เมื่อปีที่แล้ว หลังจากเหตุตบสนั่นโลก ที่ วิล สมิธ (Will Smith) ได้ปรี่ขึ้นไปตบหน้าดาราตลก คริส ร็อก (Chris Rock) ผู้ทำหน้าที่พิธีกรบนเวทีประกาศรางวัลออสการ์ ปี 2022 อย่างจัง หลังจากที่เจ้าตัวเล่นมุกแซวอาการผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia Areata) ของ จาดา พิงค์เกต-สมิธ (Jada Pinkett-Smith) ภรรยาของสมิธ
เหตุการณ์นี้ส่งผลไม่น้อยต่อคู่กรณีทั้ง 2 ฝั่ง ทั้งการโดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก และต่างก็ได้รับผลจากการกระทำของตัวเอง ทั้งสมิธ ที่โดนสถาบันศิลปะและวิชาการทางภาพยนตร์ (Academy of Motion Picture Arts and Sciences – AMPAS) ประกาศสั่งแบนสมิธเข้าร่วมงานออสการ์ และร่วมกิจกรรมทั้งหมดของสถาบันนานถึง 10 ปี ส่วนฝั่งของร็อกเองก็โดนวิจารณ์ รวมถึงผลกระทบด้านครอบครัว แม้จะยังหยิบเอาเหตุการณ์นี้มาเล่นมุกได้ก็ตาม
เลสลี โจนส์ (Leslie Jones) ดาวตลกสายเดี่ยวไมโครโฟน (Stand-Up Comedy) อดีตนักแสดงและเขียนบทในรายการ Saturday Night Live และนักแสดงร่วมในหนังบริษัทกำจัดผีรีบูต ‘Ghostbusters’ (2016) เวอร์ชันหญิงล้วน ได้เปิดเผยแง่มุมของเพื่อนสนิทร่วมอาชีพ ต่อผลกระทบจากเหตุดังกล่าวเป็นครั้งแรกในหนังสือชื่อห่าม ‘Leslie F*cking Jones: A Memoir Leslie Jones’ ที่เพิ่งวางแผงไม่นานนี้
โดยหนังสือที่ได้ร็อกร่วมเขียนคำนำเล่มนี้ มีเนื้อหาส่วนหนึ่งเล่าถึงช่วงเวลาที่เธอได้เจอกับร็อกครั้งแรกในช่วงกลางยุค 90s ทั้งคู่สนิทสนมจนถึงขั้นที่เธอยกให้เขาเป็นเหมือนกับพี่ชายที่ให้คำปรึกษา และเป็นคนที่โน้มน้าวเธอให้สมัครเข้าร่วมรายการ Saturday Night Live ในปี 2013 ทั้ง ๆ ที่เธอวิพากษ์วิจารณ์รายการนี้ว่าไม่ตลก และนักแสดงก็ไม่ได้เป็นคอมมีเดียนจริง ๆ จนเธอได้ปรากฏตัวในซีซันที่ 40 ก่อนจะลาจอไปในซีซันที่ 44 ในปี 2019
ในหนังสือเล่มเดียวกัน โจนส์ยังได้เปิดเผยความรู้สีกของเธอเองต่อเหตุการณ์ตบสนั่นโลก รวมทั้งผลกระทบที่เกิดขึ้นกับพี่ชายคนสนิทของเธอด้วยว่า ในเวลานั้นเธอดูถ่ายทอดสดงานประกาศรางวัลอยู่ที่บ้าน จนเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น มันทำให้เธอรู้สึกโกรธอย่างมาก “มันทำให้ฉันรู้สึกโมโหมาก คุณไม่รู้หรอกว่าฉันนี่โกรธมากจนถึงขั้นอยากจะกระโดดขึ้นรถแล้วขับไปที่งานนั่นเลย ตอนนั้นฉันนี่โคตรโกรธถึงขีดสุดเลย”
โจนส์เปิดเผยด้วยว่า เหตุการณ์นี้ส่งผลร้ายแรงต่อครอบครัวของเขาอย่างมาก โดยเฉพาะผลกระทบที่มีต่อร็อกในฐานะพ่อของลูกสาว โลลา (Lola) วัย 21 ปี และ ซาห์รา (Zahra) วัย 19 ปี ที่รุนแรงจนถึงขั้นที่ทั้งร็อกและลูกสาวทั้ง 2 ต้องเข้ารับคำปรึกษาด้านครอบครัว “มันเป็นอะไรที่แม่-โคตรจะน่าอาย มันส่งผลกระทบต่อเขามากจริง ๆ ทุกคนต้องเข้าใจลูกสาว เข้าใจพ่อแม่ของพวกเธอด้วยนะ เห็นเป็นแบบนั้น แต่เขาก็ยังต้องเข้ารับปรึกษาด้านครอบครัวกับลูกสาวของเขาเหมือนกัน”
โจนส์จำได้ว่า ในวันนั้น เธออยากไปอยู่ข้าง ๆ เขา และเมื่อได้พูดคุย เธอก็เล่าความรู้สึกโกรธให้กับร็อก
“ฉันโกรธกับเรื่องนี้มานานมาแล้ว คริสร็อกทำเรื่องตลกไร้สาระ ฉันรู้ว่าวิลก็ทำเหมือนกันนั่นแหละ… ตอนนั้นฉันเองคิดว่า ร็อก นายจะรับมือกับเรื่องเชี่- นี่ไหวเหรอ นี่มันออสการ์นะ ทุกคนทั้งโลกจับตาดูอยู่”
“ถ้าเป็นฉัน ฉันคงแบบ ‘คริส ตอนที่เขาลุกขึ้นมาทำไมไม่วิ่งหนีล่ะ ฉันคงวิ่งไปข้าง ๆ เวทีนั้นแล้วตะโกนว่า ‘ใจเย็นก่อนวิล… จาดา ช่วยเรียกผัวเธอหน่อยสิ!’ …ตอนนั้นเขายังแก้ไขมันได้นะ ถ้าฉันเป็นวิล ฉันจะพาคริสออกไป ฉันคงบอกว่า ‘ผมคงรับรางวัลนี้ไม่ได้จริง ๆ เพราะว่าผมทำสิ่งที่โคตรผิดลงไป’ อะไรแบบนี้ “
แม้เรื่องนี้จะหนักหนาสำหรับร็อกและตัวเธอเอง แต่โจนส์ก็ยังมองเห็นแง่ดีของเหตุการณ์นี้ หลังจากที่ร็อกได้หยิบเอาประเด็นดราม่าบนเวทีออสการ์ มาแปลงให้เป็นมุกตลกแสบ ๆ คัน ๆ ในการแสดงเดี่ยวไมโครโฟน ‘Chris Rock: Selective Outrage’ ที่ฉายบน Netflix
“ทุกคนต่างก็ไม่พอใจที่เขาทำโชว์พิเศษนั่นขึ้นมา แต่มันเป็นสิ่งที่นักแสดงตลกต้องทำไง แทนที่เราจะมัวมานั่งโกรธ เราก็เอาเรื่องนั้นไปเล่าบนเวทีแม่-เลย ขอบคุณพระเจ้าที่ยังให้เขาได้ขึ้นเวที”
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส