Release Date
22/11/2023
แนว
แอ็กชัน/ดราม่า
ความยาว
2.38 ช.ม. (158 นาที)
เรตผู้ชม
R
ผู้กำกับ
ริดลีย์ สก็อตต์ (Ridley Scott)
SCORE
8.2/10
Our score
8.2Napoleon | จักรพรรดินโปเลียน
จุดเด่น
- ฉากสงครามยิ่งใหญ่สมจริงทุกกระเบียดนิ้วเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในสมรภูมิจริง ๆ ถึงเลือดถึงเนื้อสุดเรต R
- งานสร้างอลังการสมจริงไม่แพ้กัน
- วาคีน ฟีนิกซ์-วาเนสซา เคอร์บี แสดงได้อย่างเข้าขาน่าสนใจ และเร้าใจ
- หยิบเอา Trivia ของนโปเลียนมาใส่ไว้ได้น่าสนใจ สอดแทรกความเป็นคนธรรมดาของนโปเลียนได้น่าติดตาม
จุดสังเกต
- เล่าเรื่องประวัติศาสตร์สงคราม การเมืองฝรั่งเศสเป็นเส้นตรง อาจต้องทำการบ้านมาเล็กน้อย
- ขาดการเล่าความรู้สึกภายในบางอย่าง จนทำให้หนังเล่าพาร์ทดราม่าแบบผิวเผินไปสักนิด
- ตัวละครค่อนข้างเยอะ แต่จะดีกว่านี้ถ้าให้เวลาอธิบายว่าสำคัญหรือมีอิทธิพลต่อนโปเลียนหรือโจเซฟีนอย่างไรบ้าง
-
คุณภาพด้านการแสดง
8.7
-
คุณภาพโปรดักชัน
9.2
-
คุณภาพของบทภาพยนตร์
8.0
-
ความบันเทิง
7.2
-
ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม
8.0
Apple Studios รุกคืบเข้าสู่อุตสาหกรรมภาพยนตร์อย่างเอาจริงเอาจังทีเดียวครับ ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งออกทุนสร้างหนัง ‘Killers of the Flower Moon’ ไปหมาด ๆ เช่นเดียวกับ ‘Napoleon’ ผลงานมหากาพย์ดราม่าสงครามฟอร์มยักษ์ ที่เล่าเรื่องชีวิตและสงครามของ นโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte) รัฐบุรุษและจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศส ผ่านสายตาและวิสัยทัศน์ของผู้กำกับชั้นครู ริดลีย์ สก็อตต์ (Ridley Scott) ที่พอเข้าฉายโรงแล้วก็จะเข้าไปฉายบน Apple TV+ ในภายหลังเช่นเดียวกัน
แถมคราวนี้ยังเป็นการกลับมาร่วมงานอีกครั้งของสก็อตต์ กับสุดยอดนักแสดงมากฝีมือเจ้าของรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงชายยอดเยี่ยม วาคีน ฟีนิกซ์ (Joaquin Phoenix) ที่เคยร่วมงานกันมาแล้วใน ‘Gladiator’ (2000) ที่กำลังจะมีภาค 2 ในปีหน้า แถมคราวนี้ดันเหมือนกันตรงที่ ฟีนิกซ์กลับมารับบทจักรพรรดิเหมือนกันอีกแน่ะ รวมทั้งยังเป็นการกลับมาของผู้เขียนบท เดวิด สการ์ปา (David Scarpa) ที่เคยทำงานร่วมกับสก็อตต์ในการรับหน้าที่เขียนบทหนังทริลเลอร์อาชญากรรม ‘All the Money in the World’ (2017) มาแล้วด้วยเช่นกัน
เรื่องราวใน ‘Napoleon’ เล่าเรื่องช่วงเวลาในประวัติศาสตร์แห่งความวุ่นวายในช่วงเวลาการปฏิวัติฝรั่งเศส เกิดความขัดแย้งของกลุ่มคน 2 ฟากฝั่ง ทั้งฝั่งกองกำลังที่ต้องการโค่นล้มระบอบเก่า สถาปนาระบอบใหม่ นโปเลียน โบนาปาร์ต (วาคีน ฟีนิกซ์ – Joaquin Phoenix) ผู้บัญชาการทหารปืนใหญ่ รับหน้าที่แม่ทัพผู้บัญชาการสงคราม สั่งสมชื่อเสียงเลื่องลือในฐานะนักรบที่คว้าชัยชนะในหลายสมรภูมิ ด้วยกลยุทธ์ทางการเมืองและการทหารที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล
จนกระทั่งนโปเลียนได้ทำรัฐประหาร ไต่เต้าตนขึ้นเป็นกงสุลเอกแห่งสาธารณรัฐ ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะสถาปนาตนขึ้นเป็นจักรพรรดินโปเลียน โบนาปาร์ต นอกจากนี้ตัวหนังยังเล่าเรื่องส่วนตัวและชีวิตรักของเขากับ โจเซฟีน เดอ โบอาร์แน (วาเนสซา เคอร์บี – Vanessa Kirby) รักแท้หนึ่งเดียวในชีวิต และมุมมองของนโปเลียนที่สะท้อนถึงความเป็นนักปราชญ์ นักรัก จอมขบถ ทรราชย์ จวบจนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต
คือต่อให้ห้ามยังไง แต่เชื่อว่าหลายคนก็คงเป็นแบบผู้เขียน คืออดเทียบกับงานของสก็อตต์อย่าง ‘Gladiator’ ไม่ได้ ก่อนจะดูและพบว่า นอกจาก วาคีน ฟีนิกซ์ และฉากรุนแรงสไตล์ปู่สก็อตต์ ก็ไม่มีอะไรเทียบกันได้จริง ๆ นั่นแหละ เพราะหนังเรื่องนี้เรียกได้ว่าเป็น Biopic ของนโปเลียนแบบตรง ๆ และเป็นประวัติของนโปเลียนเวอร์ชันของ ริดลีย์ สก็อตต์ ด้วย เพราะเป็นหนังพีเรียดสงครามที่มีรสชาติโดดเด่นกว่าหนังสงคราม หรือหนังประวัตินโปเลียนที่เคยมีมาอยู่พอสมควร
แน่นอนว่าฉากสงครามถือเป็นหัวใจหลักของหนังเรื่องนี้อย่างชัดเจนครับ ถ้าใครชอบหนังสงคราม ก็เรียกได้ว่าคุ้มค่าเลย เพราะปู่สก็อตต์เขาใส่ใจและพิถีพิถันกับฉากสงครามมาก การวางแผนการรบ พรอป การถ่ายทำ รายละเอียดปลีกย่อย รวมทั้งฉากรุนแรงถึงเลือดถึงเนื้อแบบสุดเขตเรต R ที่ทำให้ฉากสงครามในหนังเรื่องนี้มีความสมจริงในระดับที่เรียกว่าอย่างกับลงไปอยู่ในสงครามจริง ๆ เป็นความบันเทิงหลักสำหรับคอหนังสงคราม และคอหนังสายแมสได้ไม่ยาก
สิ่งที่เกี่ยวกระหวัดคู่กับฉากสงครามก็คือ การเล่าเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับการเมืองตามไทม์ไลน์ประวัติศาสตร์ รุกล้ำเข้าไปถึงเรื่องการมุ้ง ชีวิตส่วนตัว และความสัมพันธ์ของนโปเลียนที่มีต่อโจเซฟีนด้วย ซึ่งเอาเข้าจริงถ้าไม่อ่านประวัตินโปเลียนมาก่อนดูก็ไม่ผิด แต่ถ้าอ่าน ก็น่าจะทำให้ปะติดปะต่อเรื่องราวที่ถูกเล่าเป็นส่วน ๆ ไว้แบบหลวม ๆ ได้สนุกมากขึ้น ตั้งแต่เบื้องหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส ความขัดแย้งของฝ่ายเอาเจ้า-ไม่เอาเจ้า รวมถึงบรรดาสมรภูมิต่าง ๆ ที่นโปเลียนมีส่วนในการควบคุมการรบ เช่น ยุทธการที่ตูลง (Siege of Toulon), เหตุการณ์ล้อมปราบผู้ชุมนุมนิยมเจ้า หรือ 13 ว็องเดแมร์ (13 Vendémiaire) ยุทธการที่อียิปต์ (Battle of the Pyramids) ที่สั่งสมให้นโปเลียนเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อย ๆ
การก้าวขึ้นเป็นจักรพรรดินโปเลียน โบนาปาร์ต, ยุทธการที่เอาสเตอร์ลิทซ์ (Battle of Austerlitz) การถูกเนรเทศครั้งแรก กลับมาเป็นจักรพรรดิ 100 วัน ยุทธการที่วอเตอร์ลู (Battle of Waterloo) และการถูกเนรเทศครั้งที่ 2 จนสิ้นชีพ รวมไปถึง Trivia เล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การที่นโปเลียนเป็นนักการเมืองที่มีวาทศิลป์โน้มน้าวใจเก่ง นั่นก็เลยทำให้นโปเลียนชอบเขียนจดหมายรักถึงโจเซฟีนด้วยสำนวนหยาดเยิ้ม จนขนาดหย่ากันแล้วก็ยังเขียนถึงเรื่อย ๆ ไปด้วย อาจมีบางจุดที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงบ้าง แต่ก็เข้าใจได้ว่าเป็นไปเพื่อความ Cinematic ตามวิสัยทัศน์ของปู่สก็อตต์นั่นแหละ
ถ้า ‘Gladiator’ คือหนังดราม่าที่เฝ้าดูการแก้แค้น ‘Napoleon’ ก็คือการค่อย ๆ เปิดอ่านประวัติศาสตร์สงครามไปทีละหน้าแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ช้าแต่ก็ไม่เร็ว มันอาจไม่บันเทิงจนหัวเราะร่าน้ำตารื้น ตรงกันข้าม ตัวหนังเดินเรื่องเรื่อย ๆ แทบไม่มีจุดไคลแม็กซ์ สอดแทรกจังหวะตลกร้ายแบบขำลึก ๆ เพื่อเป็นการสะท้อนให้เห็นชีวิตอีกด้านของนโปเลียนที่ไม่ได้มีแต่ความยิ่งใหญ่ แต่ยังมีความเป็นมนุษย์ที่มีความผิดพลาด มีดีมีร้าย มีความทะเยอทะยาน มีความโรแมนติก มีความเด๋อด๋า เป็นไอ้ต้าวคลั่งรัก และมีทางที่ต้องเลือก ต้องเสี่ยง ต้องตัดสินใจเหมือนอย่างเรา ๆ
ในขณะที่นโปเลียน เชี่ยวชาญการเดินหมากเกมการเมืองและสงครามอย่างช่ำชอง เป็นจักรพรรดิที่เดินเกมการเมือง-สงครามด้วยความเด็ดขาดเข้มข้น ในอีกมุม เขาก็เป็นผู้ชายคนเดียวกันที่เคยไปจุดสูงสุดของอำนาจทั้งมวล และเดินทางสู่ความว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยความรวดร้าวด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ วาคีน ฟีนิกซ์ ใช้ฝีมือและลีลาเฉพาะตัวของเขาในการทำให้นโปเลียนกลายเป็นมนุษย์ได้อย่างเร้าใจ ในขณะที่ วาเนสซา เคอร์บี ก็สามารถรับบทเป็นโจเซฟีนได้อย่างทรงเสน่ห์ร้ายกาจ ดึงสายตาผู้ชมได้ตลอดเวลา เฉกเช่นเดียวกับที่นโปเลียนที่มองเธอไม่ละสายตา แม้ตอนเข้าคู่ บทสนทนาจะออกธรรมดา แต่เคมีของทั้ง 2 คนก็ทำให้บทสนทนามีอะไรระหว่างบรรทัดขึ้นมาได้ การที่ผู้เขียนใช้คำว่านี่คือหนังประวัติศาสตร์นโปเลียนฉบับ รัก-ร้าย-ร้าว ก็น่าจะเป็นอะไรที่ไม่เกินจริงไปนัก
เอาเข้าจริงแล้ว แม้พาร์ตดราม่าจะเป็นพาร์ตที่โดดเด่นแตกต่างจากหนังสงครามโดยทั่วไป แต่ตัวหนังค่อนข้างเล่าแบบเป็นเส้นตรงที่ราบเรียบมาก ๆ ถ้ามองในเชิงของการเป็นหนัง Biopic ก็ยังถือว่าเป็นหนังที่ให้ความบันเทิงในเชิงชีวประวัติ และฉากสงครามที่สมจริงจนขนลุก แต่พอตัวหนังก็เลือกที่จะเล่าเรื่องแบบเป็นเส้นตรงที่ใช้วิธีการปะติดปะต่อประวัติช่วงต่าง ๆ มาเล่าเป็นส่วน ๆ ก็ทำให้ตัวหนังขาดการให้น้ำหนักในการสะท้อนถึงจิตใจและพัฒนาการในเรื่องของจิตใจ และความคิดความอ่านที่ซ่อนอยู่ของบรรดาตัวละครได้อย่างเต็มที่
แอบเสียดายนิด ๆ ที่ ‘Napoleon’ ขาดการเล่าเรื่องราวการสะท้อนจิตใจเบื้องลึกของนโปเลียน โดยเฉพาะในห้วงเวลาแห่งความทะเยอทะยาน การตัดสินใจเลือกระหว่างความรักกับประเทศชาติ ความสับสนว้าเหว่จากความรับผิดชอบในอำนาจในฐานะจักรพรรดิ ที่น่าจะถูกขับเน้นให้เปี่ยมอารมณ์มากกว่านี้ได้ รวมทั้งการที่หนังมีตัวละคร (ที่ล้วนมีอยู่จริงในประวัติศาสตร์) อยู่เป็นจำนวนมาก การขาดการอธิบายที่ชัดเจน และการโดนรัศมีนักแสดงหลักกลบ ก็อาจทำให้คนดูตามไม่ทัน ถ้าไม่ได้พอรู้แบ็กกราวนด์มาก่อนว่าใครเป็นใคร และมีอิทธิพลต่อนโปเลียนอย่างไรบ้าง
แต่อย่างไรก็ตาม นี่เป็นหนัง Biopic และตำราประวัติศาสตร์ที่ดำเนินเรื่องเรื่อย ๆ แต่บันเทิงด้วยเรื่องราวที่เข้มข้นเร้าใจน่าติดตาม มีการแสดงที่ดีในระดับคาดหวังได้ และเป็นหนังสงครามที่น่าจะสมจริงที่สุดของยุคนี้แล้วล่ะ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส