Release Date
06/07/2022
Runtime
119 Minutes
Genre
Action Comedy
Director
Taika Waititi
Cast
Chris Hemsworth Natalie Portman Christian Bale Tessa Thompson
Our score
7.8[รีวิว] Thor Love and Thunder – โบ๊ะบ๊ะ โคตรบ้า ครบเครื่อง
จุดเด่น
- เป็นหนัง Marvel ที่ชวนเมื่อยกรามสุดแล้ว ปล่อยมุกไม่ยั้งเลย
- คริสเตียน เบล และ นาตาลี พอร์ตแมน มอบการแสดงที่ดีมาก ๆ ให้หนัง
- งานสร้าง สเปเชียล เอฟเฟกต์ CG ต่าง ๆ ทำได้ยอดเยี่ยมไม่ผิดหวัง
- สกอร์และเพลงประกอบเริ่ดมาก
จุดสังเกต
- มีมุกที่เกี่ยวพันกับเรื่องเซ็กส์ที่ไม่ค่อยเหมาะกับเยาวชนเท่าที่ควร
-
การแสดง
7.9
-
โปรดักชัน
8.0
-
บทหนัง
7.0
-
ความบันเทิง
8.0
-
คุ้มเวลาในการชม
8.0
เรียกได้ว่าเป็นซูเปอร์ฮีโรตัวแรกของมาร์เวล สตูดิโอเลยก็ว่าได้สำหรับ ธอร์ (Thor) ที่ได้มีหนังเรื่องที่ 4 เป็นของตัวเองในชื่อ ‘Thor Love and Thunder’ โดยได้ ไทกา ไวทิทิ (Taika Waititi) ผู้กำกับชาวนิวซีแลนด์ที่เคยกุมบังเหียน ‘Thor Ragnarok’ หนังภาคที่ 3 ของธอร์มาก่อนหน้านี้ โดยจากตัวอย่างหนังเราก็พอจะคาดหวังได้แล้วว่าสิ่งที่จะได้เห็นแน่ ๆ คือการกลับมาของตัวละคร ดร.เจน ฟอสเตอร์ ของนาตาลี พอร์ตแมน (Natalie Portman) ในคราบของฮีโรธอร์คนใหม่และการร่วมทางไปทั่วกาแล็กซีไปกับเหล่า ‘Guardian of the Galaxy’
สำหรับเหตุการณ์หลัก ๆ ใน ‘Thor Love and Thunder’ จะเริ่มที่ความคลั่งแค้นของ กอร์ คุณพ่อที่ต้องสูญเสียลูกสาวไปกับความแร้นแค้น และเทพที่เขาศรัทธาก็หันหลังให้กับเขาจนกระทั่งกอร์ได้สังหารเทพองค์แรกด้วยเนโครซอร์ด กอร์ก็ให้คำมั่นสัญญาว่าจะตามล้างบางเหล่าทวยเทพทั้งปวง ซึ่งภารกิจหลักของกอร์คือการบุกแอสการ์ด ทำให้ ธอร์ วัลคีรี และเจน ฟอสเตอร์ในมาดของไมตี้ ธอร์ ต้องหยุดกอร์ให้ได้ก่อนมันเดินทางไปสู่อีเทอร์นิตี้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งจักรวาลและทำความปรารถนาสุดอำมหิตของมันให้สำเร็จ
เพื่อมิให้เป็นการสปอยล์เนื้อหาและบอกความลับเกินไป รีวิวฉบับนี้ขออนุญาตพูดประเด็นที่น่าสนใจของหนังเป็นข้อ ๆ นะครับ
เรื่องราวเข้มข้นได้เพราะเหล่านักแสดง
ต้องยอมรับว่านอกจากรูปลักษณ์และชื่อเสียงของซูเปอร์ฮีโรที่มาจากคอมิกของธอร์แล้ว การสวมบทบาทของ คริส เฮมส์เวิร์ธ (Chris Hemsworth) ก็เป็นหลักฐานชั้นดีว่าบางคาแรกเตอร์มันก็เลือกนักแสดง ซึ่งนับจากปี 2011 ที่เราได้เห็นพี่เฮมส์เวิร์ธเป็นขุนค้อน ผู้ชมก็ไม่อาจสลัดภาพของเขาออกจากตัวของธอร์ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับล่ะนะครับว่าเสน่ห์เฉพาะตัวของเขาที่สร้างให้กับธอร์เองก็ดันทำให้ผู้ชมชินกับภาพเดิม ๆ จนเราอาจไม่ค่อยเซอร์ไพร์สเท่าไหร่แล้วกับการปรากฎตัวของเขา เอาเป็นว่าเฮมส์เวิร์ธก็ยังเป็นธอร์ที่เรารักได้เหมือนเดิมแหละครับ แถมแฟนเซอร์วิสด้วยฉากโชว์ก้นที่สาว ๆ รอคอยแต่ยังเทียบกับอีก 2 คนที่เราจะพูดถึงไม่ได้
และสำหรับคนแรกที่เราจะพูดถึงก็คือ คริสเตียน เบล (Christian Bale) นักแสดงอังกฤษเจ้าบทบาทที่เคยสวมชุดมนุษย์ค้างคาวมาแล้วในไตรภาค ‘The Dark Knight’ ของค่ายดีซี แต่พอข้ามฝั่งมามาร์เวล เบล ถูกทาตัวขาวใบหน้ามีแผลเป็นเหมือนอสุรกายร่างย่อม ๆ ที่ทรงพลัง แต่เมกอัปและความเป็นแฟนตาซีไม่อาจบดบังฝีมือการแสดงอันเอกอุได้ ไม่แปลกใจเลยที่ไวทิทิ ผู้กำกับเลือกให้เวลาตอนเปิดเรื่องเล่าที่มาความเจ็บปวดของวิลเลียนตัวล่าสุดอย่างกอร์ เพราะเบลสามารถถ่ายทอดความคับแค้นใจ และบาดแผลที่ลูกรักถูกพรากไปได้อย่างหมดจดและทรงพลัง
อีกคนที่อาจไม่ใช่หน้าใหม่แต่เป็นความน่ายินดีกับการกลับมาก็หนีไม่พ้น นาตาลี พอร์ตแมน ที่กลับมารับบท ดร. เจน ฟอสเตอร์ ซึ่งจากตัวอย่างหนังเราคงเห็นกันไปแล้วว่าเธอมาในมาดสุดเท่ แต่ในหนังจริง ที่มาที่ไปของพลังที่ทำให้เธอได้ครองค้อนโยเนียร์ก็ทำให้บทฟอสเตอร์ของเธอคราวนี้เป็นการกลับมาที่ไม่ใช่แค่กิมมิกของเรื่องราว แต่มันยังส่งผลต่อคาแรกเตอร์หลักอย่างธอร์ และที่สำคัญคือมันเติมอารมณ์โรแมนติกให้กับเรื่องราวของหนังได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้หนังยังได้ รัสเซล โครว์ (Russell Crowe) มารับบทซุส ที่ทำคนดูฮาจนหัวไหล่ทรุดไม่น้อย นับว่าเป็นดาราเบอร์ใหญ่ที่ยอมมาเล่นบทติงต๊องได้บันเทิงมาก ๆ ครับ
อารมณ์โบ๊ะบ๊ะไม่เกรงใจกระเพาะ
จริง ๆ อาจจะไม่ใช่ของใหม่สำหรับการมากุมบังเหียนของ ไทกา ไวทิทิ อีกครั้งสำหรับหนัง ธอร์ แต่สำหรับ ‘Thor Love and Thunder’ ไวทิทิดูจะมั่นใจมากขึ้นสำหรับการใส่มุกโบ๊ะบ๊ะต่าง ๆ เข้าไปในเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานต่าง ๆ ที่สำคัญเขายังสามารถคุมโทนอารมณ์ขันของหนังให้อบอวลไปพร้อม ๆ กับอารมณ์โรแมนติกที่คละคลุ้งและเป็นธีมหลักในการเล่าเรื่องของหนังได้อย่างกลมกล่อม แม้จะต้องติงไว้นิดนึงว่าตัวหนังเองก็มีมุกคาบลูกคาบดอกเกี่ยวกับ ‘เซ็กส์หมู่’ และ ‘เซ็กส์ระหว่างเพศเดียวกัน’ แอบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่ในหนังจนบางทีก็ไม่ค่อยเหมาะกับการให้เด็กเล็กดูสักเท่าไหร่ก็ตาม
ความร็อก
เห็นหัวข้อแล้วงงใช่ไหมครับ ฮ่าาา.. แต่มันเป็นอารมณ์นี้จริง ๆ เพราะนอกจากเพลง ‘Sweet Child o’Mine’ ของวง ‘Guns N’ Roses’ ที่ได้ยินมาตั้งแต่เทรลเลอร์หรือตัวอย่างหนังแล้ว การเข้ามากุมบังเหียนของ ไมเคิล จีแอ็กชิโน (Michael Giacchino) ยังเพิ่มความร็อกให้หนังไปอีกเท่าตัว ที่สำคัญเมื่อได้จิแอ็กชิโน ผู้ประพันธ์สกอร์ประจำคาแรกเตอร์อย่าง ‘Spider-Man’ ที่ติดหูแฟนมาร์เวลมาตลอด ก็ถึงคราวที่จิแอกชิโนได้สร้างเพลงธีมใหม่ให้กับธอร์ ซี่งบอกเลยว่าโคตรร็อกและโคตรโดนอย่างยิ่ง นอกจากนี้หนังยังแอบใส่เพลงป๊อปหวาน ๆ อย่าง ‘Our Last Summer’ ของวง ‘ABBA’ ไปในหนังได้อย่างถูกจังหวะจะโคนอีกด้วย
งานสร้างสุดตื่นตา
ปิดท้ายสิ่งที่เป็นกำไรสูงสุดแล้วจากการดู ‘Thor Love and Thunder’ ก็คืองานสร้างและเหล่าสเปเชียล เอฟเฟกต์ต่าง ๆ นี่แหละครับ เพราะส่วนหนึ่งเรื่องราวจะเกี่ยวพันกับเหล่าเทพ เกี่ยวพันกับเรื่องการท่องอวกาศต่าง ๆ เลยทำให้หนังภาคนี้สเปเชียลเอฟเฟกต์ต่าง ๆ เลยเหมือนกระดูกสันหลังไปโดยปริยาย และหนังก็ทำได้ดีมาก ๆ ไม่หลุดไม่ลอยคุ้มค่ากับเงินค่าตั๋วผู้ชมแน่นอนครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส