Release Date
12/05/2023
จำนวนตอน
ุ6 ตอน
แนวซีรีส์
ไซไฟ แอ็กชัน
ผู้กำกับ
โจอึยซอก
นักแสดง
คิมอูบิน อีซม ซงซึงฮอน คังยูซอก
Our score
6.1[รีวิวซีรีส์] Black Knight – จับฉ่ายไซไฟดิสโทเปีย
จุดเด่น
- งานโปรดักชันซีรีส์ระดับโลกซีจีเนียนตาใช้ได้
- สเน่ห์นักแสดงเหลือล้น ดูเพลิน
จุดสังเกต
- บทซีรีส์ใช้เวลา 6 ตอนไม่คุ้มค่านักในการบอกเล่าประเด็นสำคัญให้เคลียร์
- ซีรีส์ออกทะเลตั้งแต่ตอนแรก ๆ และลากฉากแอ็กชันมาใส่โดยไม่ได้ส่งผลกับเนื้อเรื่องนัก
-
การแสดง
6.0
-
บทซีรีส์
4.5
-
โปรดักชัน
6.5
-
ความบันเทิง
7.0
-
ความคุ้มค่าในการรับชม
6.5
ยังคงแรงต่อเนื่องสำหรับซีรีส์เกาหลีโดยเฉพาะซีรีส์ที่สตรีมทาง Netflix ต่างพากันติดอันดับทุกครั้งที่มีเรื่องใหม่ออกฉาย และสำหรับ ‘Black Knight’ ซีรีส์ไซไฟดิสโทเปียเรื่องใหม่ที่ขนนักแสดงแถวหน้าของเกาหลีมาคับจอทั้ง คิมอูบิน พระเอกสุดหล่อจากซีรีส์ ‘Our Blue’ และ อีซม นางเอกหน้าสวยเก๋ที่เพิ่งเล่นบทร้ายแต่แอบเซ็กซี่จาก ‘Kill Boksoon’ มาปะทะตัวร้ายที่รับบทโดย ซงซึงฮอน พระเอกซีรีส์เกาหลียุค Y2K จาก ‘Autumn in my Heart’ หรือ ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’
เนื้อเรื่องของซีรีส์จะมีฉากหลังเป็นโลกล่มสลายหลังเกิดมลพิษทางอากาศจนเกิดวิกฤติฝุ่นฟุ้งกระจายทำให้โลกขาดอากาศหายใจ ทำให้บริษัทชอนมยองกรุ๊ปกลายเป็นเอกชนแห่งเดียวที่ผูกขาดธุรกิจอ็อกซิเจนและบริการขนส่งสินค้าโดยมี ห้าแปด (รับบทโดย คิมอูบิน) ผู้อพยพที่เป็นตำนานของคนส่งของที่สามารถฝ่าฟันพวกฮันเตอร์ที่คอยดักปล้นอ็อกซิเจนกลางทางได้ทุกครั้งและคอยแบ่งปันอากาศให้ผู้อพยพราวกับฮีโร โดยเขามีแผนจะโค่นล้มชอนมยองกรุ๊ปที่เคยสังหารโหดพี่น้องของเขา
เรื่องราวของห้าแปดเป็นแรงบันดาลใจให้กับ ซาวอล (รับบทโดย คังยูซอก) หนุ่มอพยพที่มาแอบอาศัยบ้านเดียวกับ ซอลอา (รับบทโดย อีซม) ผู้พันแห่งหน่วยข่าวกรองพร้อมน้องสาวของเธอ แต่หลังจากเกิดกลุ่มชายลึกลับบุกสังหารที่บ้านของซอลอาจนน้องสาวของเธอถูกฆ่าตาย ทำให้ชาวอลออกตามหาห้าแปดเพื่อฝึกฝนในการเข้าแข่งขันคัดเลือกคนส่งของชอนมยองกรุ๊ป
ในขณะเดียวกันการจัดแข่งขันดังกล่าวของ รยูซอก (รับบทโดย ซงซึงฮอน) รองประธานของชอนมยองกรุ๊ปก็เพื่อบังหน้าแผนร้ายในการกำจัดผู้อพยพและดำเนินกิจการผูกขาดขายอ๊อกซิเจนและพื้นที่อาศัยเพียงรายเดียว ในขณะเดียวกันการสืบสวนการตายของน้องสาวก็ทำให้ซอลอา ค้นพบเบื้องหลังไม่ชอบมาพากลระหว่างชอนมยองกรุ๊ปกับการลักพาตัวเด็ก ๆ ที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่อีกด้วย
‘Black Knight’ เป็นผลงานกำกับของโจอึยซอก ที่เคยมีผลงานเขียนบท ‘Golden Slumber’ หนังแอ็กชันทริลเลอร์มาก่อน มาคราวนี้เขาหยิบเว็บตูนต้นฉบับมาดัดแปลงเองกลายเป็นซีรีส์ 6 ตอนที่เรียกได้ว่าเป็นงานขายโปรดักชันสุดอลังการที่ทำได้ไม่ขี้เหร่เลย ดีในระดับที่อาจจะดีกว่าหนังฮอลลีวูดบางเรื่องด้วยซ้ำ โดยงานภาพของซีรีส์ก็ทำให้นึกถึงหนังดิสโทเปียอย่าง ‘Mad Max’ โดยเฉพาะภาพการต่อสู้ของยานพาหนะบนทะเลทรายที่สลัดภาพหนังต้นฉบับได้ยากเหลือเกิน
นอกจากนี้มันยังมีหลายจุดที่ทำให้นึกถึงหนังและซีรีส์หลาย ๆ เรื่องโดยเฉพาะการแข่งขันเพื่อหาคนส่งของที่ได้บรรยากาศของหนังแนวเซอร์ไววัลอย่าง ‘The Hunger Game’ หรือกระทั่งซีรีส์เกาหลีแนวเกมหนีตายอย่าง ‘Alice in Borderland’ หรือกระทั่งมีฉากแข่งรถแบบไร้กติกาที่ทำให้อดนึกถึง ‘Death Race’ หนังแข่งรถดิสโทเปียของโรเจอร์ คอร์แมน (Roger Corman) โน่นเลย
แต่ถึงจะมีภาพเดจาวูของหนังไซไฟโผล่มาเป็นระยะ แกนกลางของบทหนังก็ยังว่าด้วยเรื่องชนชั้นและความไม่เท่าเทียมที่ดูเหมือนเกาหลีเองจะยิ่งโหมประเด็นนี้หนักข้อเข้าไปอีกหลังความสำเร็จของ ‘Parasite’ ซึ่งการนำมาใช้กับ ‘Black Knight’ เองก็ดูจะไม่ได้เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด เพราะหนังฮอลลีวูดเองก็เล่นประเด็นนี้อยู่แล้วเพียงแต่ปัญหาสำคัญของมันคือการที่เรื่องที่มันจะเล่าถูกเฉไฉออกทะเลไปไกลตั้งแต่ต้นเท่านั้นเอง
กล่าวคือแม้มันจะมีพรีมิส (Premise) ง่าย ๆ คือจะเป็นอย่างไรหากโลกเกิดมลพิษและถูกผูกขาดอากาศหายใจจากบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่กลุ่มผู้อพยพต้องการอากาศหายใจอย่างเท่าเทียม ซีรีส์กลับบริหารเวลาในการเล่าเรื่องทั้ง 6 ตอนด้วยการเพิ่มปมประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งการฆาตกรรมน้องสาวนายพลหน่วยข่าวกรอง การจัดประลองเพื่อหาคนส่งของหรือกระทั่งประเด็นที่น่าจะสำคัญอย่างการเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ของบางตัวละครที่ท้ายที่สุดซีรีส์ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากพวกมันมากเท่าที่ควร
แถมยังส่งผลให้ปมสำคัญทั้งความขัดแย้งระหว่างประธานบริษัทกับลูกชายที่ทำให้ฝ่ายหลังกลายเป็นเผด็จการบ้าอำนาจ หรือปมความแค้นของห้าแปดในอดีตที่กว่าจะได้บอกเล่าก็ปาไป 3-4 ตอนแล้ว มิหนำซ้ำปมเรื่องมนุษย์กลายพันธุ์ที่ซีรีส์เหมือนจะให้ความสำคัญอยู่ดี ๆ ก็หายไปจากเรื่องราวจนไม่รู้ว่าจะใส่มาทำไมอีกด้วย
นอกจากจุดบกพร่องเรื่องบทแล้ว ฉากแอ็กชันของซีรีส์โดยเฉพาะซีนที่เป็นมาร์เชียลอาร์ต ทำให้เห็นเลยว่าการกำกับของโจอึยซอกเอาไม่อยู่ทั้งการคุมโครีโอกราฟในฉากต่อสู้ด้วยมือเปล่าหรือฉากแอ็กชันที่เป็นการขับรถไล่ล่าที่ถ่ายทอดออกมาได้จืดชืดแถมเดาทางได้หมดเลย
ดังนั้นสิ่งที่ดูจะเป็นจุดที่แข็งแรงที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นเสน่ห์ของนักแสดงทั้งหลายอย่างความหล่อของคิมอูบินที่ยอมรับเลยว่ามองเพลินมาก ๆ เป็นผู้ชายที่โครงหน้าและรูปร่างดีจนไม่แปลกใจที่ซีรีส์จะมอบบทฮีโรให้เขา หรือกระทั่งซงซึงฮอนที่มาเล่นบทร้ายก็ทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงความวิปริตและความบ้าอำนาจได้ชัดเจน ส่วนอีซมก็ยังเป็นอาหารตาให้หนุ่ม ๆ ได้อยู่แม้เรื่องนี้เธอจะปรากฎตัวในชุดทหารเป็นหลักก็ตาม
กดที่ภาพเพื่อชมซีรีส์ทาง Netflix
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส