วันฉาย
25 / 8 / 2565
แนว
แอนิเมชัน, แอ็กชัน, ผจญภัย
เวลา
115 นาที
ผู้กำกับ
Gorō Taniguchi
เรตผู้ชม
ทั่วไป
Our score
7.0ONE PIECE FILM: RED
จุดเด่น
- เพลงทุกเพลงเพราะมาก ถ้าใครแฟนคลับ ADO ต้องชอบแน่นอน
- ได้เห็นตัวละครที่คิดถึงกลับมาเจอกันอีกครั้ง
- อีสเตอร์เอ้กจัดเต็ม เห็นแล้วคิดถึงฉากเก่า ๆ ในการ์ตูน
- ฉากแอ็กชันตอนท้ายคือเซอร์วิสที่เติมเต็มหัวใจแฟน ONE PIECE มาก
จุดสังเกต
- ยัดเพลงมาเยอะเกินไป และใช้เพลงได้ไม่ถูกจังหวะ
- ครึ่งแรกค่อนข้างน่าเบื่อ
- บทสรุปตัวละครทีมักง่ายเกินไป
-
คุณภาพด้านเสียงพากย์
7.5
-
คุณภาพโปรดักชัน
7.2
-
คุณภาพของบท
5.5
-
คุณภาพของความบันเทิง
7.0
-
ความคุ้มเวลาในการชม
7.8
ความมั่งคั่ง ชื่อเสียงและอำนาจ ผู้ที่ครอบครองทุกอย่างบนโลกใบนี้ก็คือราชาโจรสลัด โกล ดี โรเจอร์ เขาคือมหาบุรุษผู้ปลุกฝันคนทั่วโลกให้เดินทางออกสู่ท้องทะเล เพื่อตามหาสมบัติล้ำค่าที่มีเพียงชิ้นเดียวอย่าง ‘วันพีซ’
ONE PIECE เป็นเรื่องราวของ มังกี้ D ลูฟี่ เด็กหนุ่มผู้มีคำพูดติดปากว่า “ฉันจะเป็นราชาโจรสลัดให้ได้เลย” เขาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ออกทะเลเพื่อตามหา ONE PIECE อยู่เช่นเดียวกัน ในระหว่างที่ออกเดินทางลูฟี่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย พบเจอพวกพ้องที่สำคัญ ได้ปะทะกับศัตรูตัวฉกาจ ผ่านการต่อสู้ที่ทำให้เขากลายเป็นโจรสลัดผู้แข็งแกร่ง และบัดนี้ลูฟี่คือหนึ่งในโจรสลัดที่เขาใกล้มหาสมบัติอย่างวันพีซ ไปอีกก้าวแล้ว
แม้ว่าหนังโรงของ ONE PIECE จะมีมาถึง 14 ภาคแล้ว แต่ THE MOVIE ที่ผู้แต่งอย่าง อาจารย์โอดะ เออิจิโระ (Oda Eiichiro) ได้มีส่วนร่วมนั้นก็มีเพียง 5 ภาคเท่านั้น และนี่ก็ถือเป็นครั้ง 5 ที่อาจารย์โอดะได้มีส่วนร่วมในการสร้างเดอะมูฟวี่ขึ้นมา
ONE PIECE FILM: RED เล่าถึงเหตุการณ์ที่กลุ่มโจรสลัดหมวกฟางได้ล่องเรือมาที่เกาะเอเลเจีย เพื่อชมคอนเสิร์ตของ ‘อุตะ’ นักร้องสาวที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กของลูฟี่ เธอเป็นลูกสาวของแชงค์ จักรพรรดิโจรสลัดผู้ยิ่งใหญ่ที่มอบหมวกฟางให้กับลูฟี่ โดยลูฟี่ได้พบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเกาะเอเลเจีย มีแต่เรื่องที่ไม่ชอบมาพากล พร้อมกันนั้นในเกาะยังมีโจรสลัดกับทหารเรืออีกมากมายที่พร้อมจะห้ำหั่นกันได้ทุกเมื่อ ทุกคนมาที่เอเลเจียทำไม และความลับที่อุตะเก็บซ่อนไว้คืออะไรแน่ ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ ONE PIECE FILM: RED
ต้องขอบอกเลยว่าในบรรดา 5 ภาคที่อาจารย์โอดะมีส่วนร่วมในการสร้างนั้น FILM: RED นับว่าเป็นภาคที่มีโทนแปลกที่สุด เพราะตามปกติแล้ว เนื้อหาในเดอะมูฟวี่ของ ONE PIECE มักจะเป็นเรื่องราวจบในตอน โดยเป็นอนิเมะแอ็กชันผจญภัยที่ผสมไปด้วยประวัติศาสตร์กับปมปริศนา แต่ทว่า FILM: RED กลับเน้นหนักไปทางดราม่าและมิวสิคัลซะมากกว่า ใช่ครับ ONE PIECE FILM: RED คือหนังมิวสิคัล ฉะนั้นแล้ว หากใครหวังจะไปดู ONE PIECE เดอะมูฟวี่ที่อุดมไปด้วยฉากแอ็กชัน อาจจะต้องทำใจไว้ก่อนว่าภาคนี้จะบู๊กันน้อยกว่าภาคอื่น (นับแค่บรรดา 5 ภาคที่อาจารย์โอดะ มีส่วนร่วมนะ) โดยในส่วนของฉากแอ็กชันก็จะถูกทดแทนด้วยพาร์ตดราม่าและมิวสิคัลของนักร้องอย่างอุตะแทน
ในด้านงานเพลงของตัวละครอุตะก็ไม่ได้มาแบบธรรมดานะ เพราะทีมงาน ONE PIECE ได้เชิญนักร้องอย่าง ADO มาร้องให้หนังเรื่องนี้เลยทีเดียว ซึ่งแต่ละเพลงก็บรรจงแต่งมาเพื่อ ONE PIECE FILM: RED โดยเฉพาะ และขนกันมาให้ฟังกันถึง 8 ซิงเกิล แฟนคลับ ADO กับคนชอบฟังเพลง น่าจะฟังกันอย่างจุใจแน่นอน
แต่ทว่าการที่หนังมีเพลงมากมาย ก็นับว่าเป็นข้อเสียเหมือนกัน เพราะหนังต้องการโปรโมตซิงเกิลเหล่านี้ลงไปด้วย ฉะนั้นในบทจึงต้องหาช่องว่างเพื่อยัดซีนร้องเพลงเข้ามาให้ครบ ซึ่งหลายเพลงมันก็มาในจังหวะที่ไม่ถูกต้อง ทำให้อารมณ์ของหนังดรอปลง ส่งผลให้หนังน่าเบื่อในบางครั้ง
ทางเนื้อเรื่องนั้น ภาคนี้ก็ได้หยิบข้อดีของเดอะมูฟวี่ภาคที่แล้วอย่าง One Piece: Stampede มาใช้ นั่นคือการให้ตัวละครเก่า ถูกโยนเข้ามาในสถานการณ์ที่ไม่ควรจะเจอกัน จากนั้นเราก็จะได้เห็นตัวละครเหล่านั้นออกมาแท็กทีมต่อสู้ ซึ่งเป็นแฟนเซอร์วิสที่ไม่ค่อยได้เห็นในภาคหลักกันเท่าไหร่ ทว่าแม้ว่า FILM: RED จะหยิบข้อดีนั้นมาใช้ มันก็เป็นได้แค่การทำซ้ำเนื้อหาเดิมแต่เปลี่ยนตัวละครเท่านั้น แถมหนังยังใช้ประโยชน์ข้อนี้ได้ไม่คุ้มนัก เพราะด้วยการที่ต้องแบ่งแอร์ไทม์ให้อุตะ ทำให้หนังเกลี่ยบทตัวละครออกมาได้ไม่ดีเอาซะเลย
อีกซิกเนเจอร์ที่เราแทบจะต้องยกนิ้วให้ คืองานภาพของ Toei Animation ที่ยังคงเส้นคงวาในฐานะสตูดิโอที่ไม่สนสี่สนแปด กล้าปล่อยงานแอนิเมชันที่ไม่เรียบร้อยออกมาฉายโรง ซึ่งหลายฉากก็เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นงานที่เรียกได้ว่า ‘เผา’ มาฉาย จนแอบสงสัยว่าภาพแบบนี้ พี่แกกล้าเอามาฉายโรงได้ยังไง หลังจากนั้นก็มีอีกหลายซีนที่เผามาให้เห็นจนอดไม่ได้ที่ต้องถอนหายใจแล้วยกนิ้วให้ (ส่วนนิ้วไหนก็ไปคิดกันเอาเองนะ)
แม้หนังจะอุดมไปด้วยเพลง แถมลำดับเนื้อหาได้ไม่ดีจนทำให้ครึ่งแรกนั้นน่าเบื่อเอามาก ๆ แต่หนังก็มาแก้ตัวได้ในช่วงองค์สุดท้ายของเนื้อหา ซึ่งเป็นฉากแอ็กชันที่ระดมตัวละครที่เราแสนคิดถึงออกมาประจัญบานกับบอสในภาคนี้ แถมหนังยังหยอดอีสเตอร์เอ้กที่ทำให้เราคิดถึงซีนเด็ด ๆ ที่เป็นภาพจำในภาคหลักไว้ตลอดทาง ซึ่งฉากแอ็กชันตอนท้ายเรื่องก็เป็นสิ่งที่แฟน ๆ ONE PIECE เห็นแล้วต้องตกใจในความกล้าเล่นใหญ่ของทีมงานแอนิเมชันอย่างแน่นอนที่
อีกจุดเด่นที่ช่วยชูให้ภาคนี้ดีงามขึ้นมาคือตัวละครอย่าง สี่จักรพรรดิโจรสลัดแชงค์ ซึ่งภาคนี้ก็ทำให้เราได้เห็นนิสัยใจคอเขามากขึ้น แถมการปรากฏตัวของเขาในภาคนี้ก็เท่เอามาก ๆ แข็งแกร่งและเหมาะสมกับการเป็นสี่จักรพรรดิอย่างไร้ข้อกังขา ถ้าใครหวังจะเห็นแชงค์ออกมาบู๊เป็นขวัญตา ภาคนี้ถือว่าตอบโจทย์อย่างเต็มอิ่มเลยล่ะ
โดยรวมแล้ว ONE PIECE FILM: RED คือมูฟวี่ที่มีรสชาติแปลกใหม่ ซึ่งอุดมไปด้วยเพลงเพราะ ๆ ที่ชวนฟัง ถึงครึ่งแรกจะดำเนินเรื่องได้ไม่ดี แต่ก็พลิกกลับมาด้วยแฟนเซอร์วิสในช่วงท้าย แม้บทสรุปจะเล่นง่ายจนแอบผิดหวัง แต่ก็เป็นอีกมูฟวี่ที่บอกเลยว่าครึ่งหลัง ‘โคตรอลังการ’
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส