Release Date
18/11/2022
แนว
ดราม่า/ผจญภัย/ครอบครัว/ตลก
ความยาว
2.00 ช.ม. (120 นาที)
เรตผู้ชม
PG
ผู้กำกับ
ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ (Francis Lawrence)
SCORE
7.5/10
Our score
7.5Slumberland | สลัมเบอร์แลนด์
จุดเด่น
- วิชวลออกแบบได้ตื่นตาตื่นใจ ทำได้ดีไม่แพ้หนังฉายโรง
- การแทรกประเด็นของโลกความเป็นจริง ขนานกับโลกแห่งความฝัน ผสานดราม่ากับแฟนตาซีผจญภัยได้สนุกลงตัว
- ประเด็นการรับมือการจากไปของคนที่รักที่อาจทำให้หลายคนเสียน้ำตา
- เจสัน โมโมอา แม้จะดูคล้าย จอห์นนี เดปป์ ไปหน่อย แต่ก็เล่นแนวนี้ได้น่ารักดี
จุดสังเกต
- CGI ยังมีหลุด ๆ ลอย ๆ ไม่เนี้ยบบางช่วง
- การเล่าสลับโลกไปมาอาจชวนให้เนื้อเรื่องสับสนเล็กน้อย
- พล็อต การดำเนินเรื่อง บทสรุป เป็นไปตามขนบแบบหนังแฟนตาซีผจญภัย ตอนจบเดาไม่ยากนัก
-
คุณภาพด้านการแสดง
6.6
-
คุณภาพโปรดักชัน
8.3
-
คุณภาพของบทภาพยนตร์
7.0
-
ความบันเทิง
7.8
-
ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม
7.9
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวใหม่ ๆ ของ Netflix ที่น่าสนใจมาก ๆ นะครับ เพราะว่าถ้าสังเกตดี ๆ เราจะเห็นว่าในช่วงปลาย ๆ ปี 2022 นี้ เราจะได้เห็น Netflix หันมาหยิบจับเอาวรรณกรรมจากหนังสือหลาย ๆ เล่มมาสร้างใหม่ในรูปแบบภาพยนตร์จำพวกแนวแฟนตาซี และเน้นหนังที่ดูได้ทั้งครอบครัวมากขึ้น ยกตัวอย่างหนังจากวรรณกรรมที่ลงฉายไปแล้วก็ยกตัวอย่างเช่น ‘The School for Good and Evil‘ หรือแม้แต่หนังภาคต่อ ‘Enola Holmes 2‘ นี่ก็ใช่
และล่าสุดกับหนังแฟนตาซีของ Netflix เรื่องใหม่อย่าง ‘Slumberland’ หรือ ‘สลัมเบอร์แลนด์’ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับที่นอนยี่ห้อ Slumberland แต่เป็นหนัง Netflix ที่กำลังขึ้นอันดับ 1 ใน 55 ประเทศ ณ เวลานี้ ซึ่งเป็นหนังที่สร้างมาจากการ์ตูนคอมิก ‘Little Nemo in Slumberland’ วาดโดย วินเซอร์ แม็กเคย์ (Windsor McCay) แต่เดิมเป็นคอมิกที่วาดเป็นตอน ๆ ลงในหนังสือพิมพ์ The New York Herald มาตั้งแต่ปี 1905 จนถึงปี 1911 หรือ 117 ปีที่แล้วโน่นเลยครับ
ซึ่งเรื่องราวการผจญภัยของเด็กชายนีโม ที่เข้าไปผจญภัยในโลกแห่งความฝันสุดพิศดารนี้ ส่วนใหญ่จะถูกเอาไปทำในรูปแบบแอนิเมชันซะเป็นส่วนใหญ่ครับ ถ้าเวอร์ชันแรกสุดเลยก็คือ ‘Little Nemo’ (1911) แอนิเมชันขนาดสั้นที่จริง ๆ แล้วน่าจะเรียกว่าเป็นงานทดลองที่เอาคาแรกเตอร์มาทำเป็นภาพเคลื่อนไหวเฉย ๆ มากกว่า แต่ที่น่าจะคุ้นตา ก็น่าจะเป็นหนังแอนิเมชัน ‘Little Nemo: Adventures in Slumberland’ ที่ออกฉายในปี 1989
จนกระทั่งมาถึงปีนี้ ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ (Francis Lawrence) ผู้กำกับหนังผลงานระดับมาสเตอร์พีซ ทั้ง ‘Constantine’ (2005), ‘I Am Legend’ (2007), ‘The Hunger Games: Catching Fire’ (2013), ‘The Hunger Games Mockingjay’ ทั้งภาค 1 (2014), ภาค 2 (2015) และร่วมกำกับบางตอนในซีรีส์ ‘See’ ซีซัน 1 (2019) ได้เนรมิตโลกแห่งความฝันนี้ขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับการตีความใหม่ ๆ เช่น การเปลี่ยนรายละเอียดคาแรกเตอร์ 2 ตัวละครสำคัญทั้งหนูน้อยนีโม (Nemo) จากชายเป็นหญิง และเปลี่ยนตัวตลก ฟลิป (Flip) กลายเป็นจอมโจรลีลาเหลือร้ายแห่งสลัมเบอร์แลนด์แทน
‘Slumberland’ ว่าด้วยเรื่องราวของ ด.ญ.นีโม (Marlow Barkley) ลูกสาวของ ปีเตอร์ (Kyle Chandler) นักดูแลประภาคารริมทะเลผู้รักการผจญภัย วันหนึ่ง พ่อของเธอหายสาบสูญหลังล่องเรือกลางดึกอย่างกะทันหัน เธอจึงต้องถูกย้ายไปใช้ชีวิตในเมืองแบบจำยอมร่วมกับฟิลิป (Chris O’Dowd) คุณอาเจ้าของบริษัทลูกบิดประตูผู้แสนจืดชืด แต่แล้ววันหนึ่งตอนเธอหลับ เธอได้เข้าไปยังดินแดนแห่งความฝันที่เรียกว่า สลัมเบอร์แลนด์ และได้พบกับ ฟลิป (Jason Momoa) จอมโจรที่กำลังตามหาไข่มุกที่ช่วยให้ความปรารถนาทั้งหลายเป็นจริงได้ ในขณะเดียวกันเธอก็ต้องผจญภัยในโลกแห่งความฝันที่เต็มไปด้วยอันตรายที่ไม่คาดคิด และ เอเจนต์กรีน (Weruche Opia) เจ้าหน้าที่จัดระเบียบความฝันที่ตามล่าจอมโจรฟลิปมานานแสนนาน
จริง ๆ ถ้าดูแค่ตัวอย่างก็คงสัมผัสได้นะครับว่า งานนี้ Netflix ไม่ได้มาเล่น ๆ แม้ว่าจะเป็นหนังแฟนตาซีครอบครัวก็ตาม เพราะเรียกได้ว่าเฉพาะโปรดักชันและงาน CGI ก็ต้องเรียกได้ว่าทุ่มทุนและทำออกมาได้ตื่นตาตื่นใจใกล้เคียงหนังบ็อกซ์ออฟฟิศเลยแหละ ซึ่งวิชวลก็มีการอ้างอิงมาจากคอมิกต้นฉบับหลายส่วน และแอบมีกลิ่นอายความ Weird แบบในหนังของ ทิม เบอร์ตัน (Tim Burton) ผสมความ Realistic เข้าไป และยังแอบมี CGI ที่แอบงานหยาบนิดหน่อย แต่โดยรวมก็ถือว่าออกแบบวิชวลได้สวยงามตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อย
ส่วนในแง่ของบทก็น่าสนใจ แม้วิชวลของตัวหนังเองจะชวนให้นึกถึงปรากฏการณ์ฝันซ้อนฝันแบบในหนัง ‘Inception’ (2010) ตะหงิด ๆ แต่ตัวหนังเองไม่ได้ซับซ้อนหัวแตกขนาดนั้น ตรงกันข้าม ตัวหนังยังยึดความเป็นหนังครอบครัวผสมผจญภัยแฟนตาซีที่ดำเนินเรื่องด้วยพล็อตที่เน้นดูง่าย ดูสนุก มีมุกฮาแกล้ม ตรงไปตรงมาตามขนบของหนังครอบครัวผจญภัยที่เดาตอนจบได้ไม่ยากนัก แต่เสน่ห์หลัก ๆ ของหนังเรื่องนี้ที่ทำให้ตัวหนังสามารถดูได้เพลิน ๆ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ คงหนีไม่พ้นการนำเสนอแก่นสารของเรื่องครับ เพราะว่าตัวหนังเองก็เพิ่มสารที่เป็นประเด็นดราม่าลงไปผสมผสานในหนังด้วย
ทั้งเรื่องของความสัมพันธ์ในครอบครัว ความรู้สึกแปลกแยก ตัวตนอีกแบบของตัวเราที่ซุกซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึก หรือแม้แต่การตีความสภาวะจิตในรูปแบบต่าง ๆ ออกมาเป็น Conflict ที่คอยคุกคามน้องนีโมทั้งในโลกความฝัน และโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งสารอันหนึ่งที่ผู้เขียนว่านำเสนอออกมาได้ดีก็คือ เรื่องของการทำใจยอมรับถึงการจากไป ซึ่งผู้เขียนว่าอันนี้ทรงพลัง และน่าจะเป็นประเด็นที่โดนใจคนที่เคยมีประสบการณ์ในทำนองนี้เหมือนกันจนอาจน้ำตาซึมไปเลยก็ได้ แม้ว่าการเล่าสลับโลกไป ๆ มา ๆ แบบนี้จะชวนให้เนื้อเรื่องแอบสับสนอยู่เล็ก ๆ ก็ตาม
เสน่ห์อีกอย่างที่คอยแบกหนังคงหนีไม่พ้นตัวนักแสดงหลักครับ ทั้งนีโม ที่รับบทโดย มาร์โลว์ บาร์คลีย์ (Marlow Barkley) ที่แม้จะเป็นงานแสดงครั้งแรก แต่ก็ถือว่าทำออกมาได้มีเสน่ห์และน่าสนใจมาก ดูเป็นเด็กฉลาดที่ไม่แก่แดด แต่ก็แอบน่าตีนะ (555) และที่เด่นโดดเด้งคงหนีไม่พ้น เจสัน โมโมอา (Jason Momoa) ในบทจอมโจรฟลิป ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าดูแล้วก็อดนึกถึงลีลาเล่นใหญ่ ขี้เก๊ก ปากร้ายแต่ใจดี แบบ จอห์นนี เดปป์ (Johnny Depp) ในหนัง ‘Pirates of the Caribbean’ และ ‘Charlie and the Chocolate Factory’ (2005) ไม่ได้จริง ๆ แต่ก็ถือว่าเป็นตัวละครสำคัญในเรื่องที่มีครบทั้งความตลก น่ารัก มีความซุกซนดี
‘Slumberland’ จริง ๆ ก็ถือว่าเป็นหนังครอบครัวแฟนตาซีที่อาจจะไม่ได้มีอะไรเกินความคาดหวังนะครับ แต่เป็นหนังที่รู้ตัวเองดีว่าจะทำให้ออกมาสนุกถูกใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้อย่างไร เป็นหนังเด็กที่มีทั้งมุกฮา ๆ เรื่องราวสุดมหัศจรรย์ แลเป็นหนังผู้ใหญ่ที่ตื่นตาตื่นใจด้วยวิชวลและ Color Grading ที่สวยสดงดงาม เป็นหนังดราม่าน้ำดีที่เอาไว้ดูแก้เครียดก็พอไหว ไม่ว่าจะเครียดกับชีวิต หรือแม้แต่เครียดจากซีรีส์ ‘1899’ ก็ตาม (555) ก็ถือว่าดูเอาเพลินแบบได้น้ำได้เนื้อ หรือถ้าดูกับน้อง ๆ ก็เป็นหนังที่เอาไว้คอยสอนลูกให้เรียนรู้และรับมือกับความเป็นจริงของชีวิตได้ไม่เลวเลย
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส