ในภาพยนตร์ไซไฟเรื่อง Her เมื่อปี ‘2013’ นักแสดงสาวมากฝีมือ สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน (Scarlett Johansson) รับบทบาทด้วยการใช้เสียงเป็นระบบ AI ที่ชื่อว่า ‘ซาแมนธา’ (Samantha) แม้ว่าตัวละครของเธอจะไม่เคยปรากฏบนจอ แต่เสียงของโจแฮนส์สันก็เป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลต่ออารมณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ ผู้ชมหลายคนหลงใหลในความงามและความรู้สึกชิดใกล้ที่ได้จากการแสดง (ผ่านเสียง) ของเธอ และเสียงของเธอก็กลายเป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่โดดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่อะไรล่ะที่ทำให้เสียงของโจแฮนส์สัน ดึงดูดใจผู้ชมเรื่อง ‘Her’ ได้ขนาดนี้ ในบทความนี้ เราจะสำรวจบทบาทของสีสันของเสียง (Tone color หรือ Timbre) เพื่อดูว่าลักษณะเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของโจแฮนส์สันมีส่วนทำให้การแสดงของเธอใน ‘Her’ ประสบความสำเร็จได้อย่างไร นอกจากนี้ เราจะมาดูกันว่าวิธีการที่เสียงของเธอช่วยสร้างความรู้สึกใกล้ชิดและเชื่อมโยงกับตัวเอกของเรื่อง และวิธีที่เสียงดังกล่าวกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างผลกระทบทางอารมณ์ของภาพยนตร์นั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร
สีสันของเสียงคืออะไร ?
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจคำว่า ‘สีสันของเสียง’ (Tone color) หรือ Timbre (อ่านว่า ‘แทมเบอร์’) กันเสียก่อน Timbre เป็นคำที่ใช้ในดนตรีวิทยาเพื่ออธิบายคุณภาพของเสียงที่แตกต่างจากเสียงอื่นที่มีระดับเสียงและความดังเท่ากัน บางครั้งเรียกว่า ‘สีสันของเสียง’ และเป็นส่วนสำคัญของการแสดงออกทางดนตรี
Timbre เปรียบเสมือน ‘ลายนิ้วมือ’ ของเสียง โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น รูปร่างของคลื่นเสียง ฮาร์มอนิกและโอเวอร์โทนที่มีอยู่ในเสียง และวิธีการสร้างหรือขยายเสียง ตัวอย่างเช่น Timbre ของกีตาร์จะแตกต่างจาก Timbre ของเปียโนที่เล่นโน้ตเดียวกันในระดับเสียงเดียวกัน แม้ว่าเสียงเหล่านั้นจะสร้างความถี่เดียวกันก็ตาม
Timbre มักใช้เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างเครื่องดนตรีหรือเสียงต่าง ๆ และเป็นองค์ประกอบสำคัญในพื้นผิว (texture) ของเสียงดนตรีและเสียงประสาน (harmony) นอกจากนี้ยังสามารถใช้เพื่อถ่ายทอดอารมณ์ในดนตรี เนื่องจาก Timbre ที่แตกต่างกันสามารถกระตุ้นความรู้สึกที่แตกต่างกันในผู้ฟัง ตัวอย่างเช่น เสียงแซกโซโฟนที่นุ่มนวลและไพเราะอาจใช้เพื่อสร้างความรู้สึกเย้ายวนหรือเศร้าโศก ในขณะที่เสียงกีตาร์ที่รุนแรงอาจใช้เพื่อสร้างความรู้สึกโกรธหรือตึงเครียด
Timbre สามารถแบ่งออกเป็นหลายองค์ประกอบ สิ่งเหล่านี้รวมถึงความถี่พื้นฐานหรือระดับเสียงที่รับรู้ได้ของเสียง (fundamental frequency) ความถี่เพิ่มเติมที่มีอยู่ในเสียงที่ให้สีสันแก่เสียงนั้น (harmonic content) และลักษณะการเกิดเสียงที่เกี่ยวข้องกับความเข้มและเวลา (envelope)
harmonic content นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งในการระบุ Timbre ของเสียง เมื่อมีการเล่นเครื่องดนตรีหรือเปล่งเสียงออกมา มันจะสร้างคลื่นที่ซับซ้อนซึ่งไม่เพียงแต่มีความถี่พื้นฐานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงฮาร์โมนิกและโอเวอร์โทนด้วย ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่ทำให้เสียงมีลักษณะเฉพาะและแยกความแตกต่างจากเสียงอื่น ๆ ที่มีความถี่พื้นฐานเดียวกัน
เครื่องดนตรีและเสียงที่แตกต่างกันมีสเปกตรัมฮาร์มอนิกที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงมี Timbre ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ไวโอลินผลิตฮาร์มอนิกสเปกตรัมที่เข้มข้นและซับซ้อน ซึ่งให้เสียงที่โดดเด่นและสื่ออารมณ์ได้ดี ในทางตรงกันข้าม ทรัมเป็ตสร้างฮาร์มอนิกชุดที่จำกัดกว่า ซึ่งให้เสียงที่สดใสและพุ่งเข้ามามากกว่า
นอกจากนี้ Timbre ยังสัมพันธ์กับวิธีการที่เราใช้ในการสร้างเสียงอีกด้วย ตัวอย่างเช่น กีตาร์ที่เล่นด้วยปิ๊กจะให้เสียงแตกต่างจากกีตาร์ตัวเดียวกันที่เล่นด้วยนิ้วหรือปิ๊กประเภทอื่น ในทำนองเดียวกัน Timbre ของนักร้องอาจสัมพันธ์กับท่าทาง การหายใจ และปัจจัยทางกายภาพอื่น ๆ
Timbre เป็นส่วนสำคัญของการแสดงออกทางดนตรีและถูกใช้โดยนักแต่งเพลงและนักแสดงเพื่อถ่ายทอดอารมณ์ ด้วยการเลือกเครื่องดนตรีหรือเสียงที่มี Timbre ที่แตกต่างกัน นักดนตรีสามารถสร้างแนวเสียงที่สมบูรณ์และหลากหลายซึ่งดึงดูดผู้ฟังในหลายระดับ Timbre ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของการออกแบบเสียงในภาพยนตร์ โทรทัศน์ และวิดีโอเกม ซึ่งใช้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดื่มด่ำและสัมผัสทางอารมณ์สำหรับผู้ชมหรือผู้เล่นอีกด้วย
สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน ผู้มอบเสียงอันเปี่ยมเสน่ห์ให้กับ ‘ซาแมนธา’
เรื่องราวเบื้องหลังบทบาทของสการ์เลตต์ โจแฮนส์สันใน ‘Her’ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ผู้กำกับ สไปก์ จอนซ์ (Spike Jonze) เดิมเลือกให้ ซาแมนธา มอร์ตัน (Samantha Morton) มารับบทเป็น AI ‘ซาแมนธา’ ซึ่งมอร์ตันได้อัดเสียงบทสนทนาทั้งหมดของเธอสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้จนเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว แต่หลังจากถ่ายทำเสร็จ จอนซ์ก็ตัดสินใจยกเครื่องใหม่ทั้งหมด ไม่ใช้เสียงของมอร์ตันและทาบทามให้โจแฮนส์สันมาเป็นผู้ให้เสียง และทำการแต่งบทใหม่ร่วมกับโจแฮนส์สัน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างตัวเอกของเรื่องคือธีโอดอร์ [รับบทโดย วาคีน ฟินิกซ์ (Joaquin Phoenix)] และซาแมนธา ผู้ช่วย AI ของเขา
โจแฮนส์สันถูกเรียกตัวมาอัดเสียงบทสนทนาทั้งหมด และนำพลังที่แตกต่างมาสู่บทนี้ โจแฮนส์สันให้เสียงที่มีความนุ่มนวลและเป็นกันเองมากขึ้น และเธอสามารถสร้างความรู้สึกลึกซึ้งทางอารมณ์ที่ไม่มีอยู่ในการแสดงของมอร์ตัน แนวทางของโจแฮนส์สันในบทบาทนี้ช่วยยกระดับผลกระทบทางอารมณ์ของภาพยนตร์ และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างธีโอดอร์กับซาแมนธาเป็นจริงและจับต้องได้มากขึ้น
การแสดง (ผ่านเสียง) ของโจแฮนส์สันใน ‘Her’ ได้รับคำชมอย่างกว้างขวาง และภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมและรางวัลมากมาย รวมถึงรางวัลออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม และโจแฮนส์สันยังได้เข้าชิงในสาขานักแสดงสมบทหญิงยอดเยี่ยมในอีกหลายเวที บทบาทของโจแฮนส์สันในภาพยนตร์เรื่องนี้ช่วยแสดงให้เห็นถึงความเก่งกาจของเธอในฐานะนักแสดง และเธอยังคงเป็นหนึ่งในนักแสดงหญิงที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดในฮอลลีวูด
ทำไมเสียงของโจแฮนส์สันถึงน่าหลงใหล
เสียงของ สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน ในภาพยนตร์เรื่อง ‘Her’ นั้นได้รับการวิจารณ์จากหลาย ๆ คนว่าให้ความรู้สึกผ่อนคลาย รื่นรมย์ และน่าดึงดูดใจ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นคุณลักษณะที่เกิดจาก Timbre ของเธอ
การที่เราไม่เห็นร่างกายของเธอทำให้ผู้ชมได้จดจ่ออยู่กับเสียงของโจแฮนส์สันมากขึ้นและเสียงของเธอได้แสดงบทบาทออกมาอย่างชัดเจน ซึ่ง Timbre ของเธอนั้นมีความพิเศษ มันเป็นเสียงที่อบอุ่นและหนักแน่น มีความแหบเล็กน้อยและสั่นไหวเบา ๆ ลักษณะเหล่านี้สร้างความรู้สึกของความใกล้ชิดและความลึกซึ้งทางอารมณ์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในภาพยนตร์ที่สำรวจธีมของความรักและความเชื่อมโยงของมนุษย์
นอกจากนี้ วิธีการพูดของโจแฮนส์สันในภาพยนตร์ก็มีความสำคัญในการสร้างความรู้สึกใกล้ชิดระหว่างตัวละครของเธอกับธีโอดอร์ เธอพูดอย่างนุ่มนวลและตั้งใจ ด้วยความเอาใจใส่ สิ่งนี้ดึงผู้ชมเข้าสู่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครทั้งสองและสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงทางอารมณ์
นอกจากนี้ยังมีคนวิจารณ์ว่าการที่เสียงของซาแมนธานั้นมีเสน่ห์เพราะมาจากการที่เสียงของโจแฮนส์สันนั้นมีความเซ็กซี่ ซึ่งตามหลักของ Timbre แล้วเสียงที่มีความเซ็กซี่นั้นจะประกอบไปด้วยลักษณะดังต่อไปนี้
ความอบอุ่นและลุ่มลึก (Warmth and depth) เสียงที่ต่ำและกังวาลสามารถสร้างความรู้สึกเย้ายวนใจได้มากกว่า
ลมหายใจ (Breathiness) เสียงพูดที่มีเสียงลมหายใจผ่านออกมาสามารถบ่งบอกถึงความใกล้ชิดและความเปราะบาง และสร้างความรู้สึกว่าเจ้าของเสียงนั้นมีเสน่ห์
ความนุ่มนวล (Smoothness) เสียงที่ราบเรียบและปราศจากความหยาบหรือความตึงเครียดสามารถรับรู้ได้ว่าน่าดึงดูดและรู้สึกผูกพันมากขึ้น
เสียงแหบ (Huskiness) เสียงที่แหบแห้งหรือเสียงแหบเล็กน้อยสามารถสร้างความรู้สึกเร่าร้อนและเย้ายวนใจได้
มีจังหวะการพูดที่ช้า (Slow tempo) เสียงที่ช้าและมีความตั้งใจในการพูดสามารถบ่งบอกถึงความมั่นใจ ซึ่งให้ความรู้สึกว่าเสียงนั้นมีความเซ็กซี่
การแสดงออก (Expressiveness) เสียงที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ที่หลากหลายสามารถสร้างความรู้สึกผูกพันและน่าดึงดูดยิ่งขึ้น
ซึ่งเมื่อพิจารณาคุณลักษณะเหล่านี้แล้วจะพบว่าเป็นลักษณะที่พบในน้ำเสียงและโทนเสียงของโจแฮนส์สันทั้งนั้นเลย
เสียงของโจแฮนส์สันทำให้ ‘ซาแมนธา’ มีความเป็น ‘มนุษย์’
ด้วยเสียงของโจแฮนส์สันนั้นมีความอบอุ่น การแสดงออกทางอารมณ์ และมีคุณสมบัติที่เย้ายวน ซึ่งเป็นคุณสมบัติทั้งหมดที่สามารถช่วยให้ตัวละครของซาแมนธาในภาพยนตร์เรื่อง ‘Her’ ดูมีความเป็นมนุษย์
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้เสียงของโจแฮนส์สันทำงานได้ดีในบทบาทนี้คือเสียงนั้นมีความเป็นธรรมชาติและไม่ฝืน ไม่แข็งเกร็ง (หากเปรียบเทียบกับเสียงของ AI ผู้ช่วยอย่าง ‘Siri’ แล้วจะเข้าใจเลย) เสียงพูดของซาแมนธานั้นเป็นเสียงสนทนาที่มีความเป็นกันเองเฉกเช่นในแบบที่คนเราพูดคุยกัน ซึ่งสร้างความรู้สึกใกล้ชิดและความคุ้นเคยระหว่างตัวละครของเธอกับธีโอดอร์ นอกจากนี้ เสียงของเธอยังมีคุณลักษณะที่อบอุ่นและผ่อนคลาย ซึ่งสามารถช่วยให้ผู้ฟังรู้สึกสบายใจ และสร้างความรู้สึกไว้วางใจได้
อีกเหตุผลหนึ่งที่เสียงของโจแฮนส์สัน มีประสิทธิภาพในบทบาทนี้คือเสียงของเธอนั้นสามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้หลากหลาย ในบทบาทของซาแมนธา เธอได้แสดงออกทางอารมณ์ทั้งความดีใจ ความอยากรู้อยากเห็น ความขี้เล่น และแม้แต่ความเศร้า ซึ่งทำให้ตัวละครของเธอมีความรู้สึกที่ซับซ้อนและมีมิติที่หลากหลายมากขึ้น การแสดงออกทางอารมณ์นี้ช่วยสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงและเห็นอกเห็นใจระหว่างผู้ชมกับตัวละครของซาแมนธาได้เป็นอย่างดี
สุดท้ายคือน้ำเสียงของโจแฮนส์สันนั้นมีเสน่ห์เย้ายวนชวนหลงใหล นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับบทบาทของซาแมนธา ผู้ซึ่งควรจะเป็นคนรักของธีโอดอร์ เสียงของโจแฮนส์สันมีความเย้ายวนโดยธรรมชาติ ซึ่งสามารถช่วยสร้างความรู้สึกใกล้ชิดและเคมีระหว่างตัวละครของเธอกับธีโอดอร์
ที่มา
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส