ไม่ว่าใครที่ได้เห็นฉากการสละชีพของฮีโรอย่างไอรอนแมน (Iron Man) หรือ โทนี สตาร์ค (Tony Stark) ที่รับบทโดย โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ (Robert Downey Jr.) หลังสิ้นประโยค “ข้าคือไอรอนแมน” ในภาพยนตร์ ‘Avengers: Endgame’ (2019) ก็ล้วนต้องรู้สึกสะเทือนใจจนน้ำตาแตกกันบ้างไม่มากก็น้อย และการตายของคนเกราะเหล็ก ในครั้งนี้ก็กลายมาเป็นช่วงเวลาและหมุดหมายสำคัญของเหตุการณ์ใน MCU ไปด้วยในเวลาต่อมา
แต่ก็นั่นแหละ แม้การตายของไอรอนแมนจะเป็นชะตากรรมที่มิอาจเลี่ยง ตามคำพูดของวายร้ายธานอส (Thanos) และเป็นหนึ่งใน 14 ล้านความเป็นไปได้ในการเอาชนะธานอส ตามที่ ดอกเตอร์สเตรนจ์’ (Doctor Strange) เคยบอกเอาไว้
แต่อย่างไรก็ตาม แฟน ๆ ก็ยังหวังว่า ไอรอนแมนอาจกลับมาอีกครั้งในอนาคต ไม่ว่าจะกลับมาในรูปแบบใด หรือจะให้ใครมารับบทแทนป๋า RDJ ก็ตาม ยิ่งพอ MCU กลายเป็น ‘Multiverse Saga’ ก็ยิ่งมีความหวังว่า Marvel Studios อาจใช้มุกมัลติเวิร์ส นำเอา โทนี สตาร์ก จากมิติอื่นกลับมาในไตเติลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (ด้วยนักแสดงคนอื่น) ก็เป็นได้
ล่าสุด ผู้กำกับเจ้าของนามพี่น้องรุสโซ (Russo Brothers) ทั้ง โจเซฟ รุสโซ (Joseph Russo) และ แอนโธนี รุสโซ (Anthony Russo) ได้มีโอกาสอธิบายเบื้องหลังผลงานภาพยนตร์ของพวกเขาในคลิปวิดีโอ ‘Notes on a Scene’ อีพีล่าสุดบนยูทูบแชนแนล Vanity Fair
ส่วนหนึ่งของบทสนทนานี้เขาได้เล่าถึงเบื้องหลังการทำงานในภาพยนตร์ ‘Avengers: Endgame’ ที่พวกเขาเคยกำกับ และพวกเขายังได้เล่าเบื้องหลังการตายของไอรอนแมนอีกด้วย โดยทั้งคู่ได้เผยว่า มีบุคคลหนึ่งพยายามร้องขอให้ทั้งคู่ไม่กำจัดไอรอนแมน ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือ จอน ฟาฟโรว์ (Jon Favreau) ผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ และนักแสดงผู้ปลุกปั้นไอรอนแมนทั้งในหนังและชีวิตจริงนั่นเอง
และด้วยความที่เขาเป็นเหมือนป๊ะป๋าผู้ให้กำเนิด โทนี สตาร์ก และเป็นหนึ่งในผู้ที่นำพาภาพยนตร์ ‘Iron Man’ (2008) กลายเป็นภาพยนตร์ไตเติลแรกที่แจ้งเกิด Marvel Studios ได้อย่างสวยงามมาจนถึงทุกวันนี้ พี่น้องรุสโซจึงได้เปิดเผยว่า ฟาฟโรว์นี่แหละคือคนที่พยายามจนถึงที่สุดในการห้ามไม่ให้พวกเขากำจัด Iron Man ตัวละครฮีโรที่คนทั้งโลกรัก อย่างที่เราได้เห็นกันในหนัง ทั้งคู่กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
แอนโธนี : “แรงกดดัน (ในการที่จะไม่กำจัด โทนี สตาร์ก) นั้นมาจาก จอน ฟาฟโรว์ นี่แหละครับ เขาโทรหาเราหลังจากที่อ่านบทแล้ว และเขาก็ถามเราว่า ‘นี่พวกคุณจะฆ่า Iron Man จริง ๆ น่ะเรอะ ? ‘…”
โจเซฟ : “ใช่ ตายห่- ผมยังจำเรื่องนี้ได้เลย ผมจำได้ว่ากำลังคุยโทรศัพท์อยู่ที่มุมเวที โดยที่ฟาฟโรว์เองก็พยายามจะคุยด้วย เพราะเขาอยากจะบอกว่า ‘พวกนายทำแบบนี้ไม่ได้เชียวนะ มันจะเป็นการทำร้ายจิตใจคนดู นายคงไม่อยากให้คนดูเดินออกจากโรงหนังแล้วออกไปประท้วงหรอกนะ'”
แอนโธนี : “แต่สุดท้ายเราก็ทำ”
โจเซฟ : “สุดท้ายเราก็ทำแบบนั้นอยู่ดี”
แอนโธนี : “และด้วยความที่ฟาฟโรว์เองก็ไม่ได้คลุกวงในกระบวนการเหมือนอย่างเรา ด้วยตำแหน่งของจอนเอง ถ้าเราเห็นคนทำแบบนี้ เราก็คงรู้สึกเหมือนกัน”
โจเซฟ : “แม้ว่าเขาจะตาย แต่ก็เป็นการตายที่เขายอมเสียสละชีวิตของเขาเอง มันเป็นบทสรุปของเรื่องที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ และมีความหวัง”
ฟาฟโรว์ถือเป็นส่วนหนึ่งของไอรอนแมนตั้งแต่เกิดยันตายจริง ๆ เพราะเขาคือผู้กำกับ ‘Iron Man’ (2008) และ ‘Iron Man 2’ (2010) ก่อนจะถอยออกมาเป็นโปรดิวเซอร์ใน ‘Iron Man 3’ (2013) และในเรื่อง เขายังเป็นรับผู้บท แฮปปี้ โฮแกน (Happy Hogan) บอดีการ์ดส่วนตัวและเพื่อนสนิทของ โทนี สตาร์ก ใน ‘Iron Man’ ทั้ง 3 ภาค รวมทั้งเป็น Executive Producer ให้กับภาพยนตร์ Avengers ทุกภาค รวมถึงภาคสุดท้ายของ Infinity Saga อย่าง Avengers: Endgame ด้วย
ส่วน 2 ผู้เขียนบทคนสำคัญที่มีส่วนต่อจุดจบของ โทนี สตาร์ก ก็คือ คริสโตเฟอร์ มาร์คัส (Christopher Markus) และ สตีเฟน แม็กฟีลี (Stephen McFeely) ได้เปิดเผยเหตุผลที่ต้องเขียนให้ โทนี สตาร์ก มีจุดจบแบบนี้ว่า นอกจากจะต้องการให้เป็นเหตุการณ์หมุดหมายสำคัญที่แสดงถึงการปิดฉาก Infinity Saga อย่างเป็นทางการแล้ว
และพี่น้องรุสโซเคยอธิบายไว้ว่า การเลือกให้ Iron Man เป็นผู้ใช้อินฟินิตีสโตน (Infinity Stone) ดีดนิ้วเพื่อกำจัดธานอส ทั้งที่รู้ว่าตนเองจะต้องตาย ก็เพราะว่า Iron Man คือผู้ที่ใกล้ชิดกับธานอสมากที่สุด และบทสรุปของเขาก็แสดงออกถึงชีวิตที่แตกต่างกันสุดขั้วระหว่าง โทนี สตาร์ก ที่ตายจากไป กับ สตีฟ โรเจอร์ (Steve Rogers) หรือ ‘กัปตันอเมริกา’ (Captain America) ที่ได้ใช้ชีวิตจนถึงวัยชรา ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการปูเรื่องเอาไว้ตั้งแต่แรก ประมาณ 3 ปี หรือมีมาก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำ Avengers: Endgame ด้วยซ้ำ
และแม้ผู้ชมจะรู้สึกโกรธหรือเศร้าสร้อยในการจากไปของ Iron Man แต่พวกเขามองว่า บทสรุปที่เกิดขึ้นนั้นมีความหมายมาก ๆ เพราะนอกจากจะเป็นการสรุปจบทั้งในเชิงเนื้อเรื่องและอารมณ์แล้ว ยังเป็นการวางบทสรุปให้กับ โทนี สตาร์ก ได้พบกับชีวิตที่สมบูรณ์แบบในฐานะวีรบุรุษผู้สละชีวิตเพื่อมอบความหวังในการกอบกู้จักรวาลขึ้นมาอีกครั้ง
ที่มา: Variety, IndieWire, Comicbookmovie
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส