[รีวิว] Queenmaker | แฉผู้นำ ชำแหละนายทุน บนเวทีแค้นครั้งใหม่เล่นใหญ่กว่า The Glory
Our score
8.4

ผู้กำกับ

โอจินซอก (Love with Flaws)

เขียนบท

มุนจียอง (Who Are You)

[รีวิว] Queenmaker | แฉผู้นำ ชำแหละนายทุน บนเวทีแค้นครั้งใหม่เล่นใหญ่กว่า The Glory
Our score
8.4

Queen Maker

จุดเด่น

  1. + สนุกสะใจสมความคาดหวังว่าจะได้เห็นการล้างแค้นเดือด ๆ และเกมการเมืองแบบฉลาด ๆ ชนิดตื่นเต้นจนหยุดดูไม่ได้ ทีมนักแสดงดีงามช่วยกันส่งเสริมบทให้ออกมาดีกว่าเดิม โปรดักชั่นเรียกได้ว่าทำถึง

จุดสังเกต

  1. - ยังมีจุดโหว่ในเรื่องความสัมพันธ์และความสมจริงในบางสถานการณ์ แต่ภาพรวมก็ยังสนุกและตอบโจทย์ซีรีส์แนวแก้แค้นเอาคืนอยู่ดี
  • บท

    8.0

  • โปรดักชัน

    7.5

  • การแสดง

    8.8

  • ความสนุกตามแนวหนัง

    8.9

  • ความคุ้มค่าการรับชม

    9.0

หลังจากที่ The Glory จบไปหลายคนก็คงติดใจและขวนขวายที่จะหาซีรีส์แนวล้างแค้นเอาคืนมารีบดูต่อตอนไฟยังติด Netflix เค้าก็คงรู้งานเลยหามาเสิร์ฟได้อย่างทันท่วงที ทำให้เราไม่พูดถึงซีรีส์เรื่องนี้เลยคงไม่ได้ เพราะนี่คืออีกครั้งของซีรีส์เกาหลีกับการที่คนตัวเล็กธรรมดา ๆ จะลุกขึ้นมาเขย่าบัลลังก์เทพเจ้าและนี่คือ Queenmaker ซีรีส์ที่กำลังมาแรงในขณะนี้ เล่าเรื่องราวของหญิงแกร่งสองคนที่นิสัยต่างกันสุดขั้ว แต่ต้องมาร่วมมือกันโค่นบัลลังก์สุดยอดนายทุนผู้ที่คอยหนุนและชักใยอยู่เบื้องหลังคนในวงการการเมืองของเกาหลีใต้

นี่ไม่ใช่การแก้แค้นธรรมดาแต่เราจะได้เห็นเกมการเมืองแบบดำมืดบริสุทธิ์ ที่คนตัวเล็กกว่าต้องทำทุกวิถีทางเพื่อล้างกระดานโค่นอำนาจตระกูลใหญ่ ไม่ต่างอะไรกับเกมที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน เพียงแค่เรื่องย่อก็น่าสนใจขนาดนี้แล้ว มาดูกันดีกว่าว่าหลังจากดูจบเราจะได้อะไรจากเกมอาฆาตสุดเดือดครั้งนี้บ้าง

เรื่องย่อ

ซีรีส์พาเราไปทำความรู้จักกับโลกของ ฮวังโดฮี PR สาวสุดแกร่งหัวหน้าทีมวางแผนกลยุทธ์คนสำคัญของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีชื่อว่า อึนซองกรุ๊ป องค์กรใหญ่ทุนหนาที่เป็นเหมือนเสาหลักค้ำฟ้าเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ ถ้าพูดให้เห็นภาพก็คงคล้าย ๆ กับเจ้าสัวใหญ่บ้านเรา ซึ่งเธอผู้นี้คือคนทำหน้าที่คอยวางแผนดูแลและตามเช็ดล้างทุกปัญหาทุกวีรกรรมโสมมที่คนในตระกูลนี้สร้างเอาไว้ ไม่ว่าจะปัญหาเล็กใหญ่แค่ไหนเธอก็เอาอยู่ เหมือนกับเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ราวกับนี่เป็นพรสวรรค์เดียวที่พระเจ้าจะประทานให้คนธรรมดาอย่างเธอได้ วันหนึ่งเธอถูกบริษัทหักหลัง เทพเจ้า(นาย) ที่เธอคอยดูแลและเทิดทูนมาตลอดกลับหักหลังและถีบส่งเธอตกจากสวรรค์ซะเอง ทำให้เธอต้องโคจรมาเจอกับ โอกยองซุก ทนายความนักเคลื่อนไหวหญิงสุดอินดี้ ผู้เป็นทั้งทนายความของประชาชนและเป็นทั้งแม่และเมียของครอบครัวเล็ก ๆ ผู้มีชีวิตเพื่อการอุทิศตนแด่ความยุติธรรม การมาเจอกันของทั้งสองคนจึงเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมาย เพราะเมื่อความจำเป็นส่งคนสองคนที่นิสัยต่างกันสุดขั้วให้ต้องมาร่วมมือกันโค่นยักษ์ใหญ่สร้างโลกใหม่ที่ดีกว่าเดิม ก็แทบเดาไม่ได้เลยว่าความบรรลัยหรือไฟชำระแค้นจะเกิดก่อนกัน แต่ไม่ว่ายังไงเธอสองคนก็ต้องหันมารวมพลังกันถอนรากถอนโคนอินซองกรุ๊ปในศึกลงเลือกตั้งหาผู้ว่ากรุงโซลคนใหม่ให้ได้ การแก้แค้นครั้งใหญ่ชนิดมีชีวิตเป็นเดิมพันจึงเริ่มต้นขึ้น

ความรู้สึกหลังดู

ข้อดีของซีรีส์เกาหลียุคนี้ก็คือมันพัฒนาไปไกลมากจนไม่ว่าจะแตะหรือเลือกจะหยิบจับประเด็นอ่อนไหวแค่ไหนมาพูดถึงก็สามารถทำได้อย่างตรงไปตรงมา ถึงพริกถึงขิงแค่ไหนก็ไม่มีใครว่า แม้ว่านั่นจะเป็นประเด็นเปราะบางทางการเมืองก็ตาม อิสระที่คนทำงานสามารถพูดถึงได้ในทุกประเด็นที่ซ่อนอยู่ในสังคมจึงเป็นเรื่องน่ายินดีปนน่าอิจฉาเพราะมันทำให้ซีรีส์ Queen Maker เรื่องนี้เป็นซีรีส์ที่ดูแล้วสาแก่ใจเพราะมันเต็มไปด้วยเรื่องราวอันน่าสนใจ เหมือนกับมีวัตถุดิบชั้นดีในมือโดยที่ผู้สร้างเองก็สามารถนำมาปรุงได้อย่างเอร็ดอร่อย เผ็ด มัน ใครคาดหวังว่าจะได้เห็นเกมการแก้แค้นก็จะได้เห็นมันแบบเต็ม ๆ จุก ๆ จุใจทั้งเรื่อง และใครคาดหวังว่าจะได้ซาบซึ้งไปกับฉากดราม่าสะเทือนหัวใจก็จะได้ร้องไห้แบบน้ำตาชุ่มปอด และถ้าใครคาดหวังว่าจะได้เห็นฉากกรรมตามสนองแบบแซ่บ ๆ ถึงใจ คุณก็จะได้เห็นทุกอย่างที่คาดหวังไว้อย่างแน่นอน! ซึ่งตัวซีรีส์เองก็ไม่ได้ตั้งใจจะนำเสนอแค่ในเรื่องราวของการแก้แค้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ประเด็นต่าง ๆ ที่ซีรีส์เลือกมาใส่ในแต่ละตอนเรียกได้ว่าน่าสนใจและทัชใจคนดูสมัยใหม่ได้แทบทุกตอนเลยทีเดียว มาค่ะ เราจะมารีวิวให้ฟังว่ามีประเด็นไหนที่ต้องพูดถึงและดึงให้เราอยู่กับหนังได้ตั้งแต่ต้นจนจบบ้าง

แน่นอนว่าแค่การนำนักแสดงหญิงตัวแม่แห่งวงการเกาหลีอย่าง คิมฮีแอ และ มุนโซรี มาเจอกันในซีรีส์เรื่องเดียวก็เป็นอะไรที่น่าดูมากพออยู่แล้ว ในขณะเดียวกันก็ทำให้เราคาดเดาได้เลยว่าคอนเซ็ปต์หลักที่เป็นเหมือนเรือธงของซีรีส์เรื่องนี้ต้องหนีไม่พ้นการพูดถึง Empowering Women หรือเพื่อนหญิงพลังหญิงที่กำลังเป็นกระแสและค่อย ๆ เปลี่ยนสังคมชายเป็นใหญ่ในเกาหลีใต้ไปทีละน้อย เพราะแทบจะทุกตอนซีรีส์ตั้งใจจะโชว์ให้เราได้เห็นพลังความเป็นตัวแม่ของผู้หญิงทั้งสองคนที่คนหนึ่งเป็นถึงพนักงานระดับสูงในองค์กรใหญ่ที่ไต่เต้าจากคนธรรมดาไม่มีเส้นสายขึ้นมาสู่ตำแหน่งผู้มีอำนาจในบริษัทยักษ์ใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเธอไม่ใช่คนฉลาดหลักแหลมที่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไม่เป็น รับมือกับความกดดันจากเบื้องบนที่คอยแต่จะสร้างปัญหาและปัดสวะมาให้เธอคอยรับผิดชอบอยู่เรื่อย ๆ ไม่ต่างอะไรกับหมาเฝ้าบ้านที่ต้องถวายหัวเทิดทูนทำงานทุกอย่างไปพร้อม ๆ กับการสู้กับคำพูดดูถูกเหยียดหยามของคนรอบข้างอยู่ตลอดเวลา เป็นโถส้วมของคนรวยบ้างล่ะ เป็นหมาล่าเนื้อบ้างล่ะ ยิ่งพอเป็นผู้หญิงธรรมดาในสังคมชายเป็นใหญ่ด้วยแล้ว ไม่มีใครรู้เลยว่าเธอต้องลงทุนลงแรงและเหนื่อยกับการปีนขึ้นมาอยู่ในจุดสูงสุดของอาชีพนี้มากกว่าคนอื่นแค่ไหน จนกระทั่งความผิดพลาดแค่ครั้งเดียวนำไปสู่การถูกหักหลังเหมือนกับโลกทั้งใบหันหลังให้ คนเหล่านี้นี่แหละที่รอจังหวะเหยียบเธอซ้ำ

พาร์ตแรกของเรื่องราวจึงนำไปสู่ปมการล้างแค้นครั้งใหญ่ได้อย่างสมเหตุสมผลและสนุกสะใจสุดไม่แพ้เรื่องไหน และแน่นอนว่าบทบาทของฮวังโดฮีคนนี้ถ้าไม่ใช่นักแสดงระดับตำนานอย่าง คิมฮีแอ ก็นึกภาพไม่ออกเหมือนกันว่าจะทำออกมาดีขนาดนี้หรือไม่ ทั้งที่เราคนดูก็ยังติดภาพเมียหลวงสายฟาดจากตัวละครมาสเตอร์พีซอย่าง หมอจี จาก A World of Married Couple อยู่บ้าง แต่การได้ดูแม่โลดแล่นเป็นตัวละครใหม่ในเรื่องนี้ ก็ทำให้เราเชื่อได้อย่างหมดใจว่าเธอคือ PR สาวสุดเหลี่ยมจัด เป็นจอมวางแผนที่พร้อมชนกับทุกคนเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย นับว่าเป็นตัวละครที่นักแสดงและคนเขียนบทบรรจงสร้างและผ่านการทำการบ้านมาอย่างดี ดูออกว่านักแสดงเข้าใจความเป็นโดฮีได้อย่างถ่องแท้จนสามารถสื่อสารและไดรฟ์ทิศทางตัวละครได้อย่างชัดเจน แม้จะมีจุดสังเกตุอยู่บ้างแต่ก็เป็นตัวละครที่มีเสน่ห์จนมองข้ามจุดเล็ก ๆ จุดนั้นไปได้เลย

ในขณะที่อีกหนึ่งตัวละครหญิงแกร่งอย่าง โอกยองซุก ต้องรับบทเป็นทั้งผู้นำในบ้านและเป็นทั้งผู้นำของชุมชนไปพร้อมกัน ซีรีส์กลับเลือกที่จะนำเสนอเธอออกมาแบบตรงไปตรงกว่าฮวังโดฮี การที่บทกำหนดมาว่าเธอคือนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนและเพื่อผู้หญิง ทำให้เราเข้าใจง่ายและไม่ต้องพยายามทำความรู้จักตัวละครอะไรมากมาย ด้วยบุคลิกการพูดจาโผงผาง เสียงดัง พูดและทำทุกอย่างแบบตรงไปตรงมาแบบตามประสาคนซื่อ แรดถึกโอกยองซุกจึงเป็นตัวละครที่คนดูดูแล้วรู้สึกอยากเอาใจช่วย อยากให้เธอเอาชนะเหล่าคนไม่ดีมากมายในเรื่องให้สำเร็จจนได้ แต่ในอีกมุมหนึ่งความขาวบริสุทธิ์ของตัวละครนี้ที่เดินอยู่ท่ามกลางเหล่าตัวละครสีเทาดำ กลับทำให้เรารู้สึกเข้าถึงเธอได้ยากกว่า เพราะตลอดเวลาการดูเราจะตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่า “มันมีคนแบบนี้จริง ๆ เหรอ?” “ในวงการการเมืองจะยังเหลือคนแบบนี้จริง ๆ เหรอ?” ซึ่งในจุดนี้ การที่ซีรีส์เพิ่มประเด็น “ความเป็นแม่” ที่เธอทำได้ไม่ดีนัก เพราะมัวแต่มุ่งมั่นทุ่มเททำงานเพื่ออุดมการณ์และคนอื่น ๆ มากกว่าจะหันสนใจลูกซึ่งกว่าจะรู้ตัวว่าเกือบสายไป จนนำไปสู่ข้อครหาว่า “เป็นแม่ที่ดียังไม่ได้แล้วจะเป็นผู้ว่าที่ดีได้อย่างไร” จึงกลายเป็นประเด็นต่อยอดที่น่าสนใจของเรื่องต่อไปได้ แถมเป็นการอุดช่องโหว่ของตัวละครที่เกือบจะดูไม่สมจริงนี้ได้อย่างสมบูรณ์

และด้วยความที่เป็นซีรีส์เพื่อหญิงพลังหญิงก็จะมีตัวละครหญิงให้พูดถึงอยู่มากมาย ซึ่งนอกจากตัวเอกทั้งสองคนแล้วเราจะไม่พูดถึงอีกหนึ่งตัวละครหญิงคนนี้ไม่ได้นั่นก็คือ ท่านประธานซอนยังชิม ที่แม้ว่าดูเผิน ๆ เธอจะเหมือนตัวร้ายสไตล์มืดดาร์กที่มาพร้อมอำนาจ เงิน และความโลภแบบไม่มีที่สิ้นสุด คล้ายกับหลายตัวละครในหลายเรื่องที่ดูจะเป็นทรงนายทุนหิวอำนาจที่เจอได้ทั่วไป แต่ทีมเขียนบทเองก็พยายามแก้เกมทำให้เธอดูมีอะไรมากขึ้นด้วยการใส่ความเป็นแม่ลงไปในตัวละครเลวสุดกู่ตัวนี้ เหมือนเป็นการทดลอง What if ใหม่ ๆ ให้คนดูดูว่าจะเป็นอย่างไรถ้าตัวละครสุดดำมืดตัวนี้ยังมีความเป็นแม่หลงเหลืออยู่บ้าง ใช่ค่ะ มันช่วยดึงดูดให้เรามองดูตัวละครนี้อย่างสนใจมากขึ้นได้ไม่น้อยเลย แถมยังทำได้ดีซะจนมีช่วงที่เรียกน้ำตาได้ซะด้วยซ้ำ งานนี้นอกจากชื่นชมบทแล้วยังต้องชื่นชมนักแสดงอย่าง ซออีซุก ที่สามารถถ่ายทอดความร้ายกาจออกมาได้อย่างน่าหมั่นไส้ ดูแล้วเชื่อได้ไม่ยากว่าเธอคือผู้นำทั้งในบ้านและนอกบ้านที่กุมอำนาจเอาไว้ และพร้อมจะใช้อำนาจนั้นแบบไม่สนวิธีการได้ตลอดเวลา เป็นความยอดเยี่ยมของซีรีส์ที่ยังคงรักษาแก่นหลักของเรื่องอย่างความเป็นผู้หญิง เป็นแม่ และเป็นผู้นำ(ราชินี) ที่มีอยู่ในทุกตัวละคร เพียงต่างมุมมอง ต่างชนชั้น และทำให้ต่างคนต่างแสดงมันออกมาไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิงนั่นเอง

ประเด็นต่อมาที่ซีรีส์ทำให้เราเห็นเป็นภาพใหญ่ได้ไม่แพ้เรื่องพลังหญิง (หรืออาจจะเห็นภาพชัดกว่าด้วยซ้ำ) ก็คือสงครามการเลือกตั้งและเกมการเมืองอันดุเดือดเลือดสาด ที่เหมือนหยิบทุกประเด็นน่าสนใจไม่ว่าจะเบื้องหลังอันฉาวโฉ่หรือการทำงานเบื้องหน้าที่กว่าจะมาเป็นการเลือกตั้งอันเสร็จสมบูรณ์มันไม่ใช่เรื่องง่าย คนดูจะได้เห็นทุกกระบวนการผลิตตั้งแต่ 1-10 ได้เห็นทุก ๆ หน้าที่ที่ทำงานอยู่ในวงการสีเทา ๆ แห่งนี้ ทั้งฝ่ายวางแผนกลยุทธ์หาข้อมูลต่าง ๆ ฝ่ายดูแลภาพลักษณ์ ฝ่ายอีเวนต์ ฝ่ายหาเส้นสาย แล้วไหนจะต้องหาทุนมานั่งหาเสียงอีก เรียกได้ว่าพาร์ทนี้เป็นพาร์ทที่ส่วนตัวแล้วชอบมากที่สุดในเรื่อง อยากเห็นกลเม็ดเคล็ดลับในการสร้างความนิยมหรือกลยุทธ์เรียกคะแนนต่าง ๆ ที่ไม่เคยเห็นจากไหน อาจจะซีรีส์มันมาได้ทันท่วงทีกับสถานการณ์บ้านเมืองเลยทำให้เราอินได้ไม่ยาก และมันปฎิเสธไม่ได้เลยว่าในพาร์ตการทำงานเบื้องหลังพวกนี้เต็มไปด้วยเสน่ห์ของเกมการเมืองแบบชิงไหวชิงพริบขั้นสุดที่ต่างฝ่ายต่างก็ต้องแก้ทางกันไปมาไม่ว่าจะด้วยวิธีการเจ๋ง ๆ หรือวาทกรรมอันชาญฉลาดมากมาย จนซีรีส์ค่อย ๆ ดันกราฟความเลยรุนแรงเถิดขึ้นไปเรื่อย ๆ จนเราแทบจะได้เห็นทุกวิธีการอันสกปรกโสมมและแผนตลบหลังอันแยบยลที่สนุกสะใจแบบนั่งไม่ติดเก้าอี้ ใครชอบอะไรแบบนี้บอกเลยว่าคุ้มค่าที่จะดูอย่างแน่นอน

และด้วยความที่บททำการบ้านในส่วนของการเสียดสีสังคมมาอย่างดี จะบอกว่าประเด็นใหญ่ ๆ ที่เราพูดไปแล้วก่อนหน้านี้ต่างก็มีประเด็นสังคมน่าสนใจเล็ก ๆ คอยโหมกระพือไฟแห่งการล้างแค้นครั้งนี้ให้ยิ่งลุกโชนมากขึ้นไปอีก ถึงแม้ว่าจะเป็นการพูดถึงในเวลาสั้น ๆ แต่ก็ทำได้ไม่เลว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาครอบครัว การใช้ความรุนแรงในโรงเรียน การถูกล่วงละเมิดทางเพศในที่ทำงาน หรือแม้กระทั่งปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมที่แม้จะไม่ได้เจาะประเด็นอย่างลึกซึ้งมากมาย แต่ก็หยอดมาให้เห็นได้เรื่อย ๆ เรียกตัวเองว่าเป็นซีรีส์เสียดสีสังคมได้อย่างเต็มตัวเลยล่ะ

และใครที่อ่านมาจนถึงจุดนี้อาจรู้สึกว่า “ฟังดูดีไม่น่ามีจุดบอดรึเปล่านะ?”

มีค่ะ! คือไม่ถึงกับเป็นจุดบอดแต่ก็แอบเป็นจุดงงที่เราดูจบก็ยังคงตั้งคำถามอยู่ เช่น การที่ซีรีส์ให้เวลาเราได้รู้จักตัวละครสำคัญน้อยมาก ๆ โดยเฉพาะตัวละครหลักอย่าง ฮวังโดฮี ที่แม้จะดูจนจบแล้วก็ยังไม่รู้ถึงพื้นเพความเป็นมาของผู้หญิงคนนี้สักเท่าไหร่ ถึงจะมีข้ออ้างที่ใหญ่พอให้จับจุดสังเกตุแต่ก็ยังทำให้เราเชื่อไม่ได้อยู่ดีว่าเธอกลายมาเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่แรกได้ยังไงกันแน่ ถ้าให้พูดตรง ๆ ก็คือชอบตัวละครนี้นะ แต่อยากมีเวลาทำความรู้จักเธอมากกว่านี้อะ

แล้วไหนจะจุดเอื่อยช่วงกลางเรื่องที่บทจะเอื่อยก็เปื่อยซะจนความเดือดที่ปูมาในช่วง Ep. แรกแทบจะเสียของ สงสัยผู้กำกับคงหนักมือไปหน่อยกับการพยายามขยี้ช่วงดราม่าให้ยืดยาวซะจนเสียบรรยากาศจากที่คนดูกำลังอินกับเกมชิงบัลลังก์เลือกตั้งผู้ว่าอยู่ดี ๆ ก็เหมือนโดนกระชากอารมณ์ให้มานั่งร้องไห้ซะจนแทบจะหมดสนุกไปเลย

และแม้ส่วนตัวแล้วเราค่อนข้างชื่นชอบเคมีของสองตัวละครหลักและซาบซึ้งไปกับมิตรภาพความสัมพันธ์ของผู้หญิงสุดแกร่งสองคนนี้ที่เป็นเหมือนขั้วตรงข้ามคอยเติมกันกันและกันจนสมบูรณ์ ยอมรับว่าตรงนี้ซีรีส์ปูคอนเซ็ปต์มาดีเลย แต่ในขณะเดียวกันคนดูกลับรู้สึกว่ามันเป็นความสัมพันธ์หลวม ๆ ที่ซีรีส์ไม่สามารถทำให้เราเชื่อได้อย่างสนิทใจ ไปสนิทกันตอนไหน? อะไรคือแรงจูงใจให้ตกลงร่วมมือกันทำงานใหญ่ขนาดนี้? ส่วนตัวแล้วเราว่าน้ำหนักทันยังไม่มากพอ เป็นเหมือนเปลือกที่สร้างไว้สวยงามแต่ภายในยังหละหลวม ต่อไม่ค่อยติดเท่าไหร่

สุดท้ายนี้ชอบที่การเลือกตั้งไม่ใช่ปลายทางสุดท้ายของเรื่องราวทั้งหมด ในที่สุดเราก็ได้เห็นการบริการงานอย่างจริงจังของผู้ว่าคนใหม่ที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ซักที เพราะซีรีส์ทำให้เราคาดหวังและเฝ้ารอคอยดูตัวละครนี้ได้แผงฤทธิ์หรือโชว์ศักยภาพเต็ม ๆ มาตลอดแทบทั้งเรื่อง พูดตรง ๆ ว่าก่อนหน้านี้เราแทบจะไม่เห็นความเก่งกาจของตัวละครนี้สักเท่าไหร่เลย (เพื่อนแบกตลอด!) 

เอาเป็นว่าใครคาดหวังว่าจะได้ดูซีรีส์แนวจิกกัดสังคมพ่วงเกมการเมืองสนุกสะใจ ที่ดูเหมือนจะมาได้ทันเวลาและเข้ากับสถานการณ์บ้านเมืองเราแบบนี้ก็ไปหาดูกันได้เลยรับรองว่าไม่ผิดหวัง แต่ถ้าถามว่ามันเป็นซีรีส์แก้แค้นระดับมาสเตอร์พีชแบบเรื่องก่อนหน้านี้มั้ยก็บอกได้เลยว่า…ยังได้อีกค่ะ!

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส