[รีวิว] ลอง ลีฟ เลิฟว์ – ตลกไม่เท่าไหร่แต่ขยี้ปมตอนท้ายได้หนักหน่วง

Our score

7.2

Release Date

29/06/2023

ความยาวหนัง

134 นาที

แนวหนัง

โรแมนติก ตลก ดราม่า

ผู้กำกับ

ปิยะกานต์ บุตรประเสริฐ

นักแสดง

ซันนี สุวรรณเมธานนท์ อารยา เอ ฮาร์เก็ต รีเบคก้า แพตทิเซีย นพชัย ขัยนาม

Our score

7.2

[รีวิว] ลอง ลีฟ เลิฟว์ – ตลกไม่เท่าไหร่แต่ขยี้ปมตอนท้ายได้หนักหน่วง

จุดเด่น

1. สามารถเล่าเรื่องราวทั้งสุขและเศร้าในชีวิตคู่ได้น่าติดตาม
2. การแสดงของซันนี่และชมภู่ ถ่ายทอดสารของเรื่องได้เป็นอย่างดี
3. ปีเตอร์ นพชัย เป็น MVP ด้านการเรียกเสียงหัวเราะอย่างแท้ทรู
4. งานภาพของ สีบาน - นฤพล ทำให้ตัวหนังน่าจดจำมาก

จุดสังเกต

1. ช่วงองก์แรกของหนังให้ข้อมูลสะเปะสะปะไปหน่อย
2. โทนตลกของหนังยังไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าดราม่า

• บทภาพยนตร์

  7.0

• โปรดักชัน

  7.0

• การแสดง

  7.5

• ความบันเทิง

  7.5

• ความคุ้มค่าในการรับชม

  7.0

หนึ่งในซีรีส์ซิตคอมที่โด่งดังที่สุดในวงการทีวียุค 2000 คงไม่อาจตกสำรวจ ‘เนื้อคู่ประตูถัดไป’ และ ‘เนื้อคู่อยากรู้ว่าใคร’ ที่เข้าไปอยู่ในใจผู้ชมทั้งเรื่องราวสไตล์ซีรีส์ ‘Friend’ ที่มีทั้งฮาแตกและบทซาบซึ้งสอนชีวิตได้อย่างไม่ยัดเยียดโดยมี มุก-ปิยะกานต์ บุตรประเสริฐ เป็นผู้กำกับ และในวันนี้ ‘ลอง ลีฟ เลิฟว์’ ผลงานหนังยาวเรื่องแรกของเธอก็ได้เข้าฉายเพื่อพิสูจน์ฝีมือในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ดราม่า คอมเมดี้ หน้าใหม่ของวงการ

หลังอุบัติเหตุรถคว่ำ เมตตา (อารยา เอ ฮาร์เก็ต) ภรรยาที่กำลังจะเดินออกจากชีวิตของ สติ (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) ต้องเปลี่ยนแผนกลับมาดูแลชีวิตสามีที่กำลังความจำเสื่อมร่วมกับ นะโม (รีเบคก้า แพตทิเซีย) ลูกสาวที่ละเหี่ยใจกับพ่อแม่ตนเอง และในความบังเอิญบางอย่างทำให้สติค้นพบว่าเขาสามารถย้อนเวลาได้ด้วยการถ่ายรูปแต่ความทรงจำที่เขาได้เห็นก็มีทั้งหวานและขมขื่น แม้สติจะได้ทบทวนตัวเองและกลับตัวแต่แผนของเมตตาที่วางไว้โดยไม่มีสติในชีวิตก็ไม่มีใครรู้ว่าความรักของทั้งคู่ “ยืนยาว” หรือ ตัดจบเมื่อถึงเฟรมสุดท้าย

ส่วนที่โดดเด่นมากของบทภาพยนตร์ ‘ลอง ลีฟ เลิฟว์’ ไม่ใช่ความแปลกใหม่หรือพลอตเรื่องที่เดาไม่ได้ แต่เป็นดีเทลบางอย่างที่ มุก-ปิยกานต์ วางทิ้งไว้เป็นเบาะแสตลอดรายทางทั้งเรื่องราวหลังรูปถ่ายที่ถูกทำให้เป็นโมทีฟ (Motif) และเดินตามเหตุการณ์สำคัญที่จะเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของสติที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แม้ในช่วงต้นเราอาจจะเห็นแผลใหญ่ทั้งการเล่าเรื่องที่ยังกระท่อนกระแท่นไม่รู้จะโยนข้อมูลอะไรมาให้คนดูบ้าง หรือใช้เวลาเดเวลอปตัวละครที่มากเกินไปในเวลาชั่วโมงกว่า ๆ จนคนดูขาดโอกาสในการรู้จักเมตตากับสติในเชิงลึก

แต่พอหนังเริ่มเข้าฝักในช่วง 40 นาทีสุดท้าย มุก-ปิยกานต์ ก็ได้ฤกษ์วางระเบิดเวลาให้ผู้ชมเมื่อมันเข้าสู่โหมดดาร์ก การค่อย ๆ ถักทอเรื่องราวเลวทรามของสติที่เดินคู่ไปกับความโรแมนติกที่สติมีให้กับเมตตาก็ยิ่งทำให้หนังทวีความเข้มข้นและเดินทางสู่บทสรุปของมันได้อย่างรุนแรงและกระทบจิตใจของผู้ชมจนเชื่อว่าเมื่อเอนด์เครดิตขึ้นพร้อมเพลง “หลับตา” ของ นันทนา บุญหลง หลายคนคงเดินออกจากโรงภาพยนตร์พร้อมมวลบางอย่างจากหนังน่าจะติดอยู่ในหัวใจผู้ชมอย่างแน่นอน

แน่นอนว่านักแสดงที่รับบทหนักที่สุดคงหนีไม่พ้น ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ และ อารยา เอ ฮาร์เก็ต ที่มาถ่ายทอดเรื่องราวของสติกับเมตตา ตัวละครผัวเมียละเหี่ยใจแน่นอน แม้บทภาพยนตร์อาจจะมีช่องโหว่ในด้านการให้โอกาสมีปฏิสัมพันธ์ของทั้งคู่ในองก์แรกของหนัง แต่พอเรื่องราวมันถูกบอกเล่าไปจนถึงจุดที่เริ่มกดปุ่มนับถอยหลังของระเบิดเวลาทั้งซันนี่และชมพู่-อารยาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ส่วน รีเบคก้า แพตทิเซีย หรือน้องเบคกี้ดาวรุ่งจากซีรีส์ยูริอย่าง ‘ทฤษฎีสีชมพู’ ก็ได้มีโอกาสพิสูจน์ว่านอกจากหน้าตาแบบลูกรักพระเจ้าแล้ว เธอยังมีฝีมือและพร้อมพัฒนาไปเป็นนักแสดงคนสำคัญสำหรับวงการภาพยนตร์และซีรีส์ของไทยต่อไปได้อย่างสวยงาม

อีกประเด็นที่ผมรู้สึกแปลกใจไม่น้อยคือการได้ดู ‘ลอง ลีฟ เลิฟว์’ หลังดูซีรีส์ ‘Delete’ ทาง Netflix กลายเป็นความพิเศษทั้งที่โทนของหนังกับซีรีส์ต่างกันโดยสิ้นเชิงแต่การมีอยู่ของบุคคล 2 ท่านจากซีรีส์ดังกล่าวในหนังเรื่องนี้นั่นคือ สีบาน – นฤพล โชคคณาพิทักษ์ ผู้กำกับภาพ กับ ปีเตอร์ – นพชัย ชัยนาม ในฐานะนักแสดงสมทบในบท นักรบ ยิ่งเป็นบทพิสูจน์ว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้ถูกครีเอตมาด้วยการคิดชั้นเดียวแน่นอน

ในกรณีของ สีบาน – นฤพล เขาสามารถออกแบบงานภาพและแสงที่มีความเฉพาะตัวมาก ๆ ในหนังและไม่น่าเชื่อว่าในหนังตลกโรแมนติก โดยเฉพาะในหนังไทยจะมีเฟรมอัศจรรย์ทั้งการจัดแสงและเฟรมภาพที่มีไฟนีออนและคอสตูมที่มีความซับซ้อนด้านสีในภาพได้อย่างลงตัวและน่าจดจำ หรือกระทั่งการออกแบบแสงในบ้านที่มีความตุ่น ๆ และความอบอุ่นที่แฝงความเย็นชาจนส่งอารมณ์ให้ผู้ชมได้อย่างมีประสิทธิภาพเสริมงานกำกับของมุก – ปิยกานต์ ได้เป็นอย่างดี

ส่วนของ ปีเตอร์-นพชัย เชื่อว่าบทนักรบน่าจะเป็นหนึ่งในบทที่ไม่มีคอหนังคนไหนกล้าคิดแน่ ๆ ว่าจะเห็นผู้ชายคนนี้มาถ่ายทอดมัน ทั้งการเป็นเพลย์บอยดูไร้ความรับผิดชอบหรือการถูกวางคาแรกเตอร์ “ซัปพอร์ตเพื่อนจนชิบหาย” ที่เหมือนจะไม่ได้เรียกร้องฝีมืออะไรนอกจากความตลก ซึ่งปีเตอร์ก็ทำหน้าที่เรียกเสียงฮาในระดับ MVP ของหนังแต่…ระดับ นพชัย ชัยนาม ก็ทำให้บทรุ่นพี่ “มิตรฉาชีพ” เป็นตัวละครที่ผู้ชมเกลียดไม่ลงแถมยังจะใจอ่อนเห็นใจและเชื่อว่าประโยคที่นักรบพูดกับสติตอนท้ายเรื่องหากเป็นนักแสดงคนอื่นคงดูไม่มีความหมายเท่านี้แน่นอน