Release Date
19/10/2023
แนว
อาชญากรรม/ดราม่า
ความยาว
3.26 ช.ม. (206 นาที)
เรตผู้ชม
R
ผู้กำกับ
มาร์ติน สกอร์เซซี (Matin Scorsese)
SCORE
9.5/10
Our score
9.5Killers of the Flower Moon | คิลเลอร์ส ออฟ เดอะ ฟลาวเวอร์ มูน
จุดเด่น
- งานสร้าง โปรดักชัน งานด้านภาพ เพลงประกอบ ทำออกมาได้คุ้มค่า 200 ล้านเหรียญ เหมาะแก่การไปดูในโรงหนัง
- การแสดงของดิแคพรีโอเต็มไปด้วยความซับซ้อน ถอดบารมีดาราเสียสิ้น ส่วนเดอ นีโร และแกลดสโตน ก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ควรมีใครได้รางวัลการแสดงติดมือไปสักเวที
- การเล่าเรื่องทรงพลัง จังหวะค่อย ๆ ไปแต่ทรงพลังและเขย่าขวัญ ดูง่าย ชวนติดตามตลอด
- ถ่ายทอดเรื่องความขัดแย้งของชนพื้นเมืองได้ตลกร้ายและโหดเหี้ยม เล่าสะท้อนสันดานมนุษย์ได้อย่างถึงแก่น
- ฉากโหดรุนแรง แมน ๆ ตามสไตล์สกอร์เซซี มาครบ
จุดสังเกต
- มีบางจังหวะของหนังที่ชวนให้เพลียบ้าง แต่ไม่มีจุดไหนน่าเบื่อเลย
-
คุณภาพด้านการแสดง
9.5
-
คุณภาพโปรดักชัน
9.5
-
คุณภาพของบทภาพยนตร์
9.4
-
ความบันเทิง
9.3
-
ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม
9.7
ปี 2019 หลังจากผลงานหนังมาเฟียรุ่นใหญ่สุดลือลั่น ‘The Irishman’ (2019) ผลงานออริจินัลจากทุนสร้างของ Netflix ที่รับประกันคุณภาพด้วยการเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์ 10 สาขา มาปีนี้ มาร์ติน สกอร์เซซี (Matin Scorsese) ผู้กำกับชั้นครูวัยหลัก 8 กลับมาอีกครั้งกับเรื่องราวโศกนาฏกรรมความขัดแย้ง ระหว่างชนพื้นเมืองอินเดียนแดง กับคนขาวจอมละโมบ ที่สะท้อนสันดานความโลภและการทุจริตบนผืนแผ่นดินสหรัฐอเมริกา ใน ‘Killers of the Flower Moon’
ซึ่งหนังเรื่องนี้เป็นผลงานลำดับที่ 26 ของสกอร์เซซี กับความยาวกว่า 3 ชั่วโมง 26 นาที ใช้ทุนสร้างสูงถึง 200 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นความร่วมมือกันครั้งแรกของ Paramount Pictures ที่รับหน้าที่จัดจำหน่ายฉายโรงทั่วโลก รวมทั้งในระบบ IMAX และ Apple Studios ที่ก็แน่นอนว่าพอเข้าโรงแล้วก็จะกลายมาเป็น Original Content บนแพลตฟอร์ม Apple TV+ ต่อไป
นอกจากนี้ ยังเป็นการการกลับมาร่วมงานของ 2 นักแสดงคู่บุญ 2 รุ่น ที่เคยร่วมงานกับสกอร์เซซีมาแล้วด้วยนะครับ ทั้ง ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ (Leonardo DiCaprio) ที่เคยร่วมงานกับสกอร์เซซีมาแล้ว 6 ครั้ง ผลงานล่าสุดก็คือ ‘The Wolf of Wall Street’ (2013) และนักแสดงคู่บุญรุ่นใหญ่ โรเบิร์ต เดอ นีโร (Robert de Niro) ที่ร่วมงานกับสกอร์เซซีมาแล้วนับสิบเรื่อง ตั้งแต่ Taxi Driver (1976), Goodfellas (1990) และอีกมากมาย นอกจากนี้ยังได้ ลิลลี แกลดสโตน (Lily Gladstone) นักแสดงสาวเชื้อสายอเมริกันพื้นเมืองแท้ ๆ มาร่วมประชันฝีมือด้วย
หนังอาชญากรรมแนวตะวันตกเรื่องแรกของปู่มาร์ตี้เรื่องนี้ ได้ อีริก รอธ (Eric Roth) จาก ‘Forrest Gump’ (1994) มารับหน้าที่ดัดแปลงบทจากหนังสือ Non-Fiction ขายดีที่ดัดแปลงมาจากเรื่องจริง ‘Killers of the Flower Moon: The Osage Murders and the Birth of the FBI’ ของ เดวิด แกรน (David Grann) ที่ออกตีพิมพ์ในปี 2017 โดยเรื่องราวของหนังเริ่มต้นจากช่วงปี 1920 หลังจากที่ชนพื้นเมืองชาวโอเสจ (Osage) ได้ค้นพบบ่อน้ำมันใต้ดินจำนวนมหาศาล บนพื้นที่รัฐโอคลาโฮมา จนทำให้ชาวโอเสจกลายเป็นชาวอเมริกันพื้นเมืองที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และแน่นอนว่าเต็มไปด้วยผลประโยชน์มหาศาลที่ใคร ๆ ก็อยากเข้าไปครอบงำ
ด้วยเหตุนี้ จึงนำไปสู่การเกิดเหตุฆาตกรรมต่อเนื่องเศรษฐีชาวโอเสจอย่างปริศนาที่เกิดขึ้นหลาย 10 คดี แต่แน่นอนว่าคดีย่อมไม่คืบในบ้านป่าเมืองเถื่อน ในขณะเดียวกันที่ เออร์เนสต์ เบิร์กฮาร์ต (ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ – Leonardo DiCaprio) อดีตทหารผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้เดินทางกลับมาช่วยงาน วิลเลียม เฮล (โรเบิร์ต เดอ นีโร – Robert de Niro) คุณลุงผู้กว้างขวางนับหน้าถือตาของเขา เออร์เนสต์ได้พบรักกับ มอลลี ไคล (ลิลลี แกลดสโตน – Lily Gladstone) สาวชาวพื้นเมืองตระกูลมั่งมีด้วยจุดประสงค์บางอย่าง จนกระทั่งเมื่อคดีฆาตกรรมเริ่มซับซ้อน หน่วยงานส่วนกลางจาก วอชิงตัน ดีซี จึงได้ส่ง ทอม ไวต์ (เจสซี พลีมอนส์ – Jesse Plemons) และเจ้าหน้าที่ FBI เพื่อไขคดีปริศนาฆาตกรรมดังกล่าว
ดูเป็นพล็อตง่าย ๆ คล้ายจะติดน้ำเน่านิด ๆ แบบนี้ แต่ต้องบอกเลยว่า นี่คือสามชั่วโมงครึ่งที่เต็มไปด้วยความเขย่าขวัญและเดือดดาลตามแบบฉบับสกอร์เซซีในแบบที่คุ้นเคยแบบไม่มีขาดตกบกพร่องครับ แน่นอนแหละว่าประเด็นความขัดแย้งของชนพื้นเมืองกับผู้รุกราน อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ในโลกภาพยนตร์ แต่คงไม่บ่อยครั้งนักที่ตอนเปิดหนังเราจะค่อย ๆ เห็นความตลกร้ายขันขื่น ที่ได้เห็นชนพื้นเมืองกลายเป็นชนชั้นฐานันดร เป็น Elle แต่งตัวหรูหรา ในขณะที่คนขาวกลายเป็นชนชั้นแรงงาน เป็นคนงานในบ่อน้ำมัน เป็นนายธนาคาร เป็นคนรับจ้างถ่ายภาพ หรือแม้แต่เป็นสารถีขับรถ สวนทางกับความเป็นชาวพื้นเมืองแบบที่เราเคยเข้าใจกันมา
สิ่งเหล่านี้เป็นตัวบ่งบอกกลาย ๆ ว่า ปู่มาร์ตี้ไม่ได้ต้องการเล่าหนังเรื่องนี้เพื่อสั่งสอนความดีความชั่ว ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่หนังที่เชิดชูคนขาว ไม่ได้เชิดชูชนพื้นเมือง ไม่แม้แต่จะเชิดชูการสืบสวนของตำรวจ และไม่ได้พยายามตัดสินว่าฝั่งไหนดีหรือชั่ว หรือพยายามจะลงลึกหรือโฟกัสผ่านมุมมองการทำงานของ FBI อย่างที่หนังสไตล์มือถือสาก ปากถือศีลพึงกระทำ แต่เป็นหนังที่เฝ้ามองการกระทำของทุกด้านและค่อย ๆ ชำแหละให้เห็นสันดานความชั่วร้ายของมนุษย์ผู้ละโมบ แหกแผลความเน่าในของมนุษย์อันฟอนเฟะที่พร้อมจะทำทุกอย่าง ทำทุกทางเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ เอาออกมาโชว์แบบจะ ๆ ให้เห็นจนเล่นเอาคนดูรู้สึกสะอิดสะเอียนการกระทำของคนเป็น ๆ ซะยิ่งกว่าภาพศพคนตายในหนังเสียอีก
ตัวหนังสามารถใช้ความเป็น Cinematic ในการเล่าเรื่องโครงสร้างง่าย ๆ ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ที่คุ้นเคยกันดีในตำราประวัติศาสตร์ ที่มีความเป็น True Crime ที่เข้มข้นและสมจริงทุกกระเบียด ในขณะเดียวกัน ครึ่งแรก ตัวหนังค่อย ๆ นวดเราด้วยเนื้อเรื่องดราม่าอาชญากรรมเข้มข้น ผสานจังหวะตลกร้ายจังหวะนรก ส่วนองก์สุดท้ายก็เปลี่ยนไปดำเนินเรื่องตามสไตล์ Courtroom Drama ที่มีรายละเอียดค่อนข้างมาก ให้ออกมาน่าติดตามและเข้มข้นสุด ๆ แถมตอนท้ายยังมีซีนกิมมิก ที่ปู่แกเหมือนตั้งใจจะทำเพื่อบอกว่า ‘ทำหนังให้เด็กมันดู’ ก็จะหน้าตาประมาณนี้แหละนะจ๊ะหลาน ๆ คือถ้าเนื้อเรื่องมันเข้มข้น และเล่าอย่างทรงพลังมากพอ ต่อให้เล่าด้วยวิธีการพิศดารแค่ไหนก็น่าดึงดูด
ตลอด 3 ชั่วโมง 26 นาทีที่หลายคนอาจแหยง ๆ รวมทั้งการเล่าเรื่องด้วย Pace แบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ช้าไม่เร่ง มีจังหวะเงียบและจังหวะเขย่าขวัญ แต่ด้วยความ Cinematic ในแบบปู่มาร์ตี้ ไล่ตั้งแต่การเล่าเรื่อง งานสร้างสุดสมจริง งานด้านภาพที่เปี่ยมอารมณ์และความหมายที่ช่วยขับเน้น ช็อตลองเทกที่เรียบง่ายแต่หวือหวา งานเสียงสุดอลังการ สามารถถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ออกมาได้ได้เถรตรง ทรงพลัง รุนแรง ตามสไตล์หนังสกอร์เซซี
หนังเรื่องนี้ก็ยังสามารถจับประเด็นดราม่าเข้มข้นมาขยี้เน้น ๆ เล่าเรื่องด้วยทักษะการเล่าเรื่องชั้นครู และการแสดงขั้นเทพ ผสมกลายเป็นเรื่องราวป่าเถื่อนเดือดปรอทแตกที่เล่าแบบนิ่ง ๆ แต่ใจสั่น ดูเพลินแต่รู้สึกสะอิดสะเอียน เรียบง่ายแต่เขย่าขวัญตลอดทั้งเรื่อง ความบันเทิงโบ๊ะบ๊ะอาจสู้ ‘The Wolf of Wall Street’ ไม่ได้ และพาร์ตคอร์ตรูมอาจชวนให้มีอาการเพลีย ๆ บ้าง แต่เชื่อเถอะครับว่าไม่มีพาร์ตไหนชวนให้รู้สึกเบื่อหน่ายและอยากละสายตาจากจอเลยแม้แต่น้อย
ส่วนในแง่ของการแสดงก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้หนังเรื่องนี้ทรงพลัง โดยเฉพาะ 3 นักแสดงแกนหลักของเรื่องที่เรียกได้ว่ามีดีกันคนละแบบ และมาประกบเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้ง ดิแคพรีโอที่สวมบทบาทจนหมดเค้าความเป็นนักแสดงเจ้าเสน่ห์ เหลือเพียงแค่ชายหนุ่มคนขาวสันหลังหวะที่มีมิติซับซ้อน เอาอยู่ตลอด 3 ชั่วโมงครึ่ง ส่วนเดอ นีโร แม้หนังเรื่องนี้จะไม่ได้เน้นความเป็นหนังมาเฟีย แต่บทบาทของเขาก็เปี่ยมมิติในความเป็นกึ่ง ๆ มาเฟียผู้กว้างขวาง ผู้สร้างบารมีด้วยภาพลักษณ์น้ำดี และความพยายามเป็นพ่อใหญ่ของชาวโอเสจได้อย่างน่าชื่นชมและน่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก
ส่วนแกลดสโตน ก็สามารถรับบทเป็นหญิงสาวผู้อยู่ตรงกลางระหว่างความขัดแย้งและความสกปรกโสมมได้แบบเล่นน้อยแต่ได้มาก เป็นตัวละครตัวรับผลการกระทำที่มีบทบาทสำคัญ สวยสง่าแต่เต็มไปด้วยความทุกข์ตรมข้างใน จนชวนให้คิดว่าบทบาทนี้น่าจะส่งเธอไปถึงรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมได้ในสักเวทีอย่างไม่ยากเย็น
ใครที่เคยขุ่นเคืองปู่มาร์ตี้ตอนที่แกออกมาฉะหนังบางแนวว่าไม่ใช่หนังนั้นก็อาจจะได้แค่พยักหน้าหงึก ๆ เพราะดูเหมือนว่าปู่มาร์ตี้จะใช้หนังคาวบอยเรื่องแรกในชีวิตของแกเรื่องนี้เป็นตัวบอกว่า ทำหนังให้เด็กมันดู นั้นมันเป็นอย่างไร เพราะหนังเรื่องนี้คือคำตอบของคำว่าภาพยนตร์จริง ๆ เป็นหนังที่ใช้ 206 นาทีถ่ายทอดเรื่องราวมหากาพย์ฆาตกรรมที่เรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยรายละเอียดที่ไม่รู้จะหาที่ติได้ตรงไหนจริง ๆ เป็นหนังที่สะท้อนสันดานความชั่วร้ายของมนุษย์ออกมาได้ทรงพลัง
ควบคู่กับเนื้อเรื่องที่เข้มข้น การแสดงที่ดึงดูดใจ แต่ดูไม่ยาก และเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของภาพยนตร์จริง ๆ จนน่าจะมีสิทธิ์เข้าชิง Best Picture ได้ไม่ยากเลย แม้จุดหมายปลายทางของหนังเรื่องนี้จะไปอยู่ในสตรีมมิง แต่ผู้เขียนก็ขอเชียร์เต็มแรงให้ไปดูในโรงนะครับ เพราะงานด้านภาพมันเหมาะกับการดูในโรงจริง ๆ ดูก็รู้ว่าปู่มาร์ตี้แกตั้งใจให้คนไปดูในโรง ส่วนที่เหลือก็ต้องมาลุ้นกันว่าหนังเรื่องนี้จะไปไกลถึงรางวัลออสการ์สาขาไหน
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส