เรียกได้ว่าเป็นการเดินทางที่หลายคนรอคอย แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้มาถึง สำหรับ ‘Guardians of the Galaxy Vol. 3’ ภารกิจพิทักษ์จักรวาลครั้งสุดท้ายของเหล่าแก๊งเกรียน ที่จะเป็นหนังปิดไตรภาค และเป็นการกำกับหนังเรื่องสุดท้ายใน MCU ของ เจมส์ กันน์ ที่จะผันตัวไปเป็นผู้บริหารของ DC อย่างเต็มตัว ก่อนที่เพลงจากเทป Awesome Mix จะบรรเลงเป็นครั้งสุดท้าย ขอพาไปพบกับ 10 เรื่องราวน่ารู้ ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้จากหนัง ‘Guardians of the Galaxy’ ทั้ง 3 ภาค
ทีม ‘Guardians’ ต้นฉบับในคอมิก กับในหนังไม่เหมือนกันเลย
ใครที่ไม่ได้เป็นสายคอมิกอาจจะไม่รู้ว่า แก๊ง Guardians ในหนังที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่ทีมเดียวกันกับในคอมิกเวอร์ชันแรก เพราะย้อนกลับไปเมื่อปี 2014 Marvel Studios และ เจมส์ กันน์ (James Gunn) ผู้กำกับ ตัดสินใจทิ้งตัวละครต้นฉบับในคอมิกออกเกือบหมด เดิมทีทีมนี้ต้องมี เมเจอร์ วิกตอรี (Major Victory), มาร์ติเน็กซ์ (Martinex), สตาร์ฮอว์ก (Starhawk) และ กัปตันชาร์ลี 27 (Captain Charlie-27) ซึ่งตัวละครที่ว่ามานี้คือทีม Guardians ที่ปรากฏตัวอยู่ในคอมิก Marvel Super-Heroes ฉบับที่ 18 เมื่อปี 1969
ส่วนทีมการ์เดียนส์เวอร์ชันที่เห็นกันในหนัง ได้ต้นแบบมาจากฉบับคอมิกเวอร์ชันปี 2008 ที่มีตัวละครที่เราคุ้นเคยกันทั้ง สตาร์ลอร์ด (Star-Lord), ร็อกเกต แร็ก คูน (Rocket Raccoon), กรูท (Groot), ไฟลาเวล (Phyla-Vell), กาโมรา (Gamora), แดรกซ์ เดอะ เดสทรอยเยอร์ (Drax the Destroyer), และ อดัม วอร์ล็อก (Adam Warlock) มีเพียง ยอนดู (Yondu) หัวหน้าทีมราเวนเจอร์ส (Ravagers) พ่อบุญธรรมของสตาร์ลอร์ด ซึ่งเป็นตัวละครเดียวเท่านั้นที่เคยอยู่ในทีม ‘Guardians’ เวอร์ชันคลาสสิกจากฉบับคอมิกในปี 1969
เจมส์ กันน์ ศึกษาพฤติกรรมแร็กคูนจริง ๆ เพื่อนำมาเป็นต้นแบบให้ ‘ร็อกเกต’
แม้ว่า ร็อกเกต จะเป็นตัวละครที่มีความเป็นมนุษย์มาก แต่รูปลักษณ์หรือลักษณะนิสัยของตัวละครนี้ก็ยังอ้างอิงกับตัวแร็กคูนจริง ๆ เพราะฉะนั้นด้วยความสมจริง ระหว่างช่วงการถ่ายทำหนังภาคแรกผู้กำกับ เจมส์ กันน์ เลยติดต่อเจ้าของแร็กคูนตัวหนึ่งที่ชื่อว่า ‘โอริโอ’ (Oreo) เพื่อขอศึกษาพฤติกรรมการใช้ชีวิตของมัน
กันน์และทีมงานเน้นสังเกตไปที่การตอบสนองต่อสิ่งเร้าของเจ้าแร็กคูนตัวนี้ รวมถึงการเคลื่อนไหวของมันในสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันออกไป กันน์มีความชื่นชอบในเจ้าโอริโออย่างมาก ถึงขนาดเคยพามันไปเดินพรมแดงในงานพรีเมียร์ของหนังเมื่อปี 2014 มาแล้ว
เรียกได้ว่าเจ้าโอริโอคือต้นแบบที่แท้จริงของตัวละครร็อกเกตเลยทีเดียว แต่เป็นเรื่องน่าเศร้าที่เจ้าแร็กคูนตัวนี้ได้เสียชีวิตลงเมื่อปี 2019 ในวัย 10 ปี ซึ่งถือว่าเป็นแร็กคูนที่มีอายุยืนยาวมาก ๆ ไม่เช่นนั้น เราคงจะได้เห็นมันกลับมาเดินพรมแดงทิ้งท้ายร่วมกับกันน์อีกครั้ง
คริส แพรตต์ ไม่ใช่ตัวเลือกแรกในบท ‘สตาร์-ลอร์ด’
แม้ คริส แพรตต์ (Chris Pratt) จะลงตัวสุด ๆ กับบทนี้ แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า แพรตต์นั้นไม่ใช่ตัวเลือกแรกสำหรับบทนี้ เพราะก่อนหน้าเขา มีนักแสดงหนุ่มที่เคยมาออดิชันในบทนี้มากมายนับสิบคน เช่น เอ็ดดี เรดเมย์น (Eddie Redmayne) การ์เร็ตต์ เฮดลันด์ (Garrett Hedlund) เจมส์ มาร์สเดน (James Marsden) จิม สเตอร์เจส (Jim Sturgess) โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ (Joseph Gordon-Levitt) แอรอน พอล (Aaron Paul) จอห์น คราซินสกี (John Krasinski) และ ลี เพซ (Lee Pace) ที่ภายหลังได้รับบทเป็น โรแนน วายร้ายหลักในภาคแรกแทน
ในตอนแรก กันน์เองไม่ได้สนใจแพรตต์ให้มารับบทนี้ด้วยซ้ำ แถมเขาเองยังไม่ได้ดูเทปออดิชันของแพรตต์มาก่อนด้วย แต่เป็นทีมงานที่ได้ดูเทปของนักแสดงคนนี้ จนกระทั่งเมื่อกันน์ได้ฟังแพรตต์อ่านบทเพียงแค่ 30 วินาที เขาก็มั่นใจว่าแพรตต์คือนักแสดงที่ใช่ แม้หุ่นของของแพรตต์ตอนนั้นจะออกไปทางเจ้าเนื้อ เพราะเขาเพิ่งแสดงในหนังตลกเรื่อง ‘Delivery Man’ (2013) มาหมาด ๆ แต่กันน์ก็ยื่นข้อเสนอให้ลดน้ำหนัก 22 กิโลกรัม ภายใน 6 เดือน หรือถ้าไม่สะดวกก็ใช้ CGI สร้างซิกซ์แพ็กให้ก็ได้ แต่สุดท้าย แพรตต์ก็สามารถฟิตหุ่นจนลดน้ำหนักได้ถึง 22 กิโลกรัมได้ในที่สุด
คนในกองต้องฟังเพลย์ลิสต์ ‘Awesome Mix’ ไปด้วยระหว่างถ่ายทำ
‘Awesome Mix’ อัลบั้มมิกซ์เทปสุดเจ๋งของ ปีเตอร์ ควิลล์ ที่เป็นตัวแทนของแม่และโลกที่ตัวเขาเองจากมา ซึ่ง เจมส์ กันน์ ผู้กำกับได้คัดเลือกเพลงเจ๋ง ๆ ยุค 70s-90s มาใช้เพื่อสื่อสารอารมณ์ของหนังสู่ผู้ชมได้อย่างมีเอกลักษณ์ ซึ่งเบื้องหลังการถ่ายทำ กันน์จะสั่งให้ทีมงานเปิดเพลงที่ใช้ในกองถ่ายให้นักแสดงฟังทั้งตอนพักกอง หรือแม้แต่ตอนกำลังถ่ายทำไปด้วย นอกจากนี้ กันน์ยังให้คอมโพสเซอร์อย่าง ไทเลอร์ เบตส์ (Tyler Bates) ประพันธ์เพลงก่อนการถ่ายทำจริง ให้เสร็จ 2-3 เพลงเพื่อจะได้ให้นักแสดงฟังในกองถ่าย แทนที่จะแต่งหลังถ่ายทำเสร็จเหมือนปกติ
ซึ่งตัวอัลบั้ม ‘Awesome Mix’ ก็กลายเป็นอัลบั้ม Soundtrack ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เช่นใน ‘Vol.1’ ที่สามารถขึ้นอันดับ 1 ของชาร์ต Billboard 200 แม้จะไม่มีเพลงที่แต่งขึ้นใหม่เลย นอกจากนี้ยังทำยอดขายแผ่นเสียงไวนิล 367,000 ชุด เทปคาสเซตต์ 11,000 ม้วน ส่วนอัลบั้ม ‘Awesome Mix Vol.2’ เปิดตัวอันดับ 8 ในชาร์ต Billboard 200 ทำยอดขายในอเมริกา 600,000 ก๊อปปี้ และทำยอดขายเทปคาสเซตต์ได้สูงสุดในอเมริกากว่า 19,000 ชุด
วิน ดีเซล ต้องพากย์อัดเสียงคำว่า “I am Groot” รวมมากกว่า 1,000 ครั้ง
อีกตัวละครที่สร้างสีสันได้เป็นอย่างดีในหนัง นั่นก็คือเจ้าต้นไม้สุดน่ารักที่มีชื่อ กรู้ท (Groot) ที่รับหน้าที่ทั้งพากย์เสียง และแสดงผ่าน Motion Capture โดย วิน ดีเซล (Vin Diesel) แม้ว่างานของเขาจะดูง่าย เพราะมีหน้าที่พากย์เสียงแค่คำว่า “I Am Groot” แต่เพียงอย่างเดียว แต่เบื้องหลังไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะดีเซล ต้องพากย์เสียงคำว่า “I am Groot” มากถึงกว่า 1,000 เทคเพื่อใช้ในหนัง
นอกจากนี้ ดีเซลยังต้องรับหน้าที่พากย์เสียงคำว่า “I Am Groot” ที่ถูกแปลเป็นภาษาต่าง ๆ เพื่อนำไปออกฉายทั่วโลกด้วย โดยใน Vol.1 เขาต้องรับหน้าที่พากย์เสียงคำว่า “I Am Groot” ที่ถูกแปลเป็น 6 ภาษา และใน Vol.2 ต้องพากย์เสียงมากถึง 16 ภาษา แถมใน Vol.2 ที่มีกรู้ททั้งวัยเด็กและวัยรุ่น ดีเซลก็ต้องรับหน้าที่พากย์เสียงเองโดยไม่ใช้การดัดแปลงเสียงแต่อย่างใด นอกจากนี้ ตอนที่ดีเซลต้องแสดงเป็นเจ้ากรู้ทผ่าน Motion Capture หรือตอนพากย์เสียง เขาต้องสวม Jumping Stilts หรือขาสำหรับกระโดด เพื่อให้เข้าถึงความรู้สึกสูงใหญ่เก้งก้างของกรูทในระหว่างแสดงด้วย
เจมส์ กันน์ ขอข้อมูลจากองค์การ NASA เพื่อความถูกต้องของซีนในหนัง
แม้ตัวหนังจะเน้นความเกรียนด้วยฉากฮา ๆ เพี้ยน ๆ แต่ด้วยความที่ตัวหนังเล่าเรื่องเกี่ยวกับอวกาศเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เจมส์ กันน์ ได้ปรึกษาเพื่อขอข้อมูลกับนักวิทยาศาสตร์ขององค์การ NASA เพื่อให้ได้ข้อมูลอ้างอิงที่สมจริงสุด ๆ โดยเฉพาะใน Vol.1 ฉากที่ ปีเตอร์ ควิลล์ ปลดตัวเองจากกระสวย และลอยตัวออกไปสู่อวกาศเพื่อช่วยเหลือกาโมราที่กำลังจะตาย ก่อนที่เขาจะสวมหน้ากากสตาร์ลอร์ดให้ และพาเธอกลับเข้ายานอิเคล็กเตอร์ของยอนดู
ซึ่งหลายคนที่ได้ชมต่างก็ถกเถียงกันว่า ในทางทฤษฎี ควิลล์และกาโมราจะสามารถรอดชีวิตได้ไหม ถ้าหากต้องลอยอยู่ในอวกาศโดยไม่ได้ใส่ชุดอวกาศ กันน์ได้เปิดเผยว่า เขาได้ปรึกษานักวิทยาศาสตร์ของ NASA แล้ว และยืนยันตามทฤษฏีว่าสามารถทำได้ โดยอ้างอิงจากการทดลองที่ NASA เคยทดสอบเรื่องนี้กับสัตว์ในช่วงทศวรรษ 1960 โดยใช้ลิงชิมแปนซีเป็นสัตว์ทดลอง
เดฟ เบาทิสตา และ โซอี ซัลดานา แต่งหน้าเป็นตัวละคร ‘แดรกซ์’ และ ‘กาโมรา’ ด้วยวิธีการแบบดั้งเดิม
แม้ปัจจุบันการใช้วิชวลเอฟเฟกต์เพื่อแต่งหน้านักแสดงจะเป็นของปกติที่ทำได้ไม่ยากแล้ว แต่เพื่อความสมจริง ทีมงานของหนังเรื่องนี้จึงตัดสินใจใช้เทคนิคเมกอัป ทาสีจริง ๆ ลงบนร่างกายของนักแสดงเหมือนการถ่ายหนังในอดีต โดยเฉพาะสองตัวละครเอเลี่ยนสีผิวแปลกตาอย่าง แดรกซ์ เดอะ เดสทรอยเยอร์ ที่รับบทโดยเดฟ เบาทิสตา (Dave Bautista) และ กาโมรา รับบทโดย โซอี ซัลดานา (Zoe Saldaña) ทั้งคู่ต้องใช้เวลาแต่งกายด้วยกระบวนการแบบดั้งเดิม และต้องนั่งนิ่ง ๆ อยู่นานหลายชั่วโมง โดยในภาคแรก เบาทิสตา ต้องทนนั่งนิ่ง ๆ หรือยืนกางแขนวางบนเสาในบางครั้ง เพื่อให้ช่างเมกอัป 5 คน ทาสีและวาดรอยสักลงบนร่างกาย และติดอวัยวะเทียม 18 ชิ้น โดยใช้ระยะเวลายาวนานกว่า 3 ชั่วโมง และเมื่อถ่ายทำเสร็จ ก็ต้องใช้เวลาลบสีและเครื่องสำอางอีก 1 ชั่วโมงครึ่งด้วยความอดทน
ส่วนใน Vol.2 ด้วยนวัตกรรมการเมกอัปที่ดีขึ้นอีกระดับ ทำให้เบาทิสตาใช้เวลาเหลือเพียง 1 ชั่วโมง 18 นาทีเท่านั้น ส่วนซัลดานา ก็เต็มใจต้องการใช้เทคนิคเมกอัปด้วยการทาสีเขียวลงบนตัวเธอจริง ๆ โดยไม่ใช้เทคนิคพิเศษใด ๆ ทั้งสิ้นเช่นกัน
บรรดานักแสดงที่เกือบได้แสดงใน ‘Guardians of the Galaxy’
แม้ใน ‘Guardians of the Galaxy’ จะมีนักแสดงดังของฮอลลีวูดมาร่วมเกรียนกันอย่างคับคั่ง แต่ก็มีนักแสดงดังอีกหลายคนที่เกือบได้มีส่วนร่วมในหนังเรื่องนี้ ไล่ไปตั้งแต่บท แดรกซ์ เดอะ เดสทรอยเยอร์ ที่ได้เบาทิสตาร่วมแสดง โดยบทบาทนี้เคยเกือบตกเป็นของ เจสัน โมโมอา (Jason Momoa) ซึ่งในทีแรกเขาเองเตรียมตัวจะรับบทบาทนี้แล้ว แต่แล้วเขาก็ปฏิเสธในนาทีสุดท้ายก่อนเริ่มถ่ายทำด้วยสาเหตุที่ไม่แน่ชัด
บ้างก็ว่าตกลงเรื่องค่าตัวไม่ได้ บ้างก็ว่าเขาเองไม่อยากแสดงบทบาทสไตล์ป่าเถื่อน ซ้ำกับที่เขาเคยรับบทเป็น โดรโก ในซีรีส์ ‘Game of Thrones’จนในที่สุดบทบาทนี้ก็ตกเป็นของเบาทิสตา ที่เมื่อได้ยินว่าเขาจะได้รับบทบาทนี้ เขาเองถึงกับดีใจจนน้ำตาไหล และลงเรียนการแสดงเพิ่มเติมเพื่อรับบทบาทนี้โดยเฉพาะ
นอกจากนี้ก็มีบทบาทของเจ้าร็อกเกต ที่ตอนแรกทีมงานอยากได้นักแสดงสายตลก ทั้ง อดัม แซนด์เลอร์ (Adam Sandler) และ จิม แคร์รี (Jim Carrey) ที่ถูกวางตัวให้พากย์เสียง ก่อนจะได้ แบรดลีย์ คูเปอร์ (Bradley Cooper) มารับหน้าที่พากย์เสียงเจ้าแร็กคูนดัดแปลงพันธุกรรมปากเก่งตัวนี้ นอกจากนี้ ยังหยิบเอาบุคลิกบางอย่างจากคูเปอร์ มาใส่ให้กับเจ้าร็อกเกตอีกด้วย
เจมส์ กันน์ แสดงเป็น ‘เบบี้กรูท’ และ ฌอน กันน์ แสดงเป็น ‘ร็อกเกต’
หากพูดถึง 2 ตัวละคร CGI ที่สร้างสีสันให้กับ ‘Guardians of the Galaxy’ ได้อย่างไม่ต้องสงสัยนั่นก็คือเจ้าเบบี้กรู้ทสุดเกรียนแต่น่ารัก และเจ้าร็อกเกต ซึ่งนักแสดงที่เป็นผู้แสดง 2 คาแรกเตอร์นี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกล เพราะรับบทโดยสองพี่น้องกันน์ นั่นเอง โดย ฌอน กันน์ (Sean Gunn) น้องชายแท้ ๆ ของ เจมส์ กันน์ ที่นอกจากจะรับบทเป็น แครกลิน (Kraglin) สมาชิกแก๊งราเวนเจอร์แล้ว เขาก็ยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการแสดงของเจ้าร็อกเกตด้วย โดยพี่ชายอย่างเจมส์ ได้โทรชวนเขาให้มาร่วมแสดงด้วยการใส่ชุดสีเขียว และอ่านบทของร็อกเกต ก่อนเริ่มเปิดกล้องถ่ายทำแค่ 1 สัปดาห์
และใครที่ประทับใจการเต้นของเจ้า เบบี้กรูท ในฉาก Mid-Credits ของ Vol.2 ซึ่งเราจะเห็นเจ้ากรูทตัวน้อยเต้นประกอบเพลง “I Want You Back” ของวง ‘Jackson 5’ โดยมีฉากหลังเป็น แดรกซ์ ที่กำลังทำความสะอาดมีด ซึ่งกันน์เป็นคนลงมือแสดงฉากนี้ด้วยตัวเอง โดยเขาเผยว่า เขาต้องเข้าไปเต้นเพลงนี้ในห้องตามลำพัง พร้อมบันทึกวิดีโอไว้ด้วย เพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกอาย ก่อนจะส่งต่อวิดีโอให้กับฝ่ายทำวิชวลกราฟิกเพื่อจับการเคลื่อนไหวของกันน์ เนรมิตท่าเต้นกวน ๆ ของกรูทได้อย่างสมบูรณ์แบบอย่างที่เห็นในหนัง
‘ร็อกเกต’ คือเหตุผลที่ทำให้ เจมส์ กันน์ กำกับ ‘Guardians of the Galaxy Vol.3 ’
อย่างที่ได้เห็นกันในเทรลเลอร์ของ ‘Guardians of the Galaxy Vol.3’ หลายคนน่าจะรู้สึกได้ว่า หนังภาคนี้จะมีการเน้นเรื่องราวของตัวละครที่หลายคนหลงรักอย่าง ร็อกเกตมากขึ้น โดยกันน์ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ร็อกเกตคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาอยากกลับมาเล่าเรื่องราวของ Guardians of the Galaxy อีกครั้ง เพราะเขารู้สึกว่า ตัวเขาเองมีความใกล้ชิดกับเจ้าร็อกเกตเป็นพิเศษ ซึ่งเขาได้แอบใส่ตัวตนของเขาเองลงในตัวละคร และเขาเองคงรู้สึกผิด หากไม่ได้เล่าเรื่องต้นกำเนิดที่มา และปูมหลังอันแสนเจ็บปวดของร็อกเกตในภาคสุดท้ายนี้
และนั่นก็ทำให้บทของ Vol.3 เป็นบทที่กันน์ใช้เวลาเขียนยาวนานที่สุดกว่าทุกภาคด้วย ซึ่งกันน์ยังได้เผยอีกว่า ร็อกเกต คือตัวละครใน Guardians of the Galaxy ที่ถูกเก็บเป็นความลับมาโดยตลอด และเป็นตัวละครที่สะท้อนภาพลักษณ์ของทีม Guardians ได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะการเป็นตัวละครที่ถูกพลัดพราก เป็นคนนอกคอก มีบาดแผลในจิตใจ
คงต้องไปรับชม ‘Guardians of the Galaxy Vol.3’ กันในโรงภาพยนตร์กันเอาเองว่า ต้นกำเนิด และบทสรุปที่แท้จริงของเจ้าแรคคูนปากเก่งตัวนี้จะเป็นอย่างไร
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส