หลังจากที่ แอมเบอร์ เฮิร์ด (Amber Heard) นักแสดงสาววัย 37 ปี ได้จบสิ้นกระบวนการทางคดีความที่อดีตสามี จอห์นนี เดปป์ (Johnny Depp) ฟ้องกลับในข้อหาหมิ่นประมาทไปเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2022 ก่อนที่จะมีข่าวออกมาว่า เฮิร์ดได้ขายบ้านในสหรัฐอเมริกา และพาลูกสาวตัวน้อย โอนาห์ เพจ เฮิร์ด (Oonagh Paige Heard) ย้ายมาอยู่ที่บ้านในกรุงมาดริด ประเทศสเปน เพื่อหลบหลีกความวุ่นวาย

ในขณะเดียวกัน เมื่อประมาณเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ก็มีข่าวว่า เฮิร์ดได้จ่ายค่ายอมความจำนวน 1 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 34 ล้านบาท ที่เกิดจากการยอมความของทั้งสองฝ่าย โดยเฮิร์ดเองเลือกที่จะยอมความ ไม่ฟ้องอุทธรณ์ในคดีดังกล่าวอีกต่อไป ก่อนที่จะมีรายงานว่า เดปป์ได้นำเงินจำนวนนี้ไปบริจาคให้กับ 5 มูลนิธิและองค์กรไม่แสวงหากำไร ส่วนฝั่งของเฮิร์ดเอง ก็มีสื่อบางหัวที่ได้มีโอกาสพบเห็น และได้พูดคุยกับเธอแบบสั้น ๆ อย่างไม่เป็นทางการนัก

Johnny Depp - Amber Heard

แม้จะมีกระแสข่าวว่าเฮิร์ดเองต้องการจะปลีกตัวออกมาจากฮอลลีวูดเพื่อหลีกหนีความวุ่นวาย จนแทบไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ ออกมา แต่ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่ได้ทิ้งงานด้านการแสดงไปเสียทีเดียว เพราะล่าสุดเมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เฮิร์ดได้มีโอกาสเข้าร่วมเดินพรมแดง ในเทศกาลภาพยนตร์ทาร์โอมินา (Taormina Film Festival) ครั้งที่ 69 ณ ประเทศอิตาลี เพื่อร่วมชมภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์เรื่อง ‘In The Fire’ ที่เธอร่วมแสดงนำ

ในขณะที่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็ยังถือเป็นครั้งแรกในรอบปีที่เธอได้โพสต์ภาพในงานพรมแดงจากหนัง ‘In the Fire’ ผ่านทาง Instagram ส่วนตัวของเธอด้วย พร้อมทั้งแคปชันในเชิงชื่นมื่นยินดีว่า “ขอขอบคุณสำหรับการต้อนรับที่อบอุ่นอย่างเหลือเชื่อ สำหรับ ‘In the Fire’ ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของฉันที่เทศกาลภาพยนตร์ทาโอร์มินา มันเป็นสุดสัปดาห์ที่ช่างยากจะลืมเลือน… ขอบคุณแฟน ๆ และผู้สนับสนุนของฉันทุกคน ฉันรู้สึกตื้นตันใจมาก”

นอกจากเฮิร์ดจะได้ปรากฏตัวต่อสาธารณะครั้งแรกในฐานะนักแสดงแล้ว เธอก็ยังได้มีโอกาสให้สัมภาษณ์เปิดใจเกี่ยวกับคดีความครั้งแรกในรอบปี นับจากการตัดสินคดีความเมื่อปีที่แล้วกับเว็บไซต์ Deadline ด้วย โดยเธอได้เปิดเผยความรู้สึกเกี่ยวกับกระแสแง่ลบ และความเกลียดชังจากทั้งชาวเน็ต และสื่อที่รุมประโคมข่าวเกี่ยวกับเธอในประเด็นต่าง ๆ ที่มีส่วนในการเผยแพร่ข้อเท็จจริงที่สร้างความเกลียดชังต่อตัวเธอไม่มากก็น้อย

ทั้งความพยายามจะเล่นบทเหยื่อผู้ถูกกระทำ รวมทั้งการหยิบประเด็นเกี่ยวกับหลักฐานในชั้นศาลที่ขาดน้ำหนักในระหว่างไต่สวน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบทั้งด้านการงานและจิตใจของตัวเธอเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฮิร์ดได้เปิดเผยเรื่องนี้กับสื่อแบบสั้น ๆ ก่อนจะเข้าสู่คำถามเกี่ยวกับตัวหนังอย่างรวดเร็ว

“ฉันคิดว่าตัวฉันเองสามารถควบคุมสิ่งที่ฉันพูดได้เป็นส่วนใหญ่ แต่สิ่งที่ฉันควบคุมไม่ได้เลยก็คือ การที่ความภาคภูมิใจของฉัน และสิ่งทุกอย่างที่ฉันใส่เข้าไปในหนังเรื่องนี้ จะต้องถูกบดบังไปด้วยบรรดาคลิปหรือสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง นั่นจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่ฉันจะต้องเรียนรู้ว่า ฉันเองไม่สามารถควบคุมเรื่องราวต่าง ๆ ที่คนอื่นพูดถึงเกี่ยวกับตัวฉันได้…”

“ตอนนี้ฉันรู้สึกไม่อยากโดนสื่อรุมขว้างก้อนหินใส่ฉันอีกต่อไป เพราะฉะนั้น สิ่งที่ฉันอยากจะพูดตรง ๆ ก็คือ ฉันเป็นนักแสดง แค่นี้เลย ฉันมาที่นี่เพื่อสนับสนุนภาพยนตร์”

“สิ่งที่หลายคนอาจจะไม่รู้ก็คือ ฉันเองทำอาชีพเป็นนักแสดงมาตลอด ตั้งแต่ฉันอายุ 16 ปีแล้วล่ะ มันฟังดูเป็นอะไรที่บ้าเหมือนกัน แต่มันแปลว่าฉันเองอยู่ในวงการนี้มาก็นับสิบปีได้แล้ว ฉันไม่ได้จะบอกว่าฉันมีอาชีพนักแสดงหนังที่น่าทึ่งอะไรหรอกนะ แต่สิ่งที่ฉันมี ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ฉันสร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง และมอบสิ่งต่าง ๆ ให้ฉัน จนฉันตั้งตัวได้ ซึ่งมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยนะในอุตสาหกรรมนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ฉันก็ยังอยู่ที่นี่ และฉันคิดว่าฉันได้รับความเคารพที่จะได้เป็นตัวของตัวเอง ฉันว่านั่นคงเพียงพอแล้วล่ะ…”

“สิ่งที่ฉันเจอในชีวิต สิ่งที่ฉันต้องดำรงอยู่กับมัน ไม่ได้ทำให้อาชีพของฉันมันดีขึ้นเลย และมันก็จะไม่ทำลายอาชีพนักแสดงของฉันด้วย เพราะฉะนั้น เรามาพูดถึงหนังเรื่องนี้กันดีกว่า…”

‘In The Fire’ เป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญพีเรียดเรื่องใหม่ในรอบหลายปีเรื่องนี้ เฮิร์ดต้องรับบทเป็น เกรซ วิกตอเรีย เบิร์นแฮม จิตแพทย์หม้ายสาวชาวอเมริกัน ที่ต้องเดินทางไปพบกับเจ้าของฟาร์มที่ห่างไกลในประเทศโคลอมเบียในช่วงทศวรรษ 1890 เพื่อให้การรักษาแก่เด็กชายคนหนึ่งที่ต้องเผชิญกับอาการแปลกประหลาด กลายเป็นการไขปริศนาสุดลึกลับและการต่อสู้ระหว่างวิทยาศาสตร์ ศาสนา และเรื่องเหนือธรรมชาติ จากความเชื่อว่าเด็กชายอาจถูกภูติผีปีศาจเข้าสิง

Amber Heard In The Fire

ซึ่งนอกจากหนังเรื่องนี้จะเป็นผลงานการแสดงหนังเรื่องแรกของเฮิร์ดในรอบหลายปีแล้ว การปรากฏบนพรมแดงของเฮิร์ดในครั้งนี้ก็นับเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ที่เธอปรากฏบนพรมแดงครั้งสุดท้ายในรอบฉายปฐมทัศน์หนังเรื่อง ‘Gully’ (2019) ในเทศกาลภาพยนตร์ทริเบกา (Tribeca Film Festival) ณ กรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2019 อีกด้วย

เฮิร์ดได้พูดถึงหนังเรื่องนี้เพิ่มเติมว่า “มันเป็นหนังที่เกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติ และพลังแห่งความรักที่สวยงามค่ะ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการขยายขอบเขตของความรักที่สามารถสรรสร้าง ก้าวข้ามขอบเขต และมีพลังอันท่วมท้น ฉันไม่ได้อยากจะพูดเพ้อเจ้อนะ แต่มันเป็นหนังที่เกี่ยวกับความรักจริง ๆ “

นอกจากนี้ ช่วงปลายปี 2023 ก็จะมีอีกผลงานการแสดงของเฮิร์ดที่กำลังจะจ่อรอฉายในวันที่ 20 ธันวาคม นั่นก็คือ ‘Aquaman and the Lost Kingdom’ หนังเรื่องสุดท้ายที่จะเป็นการปิดม่านยุคสมัย Snyderverse ของ DCEU อย่างเป็นทางการ ซึ่งแม้จะมีผลจากคดีความที่ทำให้ชื่อเสียงของเธอ และตัวหนังลงไปบ้าง แต่จากตัวอย่างที่ปล่อยออกมา ก็ยังไม่ได้มีการตัดฉากของเฮิร์ดออกไปแต่อย่างใด

Amber Heard In The Fire

ซึ่งแม้ต้องรออีกครึ่งปี แต่หลายคนต่างก็กังวลว่าหนังเรื่องนี้อาจต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกันกับหนัง ‘The Flash’ ที่ใช้ทุนสร้าง 200–220 ล้านเหรียญ แต่ทำรายได้บน Box Office ทั่วโลก (ณ วันที่ 5 กรกฏาคม) ได้เพียงแค่ 246.9 ล้านเหรียญ ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า แม้คำวิจารณ์ของตัวหนังจะออกมาไม่เลวร้าย แต่กระแสข่าวฉาวและพฤติกรรมน่าเอือมระอาในอดีตของนักแสดงนำอย่าง เอซรา มิลเลอร์ (Ezra Miller) ก็มีส่วนที่ทำให้ตัวหนังทำรายได้ไม่สวยงามเช่นกัน

สิ่งนี้ทำให้แฟน DC ต่างก็เป็นห่วงว่า กระแสต่อต้านที่เกิดขึ้นกับนักแสดงนำ จะมีผลซ้ำรอยต่อหนังเรื่องนี้อีกหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม ในบทสัมภาษณ์ชิ้นเดียวกัน เฮิร์ดที่ตอนนี้กลายเป็นนักแสดงที่มีผลงานทั้งหนังอินดี้ฟอร์มเล็ก และหนังซูเปอร์ฮีโรฟอร์มยักษ์ ยังได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า เธอเองก็ยังคงรู้สึกตื่นเต้น และรู้สึกภูมิใจที่ได้มีโอกาสร่วมในจักรวาล DC ในบท เมรา ในหนัง ‘Aquaman and the Lost Kingdom’ เฉกเช่นเดียวกับการได้ร่วมงานในหนังอินดี้ฟอร์มเล็กอย่าง ‘In The Fire’

Aquaman

ในตอนท้ายของบทสัมภาษณ์ เฮิร์ดยังได้ทิ้งท้าย เป็นการเน้นย้ำถึงความรู้สึกของเธอที่มีต่ออาชีพนักแสดงในปัจจุบันไว้สั้น ๆ “ฉันแค่อยากแสดงหนัง และได้รับคำชื่นชมในฐานะของนักแสดง ฉันไม่ได้อยากให้ใครมาชื่นชมเพราะว่าฉันถูกตรึงด้วยไม้กางเขน”


ที่มา: Deadline, People, Daily mail

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส