในใจผู้ชมเสมอมา สถานีโทรทัศน์ในสหรัฐอเมริกายังคงฉายรีรันภาพยนตร์ ‘Pirates of the Caribbean’ ที่เขาเคยแสดงอยู่เรื่อย ๆ นั่นอาจทำให้เขาสามารถกลับมาเป็นนักแสดงแถวหน้าที่สามารถอัปค่าตัว และทำรายได้สูงที่สุดในโลกได้อีกครั้ง โดยที่ไม่จำเป็นต้องง้อค่ายหนังใหญ่ ๆ อีกต่อไป
แต่ในอีกด้านหนึ่ง เขาเองก็ยังต้องเผชิญกับกระแสด้านลบ และการถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ชายที่ใช้ความรุนแรงต่อครอบครัว กลายเป็น ‘คนทำร้ายภรรยา’ (Wife-Beater) ตามคำที่หนังสือพิมพ์อังกฤษ ‘เดอะ ซัน’ (The Sun) ใช้เรียกเพื่อโจมตีเดปป์ในบทความเว็บไซต์ ที่นำไปสู่การฟ้องร้อง และส่งผลให้เขาแพ้คดีในศาลอังกฤษก่อนหน้านี้
รวมทั้งความเสียหายทางด้านรายได้และโอกาส จากการที่เขาต้องโดนถอดออกจากแฟรนไชส์ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ ทั้ง ๆ ที่เขาเองก็เคยเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้แฟรนไชส์ภาพยนตร์เหล่านี้ประสบความสำเร็จ ทั้งบท ‘เกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์’ ใน ‘Fantastic Beasts’ และบท ‘แจ็ก สแปร์โรว์’ ใน ‘Pirates of the Caribbean’ ซึ่งทีมกฏหมายของเดปป์ได้ให้การกับศาลว่า การถูกถอดบท แจ็ก สแปร์โรว์ ทำให้เดปป์สูญเสียรายได้ราว 23 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
อีกทั้งในระหว่างที่เขากำลังดำเนินการฟ้องร้องหนังสือพิมพ์เดอะซันในปี 2018 ในปีนั้น เขามีผลงานแสดงภาพยนตร์มากถึง 5 เรื่อง แต่หลังจากที่เขาแพ้คดี ทำให้เขามีผลงานการแสดงในปี 2019 และ 2020 เหลือเพียงปีละ 1 เรื่องเท่านั้น รวมทั้งการที่เขาต้องมีค่าใช้จ่ายในการสู้คดี ก็ทำให้เขาสูญเสียรายได้ไปอีกมากพอสมควร
สำนักข่าว AFP ได้กล่าวอ้างความคิดเห็นของโปรดิวเซอร์ฮอลลีวูด (สงวนนาม) ที่เคยร่วมงานกับเดปป์ในอดีต เกี่ยวกับผลกระทบในคดีนี้ว่า “ความเสียหายมันเกิดขึ้นไปแล้ว ต่อจากนี้อาจเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะน่าได้งานใหญ่จากค่ายหนังใหญ่ ๆ ที่ปกติมักมีงานจ่อคิวเยอะแยะอยู่แล้ว ค่ายหนังคงไม่อยากจะทนความล่าช้าจากการเสียเงินไปกับนักแสดงที่ไม่เจิดจรัสเหมือนเดิมอีกต่อไป มันคงดูเสี่ยงเกินไปหน่อยที่จะเอานักแสดงแบบนี้มาแสดงในหนังแฟรนไชส์มูลค่านับพันล้านเหรียญ”
โปรดิวเซอร์รายนี้ยังได้กล่าวอีกว่า ปัจจัยที่จะทำให้เดปป์ไม่สามารถกลับมาเป็นดาราแถวหน้าของฮอลลีวูดได้อีกครั้ง เป็นเพราะ ‘พฤติกรรมที่ไม่เป็นมืออาชีพ’ ที่ทีมกฏหมายของเฮิร์ดได้เปิดเผยต่อศาลและต่อผู้ชมทั่วโลก ทั้งการดื่มสุรา ขว้างขวดสุรา ใช้ยาเสพติด และมักไปกองถ่ายสายบ่อย ๆ
รวมทั้งการส่งข้อความที่กล่าวถึงเฮิร์ดด้วยถ้อยคำรุนแรงไปถึงดาราเพื่อนสนิทอย่าง ‘พอล เบตทานีย์’ (Paul Bettany) ที่โปรดิวเซอร์รายนี้ใช้คำว่า “น่ารังเกียจ” ซึ่งทั้งหมดนี้ อาจทำให้เขาถูกแฟนภาพยนตร์ผู้หญิงที่อ่อนไหวอาจรู้สึกไม่พอใจ ไม่ชอบ และบอยคอตภาพยนตร์ที่เขาแสดง แม้กระแสโดยรวมของคนในโลกโซเชียล และคณะลูกขุนในศาลจะมีความเห็นเอนเอียงไปทางเดปป์เสียเป็นส่วนใหญ่
ถึงกระนั้น โปรดิวเซอร์ก็ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ด้วยบทบาทและฝีมือการแสดงของเขาที่ประหลาด แหวกแนว มีเอกลักษณ์ เดปป์อาจจะได้ไปแจ้งเกิดกับงานแสดงภาพยนตร์นอกกระแส หรือหนังต้นทุนต่ำ แทนภาพยนตร์ฮอลลีวูด และอาจทำให้เขาได้งานแสดงหนังจากในยุโรป เช่นหนังจากฝรั่งเศส หรือเยอรมนี เพราะในยุโรปไม่ค่อยสนใจเรื่องคดีในศาลของเขามากเท่าไร
ที่มา: Dailymail, CBS, LA times, RFI, Daily Star, Today, Variety
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส