ลอรา มาร์ติน (Laura Martin) นักวิเคราะห์ด้านธุรกิจสื่อและความบันเทิง จากบริษัทนีดแฮมแอนด์คอมปานี (Needham & Company) บริษัทวาณิชธนกิจและบริหารสินทรัพย์ชั้นนำของสหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่รายงานที่เผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 20 กันยายน โดยส่วนหนึ่งของรายงานได้เปิดเผยรายละเอียดในระหว่างการประชุมคณะกรรมการบริหารและผู้ถือหุ้นของ The Walt Disney Company
ในรายงานระบุว่า บ็อบ ไอเกอร์ (Bob Iger) CEO คนปัจจุบันของ The Walt Disney Company ได้ตอบข้อซักถามของผู้ลงทุนรายหนึ่ง ที่ได้เสนอแนะในที่ประชุมว่า บริษัทกำลังวางท่าทีกังวลต่อปัญหาสังคมมากเกินไป จนส่งผลทำให้บริษัทขาดทุน ไอเกอร์ได้กล่าวกับกล่าวกับบอร์ดบริหารและผู้ถือหุ้นในที่ประชุมว่า บริษัทจะตัดสินใจลดบทบาทของบริษัทในการทำสงครามวัฒนธรรม (Culture Wars) หรือการขับเคลื่อนวัฒนธรรมด้วยการสอดแทรกการ Woke หรือการกระตุ้นการตื่นรู้ในความหลากหลายและไม่เท่าเทียมในสังคมลง
ไอเกอร์ได้เปิดเผยแผนธุรกิจที่จะเกิดขึ้นต่อผู้ถือหุ้นว่า ในอนาคต บริษัทจะปรับแผนนโยบาย ด้วยการหันไปเน้นการปรับปรุงคุณภาพของคอนเทนต์ ด้วยการผลิตคอนเทนต์เน้นความบันเทิงในเชิงบวกมากขึ้น และจะหันมามุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจสวนสนุกและรีสอร์ต Walt Disney World Resort เมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา และธุรกิจการล่องเรือ โดยจะเพิ่มเม็ดเงินการลงทุนเกือบ 2 เท่า หรือราว 60,000 ล้านเหรียญภายใน 10 ปีข้างหน้า

นอกจากนี้ บริษัทกำลังปรับแผนขนานใหญ่ หลังจากที่มีการเลิกจ้างพนักงานไปมากกว่า 7,000 คน รวมทั้งธุรกิจสตรีมมิงที่ยังเผชิญกับภาวะขาดทุนอย่างต่อเนื่องจนทำให้ต้องมีการขึ้นราคาค่าบริการ โดยไอเกอร์ได้กล่าวในที่ประชุมว่า “ภารกิจของเราคือจะต้องเน้นการสร้างความบันเทิงเป็นหลัก …และเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลก ผมจริงจังในเรื่องนี้มาก ๆ จะไม่มีการขับเคลื่อน (คอนเทนต์) ด้วยวาระทางสังคมอีกต่อไป”
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา Disney ตกเป็นเป้าในการวิพากษ์วิจารณ์ในการสอดแทรก และยัดเยียดความ Woke ทั้งประเด็นความหลากหลายทางเพศ สีผิว เชื้อชาติ ฯลฯ เอาไว้ในคอนเทนต์ต่าง ๆ ของบริษัท ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า การขับเคลื่อนสงครามวัฒนธรรมนี้ จะก่อให้เกิดผลเสียต่อธุรกิจของบริษัททั้งในเชิงรายได้ และคำวิพากษ์วิจารณ์ ที่บริษัทโดนโจมตีในเรื่องนี้มาโดยตลอด
นโยบายการ Woke ที่เผยแพร่ในคอนเทนต์ของ Disney หลายชิ้นในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ถูกตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนบนโลกอินเทอร์เน็ตมากมาย นับตั้งแต่การคัดเลือก ฮัลลี เบลีย์ (Halle Bailey) มารับบทเป็นเจ้าหญิงแอเรียล ในหนังไลฟ์แอ็กชัน ‘The Little Mermaid’ ที่ทำรายได้ Box Office ทั่วโลก 570 ล้านเหรียญ แต่กลับต้องเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก

ในขณะที่บางประเทศได้แบนการฉายภาพยนตร์แอนิเมชัน ‘Lightyear’ ของค่าย Pixar เนื่องจากมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับรักร่วมเพศ รวมทั้งโปรเจกต์หนังไลฟ์แอ็กชัน ‘Snow White’ ที่โดนวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการ Woke ตั้งแต่หนังยังไม่ทันฉาย ทั้งการคัดเลือก ราเชล เซเกลอร์ (Rachel Zegler) นักแสดงสาวเชื้อสายลาตินอเมริกันที่มารับบทเป็นสโนว์ไวต์
การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ ลาทอนดรา นิวตัน (Latondra Newton) รองผู้อำนวยการ และผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการด้านความหลากหลายและเสมอภาค (Diversity, Equity, Inclusion – DEI) ผู้ทำหน้าที่ดูแลด้านการส่งเสริมความหลากหลายให้กับคอนเทนต์ต่าง ๆ ของ Disney ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หลังจากทำหน้าที่ดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2017
โดย 6 ปีที่เข้ามารับตำแหน่ง ลาทรอนดราได้มีส่วนในการผลักดันนโยบายที่ถูกมองว่าเป็นการ Woke หลายอย่าง เช่นการเปลี่ยนชุดมินนี เมาส์ (Minnie Mouse จากกระโปรงแดงลายจุด) เป็นกางเกงสีฟ้า รวมทั้งการคัดเลือกเบลีย์มารับบทแอเรียล และการเปลี่ยนคนแคระทั้ง 7 ในหนัง ‘Snow White’ ให้แตกต่างจากฉบับการ์ตูนอย่างสิ้นเชิง
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส