Release Date
28/07/2022
แนว
โรแมนติก/คอมมีดี้/พีเรียด/แฟนตาซี
ความยาว
2.46 ช.ม. (166 นาที)
เรตผู้ชม
ทั่วไป
ผู้กำกับ
อดิสรณ์ ตรีสิริเกษม
SCORE
7.4/10
Our score
7.4บุพเพสันนิวาส ๒ | Love Destiny The Movie
บุพเพสันนิวาส ๒
จุดเด่น
- แฟนละครดูแล้วหลงรัก เพราะ Easter Egg จากหนังมาอย่างเพียบ แต่คนที่ไม่ใช่แฟนก็ดูรู้เรื่อง
- ครบรส ฮา ฟิน อิงประวัติศาสตร์ ตื่นเต้น ผสมกับทางหนังแบบ GDH ได้ลงตัว
- เคมีโป๊ป-เบลล่ายังทรงพลังเหมือนเดิม
จุดสังเกต
- หนังยาวไปสักหน่อยสำหรับคนที่ไมชอบหนังยาว ๆ
- มีบางจังหวะแอบตกท้องช้างอยู่บ้างเหมือนกัน
- บางมุกโดยเฉพาะมุกใหญ่ ๆ ไม่ค่อยทำงาน ทำงานเฉพาะมุกเล็ก ๆ หยอด ๆ
-
คุณภาพด้านการแสดง
7.5
-
คุณภาพโปรดักชัน
7.0
-
คุณภาพของบทภาพยนตร์
7.5
-
ความบันเทิง
7.6
-
ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม
7.3
ถ้ายังจำกันได้ ในงานเปิดไลน์อัปผลงานของ GDH ที่ชื่อว่า ‘GDH Xtraordinary 2021 Line Up‘ ที่จัดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว มีไตเติลอันหนึ่งที่เปิดตัวครั้งแรกในงานนั้นด้วย นั่นก็คือ ‘บุพเพสันนิวาส ๒’ ที่ถือว่าฮือฮามาก เพราะว่าเป็นผลงานร่วมทุนครั้งแรกของ GDH และ ‘บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น’ หยิบเอาผลงานละคร ‘บุพเพสันนิวาส’ (2561) ที่เคยสร้างกระแส ‘พีหมื่น-การะเกด’ ที่เคยกวาดเรตติงละครสูงทะลุถึง 18.6 ส่วนวันพุธ-พฤหัสบดีที่ออกอากาศเพลาใด เทรนด์ทวิตเตอร์ก็ติดอันดับมิได้ขาดสาย มาสร้างในรูปแบบภาพยนตร์นะออเจ้า
และถ้านึกย้อนไปเมื่อตอนละครฉาย นอกจากกระแสความสนุก ประทับใจ ฟินเวอร์ของละครแบบถล่มทลายแล้ว ไอเทมสิ่งละอันพันละน้อยในละครยังกลายมาเป็นซอฟต์พาวเวอร์ให้ชาวไทยเพลานั้นแต่งตาม กินตาม ใช้ตาม เที่ยวตามกันเป็นว่าเล่น ตั้งแต่กระแสการแต่งชุดไทย กุ้งเผา หมูกระทะ มะม่วงน้ำปลาหวาน พี่หมื่นแรปด่าการะเกด (เจ้าเป็นคนกำเริบ ฯ) โล้สำเภา พ่อม้ำน้ำ มนต์กฤษณะกาลี มีมพี่กิ๊ก สุวัจนี ฯลฯ แถมยังพาให้หนังสือนิยายต้นฉบับที่ประพันธ์โดย ‘รอมแพง’ (จันทร์ยวีร์ สมปรีดา) ขายดีจนพิมพ์ซ้ำนับไม่ถ้วน
มาถึงปีนี้ ตัวหนัง ‘บุพเพฯ ๒’ ตัวหนังได้ ‘พี่ปิ๊ง’ (อดิสรณ์ ตรีสิริเกษม) ผู้กำกับแห่ง ‘จอกว้างฟิล์ม’ เจ้าของผลงาน ‘รถไฟฟ้า มาหานะเธอ’ (2552) และละคร ‘น้ำตากามเทพ’ (2558) มารับหน้าที่กำกับภาพยนตร์ แถมยังเปิ๊ดสะก๊าดด้วยการเป็นหนังไทยเรื่องแรกที่เปิดขายโทเคนดิจิทัลเพื่อระดมทุนสร้างผ่าน ‘Destiny Token’ ที่ขายหมดเกลี้ยงไปแล้วเรียบร้อย ได้มูลค่าระดมทุนรวม 265 ล้านบาท ส่วนรายชื่อผู้ระดมทุนก็จะได้รับการขึ้นเครดิตท้ายในฐานะ Executive Producer
เรื่องโดยย่อของหนังก็คือ เมื่อครั้งสมัยอยุธยา พี่หมื่นและเกศสุรางค์ (a.k.a.การะเกด) ครองรักครองเรือนจนตายจากไปแล้ว แต่ทั้งคู่ได้มีโอกาสกลับชาติมาเกิดใหม่อีกครั้งในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น พี่หมื่นมาเกิดเป็น ‘ภพ’ (ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ) นายช่างหนุ่มหล่อที่ฝันถึงหญิงนางหนึ่ง และเชื่อหมดใจว่าเป็นบุพเพสันนิวาส จนเมื่อเขาได้พบเจอกับ ‘เกสร’ (ราณี แคมเปน) ชาติภพใหม่ของเกศสุรางค์ที่หน้าเหมือนญิงในฝัน ภพเลยคิดจะเกี้ยวพาราสี แต่เพราะเกสรเรียนกับบาทหลวงฝรั่ง เกสรเลยเป็นหญิงหัวก้าวหน้าและไม่ได้เชื่อบุพเพสันนิวาส แถมเจ้าหล่อนกำลังสนใจ ‘เมธัส’ (พาริส อินทรโกมาลย์สุต) หนุ่มหน้าฝรั่งใส่เสื้อแสงอุษาพูดจาผิดยุคไปเสียอีกแน่ะ
นอกจากเรื่องบุพเพฯ บุพพัง ทั้งสามคนยังต้องเข้าไปวุ่นวายกับประวัติศาสตร์การบ้านการเมืองสยาม ที่มีบุคคลสำคัญในสมัยนั้นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทั้ง ‘พระสุนทรโวหาร (ภู่) – สุนทรภู่’ (นิมิตร ลักษมีพงศ์) ‘บาทหลวงปาลเลอกัวซ์’ (โจนาธาน แซมซัน) ผู้นำกล้องถ่ายรูปเข้ามาในสยาม และ ‘นายห้างหันแตร’ (แดเนียล บรูซ เฟรเซอร์) ผู้นำเข้าเรือกลไฟ ‘เอ็กสเปรส’ มาเสนอขายแก่สยาม จนเป็นเหตุเกิดเรื่องราวที่อาจทำให้ประวัติศาสตร์สยามต้องเปลี่ยนแปลงไป
ถ้าจะนับว่า ‘บุพเพสันนิวาส’ เป็นจักรวาลภาพยนตร์ แม้ตัวละครอย่าง ‘ภพ’ และ ‘เกสร’ จะเชื่อมโยงกันกับฉบับละครในฐานะ ‘พี่หมื่น-การะเกด’ ที่กลับมาเกิดใหม่ แต่ต้วเนื้อเรื่องของ ‘บุพเพสันนิวาส ๒’ ก็ต้องนับว่าเป็นสปินออฟ (Spin-Off) จากเวอร์ชันละครล่ะนะครับ เพราะเนื้อหานั้นไม่ใช่ และไม่เกี่ยวข้องกับภาคต่อ (พรหมลิขิต) แต่อย่างใด แต่เป็นภาพยนตร์ที่แตกเส้นเรื่องออกมาจากจักรวาลหลัก แถมยังแทบจะไม่มีตัวละครจากฉบับละครกลับมาเลยแม้แต่น้อย และถ้าตัดคำว่าระลึกชาติออก ภพและเกสรก็เปรียบเสมือน ‘ตัวแปร’ ของพี่หมื่นและการะเกดอีกทีก็ว่าได้ (นี่มันบุพเพฯ หรือหนัง Marvel แล้วเนี่ย…)
ในแง่ของบทและคอนเซ็ปต์ ก็ต้องบอกว่า บุพเพฯ ๒ นี้ยังคงรักษาคอนเซ็ปต์ความเป็นรอมคอมที่หยิบเอาประวัติศาสตร์ และบุคคลสำคัญในสยาม มารวมเข้ากับความเป็น Fiction ได้อย่างค่อนข้างลงตัวนะครับ อาจจะเพราะด้วยรอมแพง เจ้าของบทประพันธ์ เข้ามาเป็นที่ปรึกษา เหมือนเป็นแกนกลางให้กับทีมเขียนบทของ GDH ด้วย ก็เลยยังคงสามารถผสมเรื่องแต่งเข้ากับประวัติศาสตร์ยุครัตนโกสินทร์สมัยรัชกาลที่ 3 ได้ออกมาสนุก น่าสนใจใคร่รู้ และมีจุดเชื่อมโยงถึงกันและกันและกันได้อย่างลงตัว
ในขณะที่ฝั่ง GDH เองก็เข้ามายกเครื่องในส่วนของความเป็นนิยายได้สนุกเลย ตอนแรกผู้เขียนแอบกลัวแหละครับว่าทั้งสองฝั่งจะบาลานซ์เรื่องออกมาได้สมดุลไหม ซึ่งในองก์แรก ๆ ผู้เขียนที่เคยดูละครมานิดหน่อย ก็ยังพอแอบจับกลิ่นความเป็นละครช่อง 3 โดยเฉพาะพวกไวยากรณ์ทั้งวิธีการเล่าเรื่อง มุกตลก ต่าง ๆ นานา รวมทั้งการพยายามค่อย ๆ ใส่ Eester Egg จากละครบุพเพฯ เข้ามาเป็นจำนวนมากเพื่อเอาใจแฟน ๆ ที่เคยดูละครมาแล้ว และปูเรื่องจากภาคละครให้คนดูรู้เรื่องก่อนด้วย จนผู้เขียนก็แอบเผลอคิดไม่ได้ว่า นี่จะเป็นการยัดเยียดละครลงในหนังดื้อ ๆ หรือเปล่านะ
แต่ยังดีที่ตัวหนังเริ่มค่อย ๆ ฉีกห่างและเริ่มเล่าเรื่องมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ในอีกมุมหนึ่งจะเป็นการปูส่งเข้าเรื่องที่ค่อนข้างช้าเนีอยอยู่เหมือนกัน พอเริ่มเดินเรื่องอย่างจริงจัง ถึงเริ่มจับทางได้ว่า นี่มัน ‘บุพเพสันนิวาส ฉบับ GDH’ จริง ๆ นั่นแหละ ยิ่งใครที่เคยดูหนังหรือซิตคอมมาก่อน ก็น่าจะพอจับทางความเป็นรอมคอมในแบบของค่ายนี้ได้ แล้วพอมันถูกเล่าด้วยรูปแบบนี้ ผลที่ได้ก็คือ ตัวหนังก็เลยพยายามเล่าประวัติศาสตร์โดยที่ไม่จำเป็นต้องประดิษฐ์แช่มช้อยสวยงาม หรือต้องวางท่าให้เป็นหนังที่ถูกต้องเป๊ะ ๆ หรือพยายามเคารพประวัติศาสตร์ดั่งพระประธานในโบสถ์
แต่มันถูกเล่าด้วย Pace แบบหนัง GDH ที่ยังเหลือพื้นที่ให้ใส่ความเป็นแฟนตาซีจ๋า ๆ รื้อสร้างคาแรกเตอร์ใหม่ให้กับบุคคลในประวัติศาสตร์ (แบบไม่ต้องแคร์ว่าจะดูเป็นการลบหลู่หรือไม่) และยังเหลือพื้นที่ให้เล่าเรื่องแบบกาว ๆ หรือโบ๊ะบ๊ะแค่ไหนก็ได้ แต่ยังคงอยู่ในกรอบของความเป็นบุพเพฯ อยู่นั่นเอง ซึ่งถือว่าเป็นการหารครึ่งที่ผู้เขียนรู้สึกว่าโอเค เพราะถ้าขืนยัดความเป็นบทละครช่อง 3 หรือเอาวิธีการแบบจีดีเอชมาเล่าล้วน ๆ เลย มันอาจจะไม่เวิร์ก ออกมาไม่สนุกเหมือนอย่างที่ควรจะเป็นก็ได้
ประกอบด้วยทุนสร้างที่ถือว่าค่อนข้างสูง ตัวหนังก็เลยเล่นใหญ่ใส่เต็มทั้งโปรดักชันที่ทุ่มทุนสร้าง งานเซตติง ฉาก พรอป ที่ถือว่าละเอียดใช้ได้ แม้งานซีจีอาจจะมีลอยนิด ๆ รวมทั้งตัวหนังเองก็ยังวางเรื่องราวใหญ่โต ที่เล่าตั้งแต่การบ้าน (คนรักกัน) ไปถึงเรื่องของการเมืองในประวัติศาสตร์ ทำให้ตัวหนังยาวมากถึง 166 นาที หรือ 2 ชั่วโมง 46 นาทีแน่ะ ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ต้องชมทีมเขียนบทนะครับว่า สามารถรักษาความเป็นแก่นของบุพเพฯ สำหรับแฟน ๆ เอาไว้ได้ดีเลยแหละ คนเป็นแฟน ๆ น่าจะชอบบุพเพฯ ภาคขยายนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น
ในขณะที่ก็ยังสามารถหยอดมุกฮา โรแมนติก และรายละเอียดเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในประวัติศาสตร์ในแบบฉบับของ GDH เอาไว้ได้อย่างมันมือ เต็มเหนี่ยว และลงตัวมากเสียจนคนที่ไม่เคยดูละครมาก่อน ก็สามารถดูไปด้วยได้แบบเพลิน ๆ และดูรู้เรื่อง พาร์ตฮาก็ได้ฮา พาร์ตโรแมนติกก็ได้ฟิน โดยเฉพาะคู่โป๊ป-เบลล่านี่ไม่ผิดหวังครับ เข้าคู่กันทีไรก็ได้ฟิน น่ารักน่าหยิกทุกฉากไป โป๊ปก็เล่นทั้งหล่อทั้งตลกได้พอดี ๆ ส่วนเบลล่าก็มีเสน่ห์มาก สวยขึ้นกล้องสุด ๆ อีกคนที่มีผลต่อเรื่องก็คือ ‘เมธัส’ (พาริส อินทรโกมาลย์สุต) ซึ่งจริง ๆ อีตานี่แหละคือตัวเดินเรื่องที่แท้จริง
แต่มันก็มีข้อสังเกตอีกนั่นแหละว่า พอเกิดอาการมันมือแล้ว มันก็มีจุดที่เกิดอาการมันมือเกินไปอยู่เหมือนกัน อาการแรกก็คือ บางจังหวะของบางมุกที่แอบทำงานไม่เต็มสูบ บางจังหวะมุกที่ควรจะคม ๆ หรือตั้งใจวางไว้ให้ฮา กลับไม่คมแฮะ แต่มุกเล็กมุกน้อย มุกคำพูด หรือมุกจาก ‘พี่ปี่’ นี่คือฮาแตกมาก ๆ พี่ปุ๊กกี้ (ปวีณ์นุช แพ่งนคร) นี่คือฮาธรรมชาติจริง ๆ อีกอย่างที่เกิดขึ้นคือ การเล่าเรื่องในบางจังหวะก็เกิดอาการเตะถ่วงจนทำให้เรื่องหลวมและยืดยาวเกินความจำเป็น โดยเฉพาะไคลแมกซ์ที่แอบวางให้พลิกล็อกไปมา ๆ จนยาวยืดตกท้องช้างไปบ้าง ซึ่งก็อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หนังมีความยาวมากเกินไปด้วย หากหนังเลือกหั่นฉาก ตัดซีนย้วย ๆ ออกบ้าง อาจทำให้ Pace สนุกกว่านี้ก็ได้
โดยรวมแล้ว ‘บุพเพสันนิวาส ๒’ เป็นภาคขยายพหุจักรวาลของละครบุพเพสันนิวาสในแบบฉบับของ GDH ที่ยังคงกลิ่นอายความเป็นรอมคอมพีเรียดอิงประวัติศาสตร์สไตล์ ‘ออเจ้า’ ได้อย่างสนุกสนาน เป็นหนังแฟนเซอร์วิสที่แฟนละครหลงรัก แต่ก็ยังมีพื้นที่กว้างให้คนที่ไม่เคยดูละครได้ตามทันแบบสนุก ๆ แม้ว่าจะมีความขาด ๆ เกิน ๆ มุกทำงานบ้างไม่ทำงานบ้าง และตัวหนังเกือบ 3 ชั่วโมงที่หลายคนอาจรู้สึกว่ามันยาวเกินไป แต่ก็ถือว่าเป็นความบันเทิงที่เหมาะเอาไว้ดูแบบเพลิน ๆ ได้ฮา ได้ฟินแบบไม่ต้องคิดอะไรเยอะ อ่ะ อย่างน้อยดูแล้วก็น่าจะไม่เบะปากคว่ำแบบพี่กิ๊ก สุวัจนี
ปล. ท้ายเรื่องมีอะไรให้ดูด้วยนะครับ ไม่ยาวมาก สำหรับแฟนละคร-นิยาย ก็รอดูได้ ส่วนคนที่ไม่ใช่แฟน จะไม่รอดูก็ไม่เป็นไรครับ
ปล. 2 เพลง OST “ถ้าเธอรักใครคนหนึ่ง” ของอิ๊งค์ วรันธร น่ารัก เอ๊ย เพราะมาก ๆ ครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส