‘Bruce Almighty’ (2003) ผลงานหนังของดาราตลกอัจฉริยะ จิม แคร์รี (Jim Carrey) ที่ว่าด้วยเรื่องราวของนาย บรูซ โนแลน (Bruce Nolan) นักข่าวตกอับชีวืตเส็งเคร็งที่อยู่ดี ๆ ก็ได้พรจากพระเจ้าที่หน้าตาเหมือน มอร์แกน ฟรีแมน (Morgan Freeman) ด้วยการเปลี่ยนให้เขากลายเป็นพระเจ้าที่สามารถดลบันดาลอะไรก็ได้ตามใจอยากภายใน 7 วัน แม้คำวิจารณ์ของนักวิจารณ์โดยรวมจะอยู่ในระดับกลาง ๆ มีทั้งติและชม แต่ก็เป็นหนัง จิม แคร์รีอีกเรื่องที่มีกระแสฝั่งผู้ชมชื่นชอบอย่างล้นหลาม ด้วยตัวหนังที่มีครบทั้งความสนุกและแก่นเรื่องราวอันทรงพลัง
แม้สุดท้าย สตูดิโอยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส (Universal Pictures) จะเบนเข็มไปสร้างหนังสปินออฟเรื่อง ‘Evan Almighty’ (2007) แทน แต่เชื่อว่าหลายคนก็น่าจะอยากให้มีการสร้างภาคต่อ ที่เป็น Sequel ของ ‘Bruce Almighty’ ออกมาด้วย ซึ่งตัวไอเดียพล็อตของหนังภาคต่อที่ไม่เคยถูกสร้างนี้นั้นมีอยู่จริง ๆ แถมยังเป็นพล็อตที่เรียกได้ว่าแหวกแนวจากภาคแรกแบบสุดลิ่มทิ่มประตูไปเลย
ซึ่ง สตีฟ โคเรน (Steve Koren) และ มาร์ก โอคีฟ (Mark O’Keefe) 2 ใน 3 ผู้เขียนบทหนัง ‘Bruce Almighty’ ภาคแรก ได้ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Syfy ว่า ตอนนั้นพวกเขาเองมีไอเดียสำหรับภาค 2 ของหนังเรื่องนี้ไว้อยู่แล้ว โดยตั้งใจจะใช้ชื่อว่า ‘Brucifer’ ซี่งเป็นการผสมคำระหว่างชื่อบรูซ (Bruce) กับคำว่า ลูซิเฟอร์ (Lucifer) ที่เป็นฉายาของซาตานนั่นเอง
ไอเดียพล็อตของพวกเขาว่าด้วยเรื่องของนายบรูซ ที่กำลังมีชีวิตมีความสุขอยู่กับเกรซ (Grace Connelly) แฟนสาวของเขา ที่แสดงโดย เจนนิเฟอร์ อนิสตัน (Jennifer Aniston) แต่แล้วชีวิตของบรูซก็ถึงคราวบัดซบ เมื่อเกรซ สุดที่รักของเขาได้เสียชีวิตลง ทำให้บรูซเกิดความเสียใจอย่างมาก และน้อมนำพลังและวิถีแบบซาตานมาใช้ แทนที่จะเป็นพลังพระเจ้าเหมือนในภาคแรก
เขาทั้งสามคนเอาไอเดียนี้ไปเสนอกับ ไมเคิล บอสติก (Michael Bostick) โปรดิวเซอร์ของหนัง และสตูดิโอ ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส แต่กลายเป็นว่าไม่มีใครซื้อไอเดียของพวกเขาเลย มีแต่เพียงแคร์รี ในฐานะนักแสดงนำและหนึ่งในโปรดิวเซอร์ ที่แสดงออกว่าชื่นชอบไอเดียนี้มาก ๆ และยืนยันว่าเขาพร้อมจะกลับมารับบทนายบรูซร่างซาตานอย่างแน่นอน โคเรนเล่าถึงตอนนั้นว่า :-
“ทั้งผู้จัดการ (ของแคร์รี) และจิมต้องการที่จะเล่นหนัง Brucifer มาก ๆ ครับ เราเอาไอเดียนี้ไปเสนอกับสตูดิโอ แต่ก็ไม่มีใครซื้อไอเดียนี้เลย ผมคิดว่าที่พวกเขาไม่อยากจะสร้าง เพราะหนังเรื่องนี้มันคงดูเป็นหนังฟอร์มยักษ์อยู่เหมือนกัน มันก็เลยไม่ได้สร้าง แต่หลาย ๆ คนรวมถึงจิมต่างก็ชอบไอเดียนี้กันมาก ๆ “
“เวลาที่คุณรู้สึกเหมือนโลกไม่ยุติธรรม คุณก็มักจะหมดศรัทธา และนั่นคือสิ่งที่เขาได้รับ มันมีแก่นเรื่องจากเรื่องที่จริงจังซีเรียส แต่เราอยากจะเขียนมันให้ออกมามีความเป็นกันเอง แน่นอนว่าเราไม่อยากทำให้ผู้คนรู้สึกซีเรียส ผมคิดว่ามันอาจจะทำให้สตูดิโอสะดุ้งนิดหน่อย แต่สำหรับจิม เขาโอเคกับมันมาก ๆ และเข้าใจว่าเรากำลังจะสร้างหนังตลกฟอร์มใหญ่ที่ทุกคนน่าจะเชื่อมโยงกับเรื่องราวของมันได้”
เขาได้เล่าเพิ่มเติมถึงสาเหตุที่ต้องให้เกรซในเรื่องต้องตายด้วยว่า มันเกิดจากการที่เขารู้สึกเสียใจ และสูญเสียความเชื่อมั่นและศรัทธาในชีวิต และเมื่อจิตของเขาเริ่มเข้าสู่ด้านมืด ทำให้ปีศาจเข้ามาชักชวนเขาให้เปลี่ยนตัวเองกลายเป็นซาตาน เพื่อหวังจะใช้พลังแห่งซาตานปลุกคนรักให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง แต่ด้วยความคิดซน ๆ ของแคร์รี แทนที่เกรซจะฟื้นขึ้นมาแบบปกติ เขากลับเสนอให้เธอฟื้นคืนชีพมาในร่างซอมบี้แทน
“ผมจำได้ว่า ตอนที่เรากำลังเสนอไอเดีย เขาหัวเราะจนท้องแข็งเลยครับ เพราะเราอยากให้เธอกลับมาในแบบที่เป็น เจนนิเฟอร์ อนิสตัน แต่เขากลับเสนอว่า ‘ไม่ดีกว่า เธอต้องกลับมาแบบซอมบี้ก่อน แล้วเราจะทำให้เธอกลับมาสวยอีกครั้ง’ ซึ่งเราคิดว่าเป็นไอเดียที่เจ๋งมาก”
ส่วนโอคีฟเสริมว่า “โดยรวมแล้วมันจะเป็นงานเชิงทดลองน่ะครับ ตั้งแต่เขาเป็นพระเจ้า โลกไม่ได้เป็นอย่างที่เขาอยากให้เป็น ทุกอย่างมันดีอยู่พักหนึ่ง เขาแต่งงาน แต่ทุกอย่างก็พังทลาย เขาก็เลยตั้งคำถามกับทุกอย่างอีกครั้ง และจากนั้นก็ได้วิธีการแก้ปัญหาที่ต่างออกไป มันจะเป็นภาคต่อที่เจ๋งที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้ แม้ว่าธีมหนังมันจะแตกต่างโดยสิ้นเชิง แต่มันมีจังหวะที่ทุกคนน่าจะชอบ”
‘Bruce Almighty’ หรือ ‘7 วันนี้ พี่ขอเป็นพระเจ้า’ เป็นการร่วมงานครั้งที่ 3 ของแคร์รี และผู้กำกับ ทอม ชาเดียก (Tom Shadyac) หลังจากที่เคยร่วมงานกันมาแล้วใน ‘Ace Ventura: Pet Detective’ (1994) และ ‘Liar Liar’ in (1997) โดยมีโคเรน โอคีฟ และโอเดเคิร์กร่วมเขียนบท ด้วยพล็อตหนังแนวฟีลกู้ดที่แปลกใหม่ในเวลานั้น ลีลาตลกเหนือชั้นของแคร์รี และสารของหนังที่ว่าด้วยความพึงพอใจในตนเอง ทำให้ตัวหนังได้รับคำชื่นชมจากผู้ชมเป็นอย่างมาก ตัวหนังกวาดรายบนบ็อกซ์ออฟฟิศแบบจุก ๆ ไปถึง 484 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างเพียง 81 ล้านเหรียญ
ความสำเร็จอย่างงดงามของภาคแรก ทำให้มีการตัดสินใจสร้างหนังสปินออฟ ‘Evan Almighty’ (2007) หรือ ‘พี่ขอเป็นพระเจ้าด้วยคน’ ตัวหนังได้ ทอม ชาเดียก (Tom Shadyac) กลับมากำกับอีกครั้ง และได้ดาราตลกหน้ามีมอย่าง สตีฟ คาเรล (Steve Carell) กลับมารับบท อีแวน แบ็กซเตอร์ (Evan Baxter) อดีตผู้ประกาศข่าวลิ้นรัวจากภาคแรก ที่เพิ่งจะได้รับตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาคองเกรสในภาคนี้
เขาได้รับภารกิจระดับพระเจ้า จากพระเจ้าที่หน้าตาเหมือน มอร์แกน ฟรีแมน ให้ทำการต่อเรือโนอาห์ ด้วยสองมือเปล่า และเครื่องมือโบราณ ๆ เพื่อช่วยสรรพสัตว์นานาชนิดให้รอดพ้นจากภัยน้ำท่วมโลกตามตำนานในคัมภีร์ไบเบิล ตัวหนังได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบเป็นส่วนใหญ่ แถมทำรายได้แบบปริ่มน้ำเพียง 174 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างที่สูงถึง 175 ล้านเหรียญ มากกว่าภาคแรกแบบเกินเท่าตัว แถมตัวหนังเองก็เรียกได้ว่ากระแสกริบมาก จนหลายคนอาจไม่รู้ว่าหนังฉายไปแล้วด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ โคเรนและโอคีฟ ยังได้เล่าแง่มุมที่หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมตัวหนังไม่เกิดประเด็นดราม่าทัวร์ลง ทั้ง ๆ ที่ประเด็นเรื่องพระเจ้าและศาสนาเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน และพร้อมจะมีทัวร์จากผู้มีจิตศรัทธามาลงถึงหน้าบ้านแน่ ๆ ถ้าเนื้อหาเลยเส้นจนกลายเป็นลบหลู่ดูหมิ่น นั่นก็เป็นเพราะพวกเขามองว่า ตัวหนังไม่ได้ยืดโยงว่าจะต้องเป็นพระเจ้าจากศาสนา หรือนิกายไหนแบบตรง ๆ โดยโอคีฟกล่าวว่า “สำหรับเรา เราคิดว่า พระเจ้าก็คือพระเจ้าน่ะครับ พวกเรามองว่า แนวคิดเรื่องพระเจ้านั้นมีอยู่ร่วมในหลาย ๆ วัฒนธรรมอยู่แล้ว ฉะนั้น ตัวเรื่องก็เลยโดนใจทุกคนได้ไม่ยาก”
ที่มา: Syfy, Variety, Entertainment Weekly, Wikipedia (1), Wikipedia (2)