ใน ‘Arnold’ สารคดีมินิซีรีส์ 3 ตอนของ Netflix ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ถือเป็นสารคดีที่เล่าเรื่องชีวิตและอาชีพการงานของแอ็กชันสตาร์ระดับโลก อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ (Arnold Schwarzenegger) แบบละเอียดทุกด้านทุกมุม ตั้งแต่ชีวิตวัยเด็ก การเป็นกีฬานักกล้าม ผันตัวมาเป็นนักแสดงภาพยนตร์ ก้าวขึ้นสู่การเป็นแอ็กชันสตาร์เบอร์ต้นของฮอลลีวูดยุค 80s และการก้าวเข้าสู่แวดวงการเมืองด้วยการรับตำแหน่งผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียในปี 2003
รวมทั้งเรื่องราวลับ ๆ ในชีวิตของเขาที่ผ่านมา ทั้งเรื่องของความขัดแย้งในวงการนักแสดง รวมไปถึงชีวิตสมรสของเขาที่เรียกได้ว่าหวานชื่นน่าอิจฉา แต่สุดท้ายวันชื่นคืนสุขของครอบครัวใหญ่ที่ประกอบไปด้วย พ่อ แม่ และลูก ๆ อีก 4 คนของพวกเขา ก็ต้องพบกับจุดสะดุดครั้งใหญ่ เพราะสุดท้ายแล้วดูเหมือนว่า นักแสดงหุ่นล่ำฉายา ‘ฅนเหล็ก’ จะไม่ได้มีแค่ลูกสาว-ลูกชายแค่ 4 คน
“เดตแรก นั่งดูถ่ายทอดสดยานจอดบนดวงจันทร์”
รักครั้งแรกของฅนเหล็กเริ่มต้นขึ้นในปี 1969 หรือเมื่อตอนที่เขาอายุได้ 22 ปี ในเวลานั้นเขาเองเริ่มมีชื่อเสียงในฐานะของนักกีฬาเพาะกายอาชีพ และรับราชการทหารในกองทัพออสเตรีย ก่อนจะย้ายจากบ้านเกิดเข้ามาอยู่ในสหรัฐอเมริกา ก่อนที่เขาจะได้พบเจอและคบหากับ บาร์บารา เอาต์แลนด์ (Barbara Outland) ครูสอนภาษาอังกฤษวัย 21 ปี หลังจากนั้นอีกประมาณ 6-8 เดือน
ในเวลานั้นเธอเผยว่า ชวาร์เซเน็กเกอร์เพิ่งจะพูดภาษาอังกฤษได้ไม่เกิน 200 คำ ด้วยความที่ฐานะยังไม่ร่ำรวย ทั้งคู่จึงเช่าอะพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ร่วมกัน และไลฟ์สไตล์ก็ไม่ได้หรูหราอะไร ชวาร์เซเน็กเกอร์ก็ยังเป็นนักกีฬาเพาะกาย เริ่มมีผลงานการแสดงเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้โด่งดังมากนัก ส่วนเธอเองก็ทำงานช่วงฤดูร้อนในร้านขายอาหารสำเร็จรูป เอาต์แลนด์เล่าว่า เดตแรกของเธอกับนักเพาะกายหนุ่ม คือการนั่งดูถ่ายทอดสดยานอะพอลโลลงจอดบนดวงจันทร์
แต่สุดท้าย หลังจากคบหาได้ 3 ปี ด้วยปัญหาหลาย ๆ อย่าง สุดท้าย ชวาร์เซเน็กเกอร์กับเอาต์แลนด์ก็แยกทางกันในปี 1975 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เขาเองกลายเป็นนักกีฬาเพาะกายที่มีชื่อเสียงในระดับโลก และมีผลงานการแสดงในหนังแนว Docudrama (กึ่งสารคดีกึ่งเรื่องแต่ง) ที่ว่าด้วยเรื่องของการป้องกันแชมป์นักเพาะกายของตัวเขาเองใน ‘Pumping Iron’ (1977) ที่ทำให้ชวาร์เซเน็กเกอร์เริ่มก้าวเข้าสู่การเป็นดาราภาพยนตร์อย่างเต็มตัว
ในปีเดียวกันกับที่หนังออกฉาย ชวาร์เซเน็กเกอร์ได้คบหากับ ซู มอเรย์ (Sue Moray) ผู้ช่วยช่างทำผมในฮอลลีวูด มอเรย์อ้างถึงความสัมพันธ์ของเธอกับเขาในเวลานั้นว่าเป็นความสัมพันธ์แบบเปิดที่ไม่ได้ผูกมัดจริงจัง แต่เปิดให้ทั้งคู่มีอิสระในการสร้างสัมพันธ์ ในขณะที่ชวาร์เซเน็กเกอร์เองก็ต้องเผชิญกับคำวิจารณ์ด้านฝีมือการแสดงที่ดูแข็ง ๆ
แถมยังต้องเจอคำครหาว่า อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ เป็นดาราที่ผิดยุคผิดสมัย เพราะเทรนด์พระเอกยุค 70s นั้นมักจะเป็นพระเอกแนวเจ้าสำอาง ตัวเล็ก อาทิ ดัสติน ฮอฟฟ์แมน (Dustin Hoffman) และ อัล ปาชิโน (Al Pacino) ในขณะที่พระเอกหรือนักแสดงแนวล่ำแบบเขาเริ่มกลายเป็นของเชย จนทำให้เอเจนซีหางานแสดงที่เหมาะกับเขาไม่ได้ เขาในตอนนี้แทบจะห่างไกลจากความเป็นซูเปอร์สตาร์
แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็เริ่มตั้งตัวได้มากขึ้นจากการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ ด้วยชื่อเสียงที่เริ่มสั่งสม นำไปสู่การสมรสครั้งแรก (และครั้งเดียวในชีวิต) ของเขาเองในเวลาต่อมา
“ลูกสาวของคุณก้นสวย”
วันหนึ่งในเดือนสิงหาคม ปี 1977 เอเธล เคนเนดี (Ethel Kennedy) ผู้ก่อตั้งองค์กรการกุศล Robert F. Kennedy Center for Justice and Human Rights ภรรยาของวุฒิสมาชิก โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี (Robert F. Kennedy) และน้องสะใภ้ของประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี (John F. Kennedy) ได้โทรชักชวนให้ชวาร์เซเน็กเกอร์ ไปร่วมในงานการแข่งขันเทนนิสการกุศล โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี (Robert F. Kennedy Tennis Pro Celebrity Tournament) เพราะอยากให้นักแสดงหนุ่มกล้ามล่ำไปโชว์ตัวเพื่อสร้างความบันเทิงและดึงดูดใจผู้มาร่วมงานในครั้งนี้
แม้ชวาร์เซเน็กเกอร์จะไม่เคยเล่นเทนนิส หรือแม้แต่จับแร็กเกตเลยในชีวิตก็ตาม แต่เขาก็ยินดีที่จะไปตามคำชวนของประชาสัมพันธ์ส่วนตัวของเขาเอง เพราะอย่างน้อย ๆ ก็ถือเป็นการโปรโมตตัวเขาเองให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น เพราะในเวลานั้นยังแทบจะไม่ได้มีผลงานการแสดงในหนังระดับบล็อกบัสเตอร์
ชวาร์เซเน็กเกอร์ได้รับเชิญไปเข้าร่วมในงานเลี้ยงใหญ่ก่อนวันแข่งขันจริง ซึ่งก็เป็นไปตามคาด ผู้คนในตระกูลเคเนดีที่เป็นที่รู้จักในเวลานั้น มารวมตัวในงานเต็มไปหมด จนกระทั่ง ยูนิซ เคนเนดี ชริเวอร์ (Eunice Kennedy Shriver) น้องสาวของอดีตประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี และผู้ก่อตั้งโครงการสเปเชียลโอลิมปิก (Special Olympics) ได้เดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับ มาเรีย ชริเวอร์ (Maria Shriver) นักข่าว ลูกสาวของยูนิซ และหลานสายตรงของประธานาธิบดีผู้ล่วงลับ
แต่การเจอกันครั้งแรกของดาราหนุ่มกับหญิงสาวกลับไม่ได้โรแมนติกอย่างที่คิด ชวาร์เซเน็กเกอร์เล่าว่า ในเวลานั้น เขาได้พบกับยูนิซ ที่พามาเรียมาแนะนำตัว เพราะชื่นชอบในตัวของดาราหนุ่ม แต่ไม่รู้นึกคะนองปากหรืออย่างไรไม่ทราบได้ ชวาร์เซเน็กเกอร์ได้เอ่ยปากชมลูกสาววัย 21 ปี ต่อหน้าแม่ยายในอนาคตของเขาเองว่า “ลูกสาวของคุณนี่ก้นสวยดีจริง ๆ เลยครับ”
ยูนิซได้แต่หัวเราะ ก่อนจะพูดว่าขอบคุณ และเดินจากไป ทิ้งความรู้สึกผิดในใจเล็ก ๆ ที่ดันไปทะลึ่งพูดเรื่องที่ไม่ควรจะพูด “สิ่งที่ผมพูดมันเป็นอะไรที่โง่มาก ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงพูดแบบนั้นออกไป” ชวาร์เซเน็กเกอร์พูดแกล้มหัวเราะ
แต่นั่นก็ไม่ได้ขัดขวางพรหมลิขิตของคนทั้งคู่ เพราะสุดท้าย ชวาร์เซเน็กเกอร์วัย 30 ปี ก็ได้มีโอกาสลงแข่งขันเทนนิสการกุศล สร้างความบันเทิงแก่ผู้ชมเป็นอย่างมาก แต่ดูเหมือนว่าจิตใจของเขาจะไม่ได้มุ่งแต่การแข่งขันแต่เพียงอย่างเดียว เพราะเขาเองจับสังเกตได้ว่า มาเรียตั้งใจดูเขาเล่นแทบจะตลอดเวลา
จนกระทั่งการแข่งขันเสร็จสิ้น แคโรไลน์ เคนเนดี (Caroline Kennedy) ลูกสาวของอดีตประธานาธิบดี และมาเรีย เดินเข้ามาหาเขาเพื่อชวนไปปาร์ตี้บนเรือส่วนตัวที่ท่าเรือไฮแอนนิส พอร์ต (Hyannis Port) ชวาร์เซเน็กเกอร์บอกปัดเพราะเขาไม่ได้เอากางเกงอื่นมาเปลี่ยนเลยนอกจากกางเกงเทนนิส แต่ในที่สุดเขาก็ได้ไปร่วมปาร์ตี้ ว่ายน้ำในอ่าวทั้งชุดเทนนิส และความสัมพันธ์ของเขากับมาเรีย (และตระกูลเคนเนดี) ก็เริ่มต้นขึ้น
“ผมตกหลุมรักมาเรียจริง ๆ ไม่ใช่เพราะว่าเธอเป็นเคนเนดีหรอกนะครับ แต่เพราะว่าเธอมีความพิเศษ ผมเห็นความขบถเล็ก ๆ ในตัวเธอ ผมอยากหนีออกจากบ้านในออสเตรีย เธอเองก็อยากหนีจากบ้านด้วย นั่นเลยเป็นจุดเริ่มต้นของผมกับมาเรีย”
หลังจากที่พวกเขาพบรักและคบหาดูใจมาเป็นระยะเวลานานถึง 9 ปี ในเดือนเมษายน ปี 1986 ชวาร์เซเน็กเกอร์ และมาเรีย ก็ได้เข้าพิธีสมรสที่จัดขึ้นในโบสถ์ของเมืองไฮแอนนิส รัฐแมสซาชูเซตส์ ในงานพิธี นอกจากจะรายล้อมไปด้วยครอบครัวของทั้งสองฝ่ายแล้ว ก็ยังมีบุคคลสำคัญระดับ VIP ที่ได้รับเชิญมาร่วมงานด้วย อาทิ แอนดี วอร์ฮอล์ (Andy Warhol), เกรซ โจนส์ (Grace Jones) และ โอปราห์ วินฟรีย์ (Oprah Winfrey)
ชีวิตรักของทั้งคู่ดำเนินไปได้ด้วยดีอย่างยาวนาน หลังจากที่ชวาร์เซเน็กเกอร์ได้รับเลือกให้เป็นผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียในปี 2003 ก็ทำให้มาเรียได้เลื่อนสถานะขึ้นเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของรัฐแคลิฟอร์เนียคนที่ 35 อย่างเป็นทางการ ทั้งคู่มีลูกด้วยกันทั้งหมด 4 คน ประกอบไปด้วยลูกชายและลูกสาวอย่างละ 2 คน ปัจจุบันทั้ง 4 คนโตเป็นหนุ่มสาว และบางคนก็แต่งงานออกเรือนไปแล้วด้วย ชื่อเต็ม ๆ ของบางคนก็เลยยาวเป็นพิเศษ
ไล่เรียงตั้งแต่ แคตเธอรีน ยูนิช ชวาร์เซเน็กเกอร์ แพรตต์ (Katherine Eunice Schwarzenegger Pratt) อายุ 33 ปี ภรรยาของ คริส แพรตต์ (Chris Pratt), คริสตินา มาเรีย ออเรเลีย ชวาร์เซเน็กเกอร์ (Christina Maria Aurelia Schwarzenegger) อายุ 31 ปี, แพทริก อาร์โนลด์ ชริเวอร์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ (Patrick Arnold Shriver Schwarzenegger) อายุ 29 ปี และ คริสโตเฟอร์ ซาร์เจนต์ ชริเวอร์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ (Christopher Sargent Shriver Schwarzenegger) อายุ 25 ปี
“สิ่งที่ผมทำเป็นสิ่งที่ผิด”
แต่สุดท้าย 9 พฤษภาคม 2011 ชวาร์เซเน็กเกอร์และมาเรีย ก็ได้ออกมาประกาศว่า พวกเขาได้หย่าร้างกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากใช้ชีวิตร่วมกันมาอย่างยาวนานถึง 25 ปี การหย่าขาดกันครั้งนี้จึงถือเป็นเรื่องที่น่าจับตามองสร้างความสงสัยให้กับบรรดาคนที่ติดตามข่าวบันเทิงและการเมืองเป็นอย่างมาก เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า นอกจากชวาร์เซเน็กเกอร์ จะกลายเป็นแอ็กชันซูเปอร์สตาร์ระดับตำนานไปแล้ว การสนิทสนมชิดเชื้อกับตระกูลเคนเนดี ก็มีผลในเชิงของคอนเน็กชันและความนิยมในด้านการเมืองเช่นกัน
จนกระทั่งในอีกไม่กี่วัน ชวาร์เซเน็กเกอร์จึงได้ออกมายอมรับต่อสาธารณชนว่า สาเหตุส่วนหนึ่งของการหย่าร้างนั้น เกิดขึ้นหลังจากดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ เขาได้สารภาพกับมาเรียว่า เขาแอบมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ มิลเดร็ด แพทริเซีย บาเอนา (Mildred Patricia Baena) หรือ แพตตี (Patty) แม่บ้านชาวกัวเตมาลาที่ทำงานกับครอบครัวมานานกว่า 20 ปี เขากับมิลเดร็ดแอบมีความสัมพันธ์ต้องห้ามมาตั้งแต่ปี 1996 ทั้งที่ในเวลานั้นมิลเดร็ดเองก็มีสามีอยู่แล้วด้วยเช่นกัน
และยังให้กำเนิด โจเซฟ บาเอนา (Joseph Baena) ที่ถือเป็นบุตรชายคนที่ 5 ของเขาเอง และที่ตลกร้ายก็คือ โจเซฟลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ปี 1997 หลังจากที่มาเรียได้ให้กำเนิดคริสโตเฟอร์ ลูกชายคนสุดท้องในวันที่ 27 กันยายน ปี 1997 ห่างกันเพียงแค่ 6 วันเท่านั้น ซึ่งการที่เรื่องแดงจนร้าวฉาน ก็เพราะเป็นมาเรียเองที่เริ่มเอะใจ จากการเห็นโจเซฟ ลูกชายของแพตตี ที่โตขึ้นจนได้อายุประมาณ 7-8 ปี กลับมีใบหน้าที่คล้ายคลึงกับชวาร์เซเน็กเกอร์เสียยิ่งกว่าลูก ๆ ของเธอเสียอีก
มาเรียเปิดเผยในภายหลังว่า ในเวลานั้น เธอรู้สึกเหมือนใจสลายและเจ็บปวดอย่างมาก ในขณะที่ฝั่งของชวาร์เซเน็กเกอร์เองก็เปิดเผยภายหลังเช่นกันว่า เขาเองก็รู้สึกผิดต่อความผิดพลาดที่ทำให้ครอบครัวต้องเจ็บปวดและต้องแยกจากกัน มาเรียได้ตัดสินใจแยกกันอยู่ และตัดสินใจฟ้องหย่าในเดือนกรกฏาคม ปี 2011 ส่วนมิลเดร็ดตัดสินใจลาออกจากการเป็นแม่บ้าน แต่กว่าที่คดีฟ้องหย่าจะดำเนินการเสร็จสิ้นก็ล่วงเลยมาจนถึงปี 2021 ที่ถือว่าทั้งคู่หย่าขาดจากกันอย่างสมบูรณ์
คณะลูกขุนตัดสินให้มาเรียมีสิทธิ์ได้รับสินสมรสกึ่งหนึ่ง นับตั้งแต่วันสมรสจนถึงช่วงปี 2011 รวมทั้งเงินบำนาญ ซึ่งชวาร์เซเน็กเกอร์ก็ยังคงส่งเงินให้ไม่ขาดตกบกพร่อง นอกจากนี้ ชวาร์เซเน็กเกอร์เองก็ยังดูแลฝั่งของมิลเดร็ดและโจเซฟลูกชายของเขาด้วยเช่นกัน ที่ภายหลังเธอตัดสินใจหย่ากับสามี และผันตัวไปเป็นเชฟ มีรายงานว่า ชวาร์เซเน็กเกอร์ได้ซื้อบ้านที่แคลิฟอร์เนียเพื่อให้แม่ลูกอยู่อาศัย และให้การสนับสนุนทางการเงินอยู่เรื่อย ๆ
แม้ชวาร์เซเน็กเกอร์จะเปิดเผยว่า สิ่งที่เขาทำนั้นถือเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา ถือเป็นความผิดพลาดที่จะอยู่กับเขาไปชั่วชีวิต แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะทำให้เขาปฏิเสธและเลือกที่จะทำตัวห่างเหินกับลูกชายคนที่ 5 เพราะในบรรดาลูก ๆ ทั้ง 5 คน ก็มีแต่โจเซฟ ที่เลือกเส้นทางการเป็นนักเพาะกาย ซึ่งพ่อของเขาก็รับหน้าที่เป็นเทรนเนอร์ให้
แต่สิ่งที่เขาเลือกทำด้วยตัวเองโดยที่ไม่ได้ใช้นามสกุลของพ่อเลยแม้แต่น้อยก็คือ การเป็นนักแสดง โจเซฟเริ่มมีผลงานการแสดงภาพยนตร์ ‘Bully High’ (2022) มีผลงานถ่ายแบบลงนิตยสาร Men’s Health ในปี 2022 ด้วย รวมทั้งในปี 2019 โจเซฟสำเร็จการศึกษาจาก Pepperdine University ชวาร์เซเน็กเกอร์ก็เดินทางไปร่วมแสดงความยินดีในวันรับปริญญาของลูกชายด้วยตัวเอง
“สิ่งที่ผมทำมันเป็นสิ่งที่ผิด แต่ผมก็ไม่ต้องการให้โจเซฟรู้สึกว่าโลกนี้ไม่อ้าแขนต้อนรับเขา เขาได้รับการต้อนรับจากโลกใบนี้ และผมรักเขา เขาโตมาเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่ธรรมดา”
แต่แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นความเจ็บปวดอันใหญ่หลวงของทั้งมาเรียและลูก ๆ และทำให้ปัจจุบันนี้ไม่ได้มีโอกาสอยู่ในบ้านเดียวกัน แต่โชคดีที่ครอบครัวของเขาก็ยังคงพบปะ ไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ ชวาร์เซเน็กเกอร์เล่าว่า สมาชิกครอบครัวทั้ง 6 คนยังคงทำกิจกรรมทุกอย่างร่วมกันอย่างเหนียวแน่น เสมอ ทั้งเทศกาลอีสเตอร์ คริสมาสต์ วันเกิด ฯลฯ
“ในความเศร้านี้ ผมดีใจมาก ๆ ที่ผมกับมาเรียเลี้ยงลูกของเราได้ดีมาก ๆ ผมคิดว่าไม่มีสิ่งใดที่จะดีไปกว่าการมีคู่ชีวิตอยู่เคียงข้าง และมาเรียก็เป็นแบบนั้นเลย เพียงแต่ว่าไม่ได้เป็นเหมือนเมื่อก่อน ที่เราอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน เรามีความสัมพันธ์ที่ดีมาก ทุกคนมีความสุขมากจริง ๆ “
ที่มา: Insider, People, The Things, Telegraph, Wikipedia
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส