Release Date
22/12/2023
แนว
ไซไฟ/แอ็กชัน/ผจญภัย
ความยาว
2.14 ช.ม. (134 นาที)
เรตผู้ชม
13+
ผู้กำกับ
แซ็ก สไนเดอร์ (Zack Snyder)
SCORE
5.7/10
Our score
5.7Rebel Moon Part One: A Child of Fire | Rebel Moon ภาค 1: บุตรแห่งเปลวไฟ
จุดเด่น
- แอ็กชันเถื่อน ๆ ตามสไตล์สไนเดอร์มีอยู่ครบ ใครที่ชอบงานของเขาอยู่แล้วก็น่าจะชอบได้ไม่ยาก
- เป็นหนังที่ดูเอาบันเทิงด้วยฉากแอ็กชันแรง ๆ ที่น่าจะสะใจคอหนังแอ็กชันได้พอสมควร
- โซเฟีย บูเตลลา มีเสน่ห์และการแสดงที่ยังสามารถดึงผู้ชมให้ติดตามหนังได้อย่างน่าสนใจ
จุดสังเกต
- บท ปูมหลัง+มิติตัวละคร และการเล่าเรื่อง ไม่สามารถสร้างจักรวาลได้อย่างที่ควรจะเป็น
- งานสร้างบางฉากยังแบน ๆ + งาน CGI บางจุดยังลอย ๆ แต่โดยรวมไม่แย่
- เสียดายการอธิบายปูมหลังตัวละครที่ทำให้เคมีไม่เข้ากัน และไม่ได้รู้สึกถึงความเจ๋งของตัวละครมากเท่าที่ควร
-
คุณภาพด้านการแสดง
5.3
-
คุณภาพโปรดักชัน
5.8
-
คุณภาพของบทภาพยนตร์
5.0
-
ความบันเทิง
6.1
-
ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม
6.2
หลังจาก แซ็ก สไนเดอร์ (Zack Snyder) พ้นร่มเงาของ DC ในฐานะโต้โผใหญ่แห่ง Snyderverse จักรวาลซูเปอร์ฮีโรฉบับ Epic Dark Hell ของ DCEU สไนเดอร์ก็เลยหันมาปั้นงานออริจินัลของตัวเองกับทาง Netflix เริ่มตั้งแต่การส่งหนังซอมบี้ ‘Army of the Dead’ (2021) รวมทั้งดูแลงาน Prequel หนังปล้นคนเจาะเซฟ ‘Army of Thieves’ (2021) และคราวนี้ พี่สไนเดอร์ก็ขอนำเสนอวิสัยทัศน์ Epic Dark Hell ในรูปแบบของหนังผจญภัยไซไฟอวกาศใน ‘Rebel Moon’ ที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 ภาค ทั้งภาคนี้ ‘A Child of Fire’ หรือ ‘บุตรแห่งเปลวไฟ’ และภาค 2 ‘The Scargiver’ หรือ ‘นักรบผู้ตีตรา’ ที่จะเข้าวันที่ 19 เมษายน 2024 และทั้ง 2 ภาคก็จะมีฉบับ Director’s Cut ที่เป็นเรต R ออกมาให้ชมกันภายหลังด้วยครับ
ตำนานกว่าจะมาเป็น ‘Rebel Moon’ เองก็น่าสนใจครับ เพราะนี่คือโปรเจกต์สร้างจักรวาลในฝันของพี่เขาเลยแหละ โดยได้แรงบันดาลใจของเรื่องราว และสไตล์จากป๊อปคัลเจอร์ยุค 80s ทั้ง ‘Star Wars’ นิตยสารคอมิกแนวไซไฟ ‘Heavy Metal’ หนังอัศวินโต๊ะกลม ‘Excalibur’ (1981) ผสมกับพล็อตแนว ‘Seven Samurai’ (1954) หรือ ‘เจ็ดเซียนซามูไร’ หนังซามูไรของ อะกิระ คุโรซาวะ (Akira Kurosawa) แต่เดิม สไนเดอร์เคยเสนอบทนี้ให้กับทาง Lucasfilm เพื่อหวังจะพัฒนาต่อเป็นหนัง Star Wars ภาคใหม่ แต่จังหวะดันมาตกช่วงอีนุงตุงนังตอน Disney เข้าซื้อกิจการในปี 2012 พอดี ก็เลยไม่ได้ถูกหยิบเอามาสร้าง
สไนเดอร์ก็เลยเอาบทหนังแนวไซไฟแฟนตาซี ที่เขาเขียนร่วมกับ เคิร์ต จอห์นสตาด (Kurt Johnstad) ผู้เขียนบท ‘300’ ทั้ง 2 ภาค และ เชย์ แฮตเทน (Shay Hatten) ผู้เขียนบท ‘Army of the Dead’ และ ‘Army of Thieves’ เรื่องนี้มาเปลี่ยนเป็นงานออริจินัลของตัวเอง ซึ่ง Netflix เองก็ปล่อยให้สไนเดอร์มีส่วนร่วม งัดของมาโชว์แบบเต็มสูบ แถมตอนนี้พี่แกยังวางแผนจะสร้างจักรวาล ทั้งการปล่อยแอนิเมชัน เกม คอมิก นิยาย พอดแคสต์ ผีบ้าผีบออีกมากมาย เพื่อรองรับจักรวาลที่กินระยะเวลาถึง 800 ปีไว้แล้วด้วยนะ
‘Rebel Moon Part One: A Child of Fire’ เล่าเรื่องหลังจากการปฏิวัติหลังเกิดความวุ่นวาย หลังจากเหตุการณ์การลอบสังหาร กษัตริย์ ราชินี และเจ้าหญิงแห่งดาวมาเธอร์เวิลด์ (Motherworld) จอมทรราชย์ บาลิซาเรียส (ฟรา ฟี – Fra Fee) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้สั่งให้ พลเรือเอกโนเบิล (เอ็ด สไครน์ – Ed Skrein) ออกตามล่าล้างผู้ที่คิดก่อกบฏ ในอีกด้านหนึ่ง ดวงจันทร์แห่งเวลท์ (Veldt) ที่อยู่อาศัยของชาวนาผู้ทำการเกษตรอย่างสงบที่สุดขอบจักรวาลไกลโพ้น แต่แล้วพลเรือเอกโนเบิลค้นพบว่า ชาวนาเหล่านี้ลักลอบขายพืชผลให้แก่กลุ่มกบฏที่นำโดยสองพี่น้องบลัดแอ็กซ์ เดฟรา (คลีโอพัตรา โคลแมน – Cleopatra Coleman) และ แดร์เรียน (เรย์ ฟิชเชอร์ – Ray Fisher) จึงได้ส่งกองทัพลงมาโจมตีและคุกคามผู้บริสุทธิ์
โครา (โซเฟีย บูเตลลา – Sofia Boutella) หญิงสาวชาวนาลึกลับ และ กุนนาร์ (มิคิล เฮาส์แมน – Michiel Huisman) ชาวนาผู้ไร้ทักษะสงคราม จึงต้องออกเดินทางเพื่อตามหากองทัพของบลัดแอ็กซ์ รวบรวมอดีตนักรบฝีมือดี ทั้ง ไค (ชาร์ลี ฮันแนม – Charlie Hunnam) ทหารรับจ้าง, ทารัค (สตาซ แนร์ – Staz Nair) อดีตเชลยสงคราม, นายพลไททัส (ไจมอน ฮอนซู – Djimon Hounsou) อดีตผู้บัญชาการสงคราม, เนเมซิส (แบดูนา – Bae Doo-na) ปรมาจารย์นักดาบหญิง ร่วมมือร่วมใจกันโค่นล้มอำนาจเผด็จการที่ยึดครองมาเธอร์เวิลด์ให้จงได้
ผู้เขียนเองเชื่อว่าหลายคนคงคิดตรงกันแหละว่า ไหน ๆ พี่แซ็กแกจะทำ Star Wars แบบของตัวเองทั้งที มันก็ต้องเป็น ‘Star Wars’ เวอร์ชันเถื่อนที่ Epic กว่า Dark กว่า Hell กว่า ตามสไตล์สไนเดอร์ไปเลย และตัวหนังมันก็ออกมาเป็นแบบนั้นเลยครับ เพราะนอกจากว่าเนื้อเรื่องที่ได้แรงบันดาลใจจาก ‘เจ็ดเซียนซามูไร’ รวมทั้งงานสร้างที่มีกลิ่นอาย Reference ตัวละคร เซ็ตติงฉาก วิธีการสร้างจักรวาลจาก ‘Star Wars’ อย่างชัดเจน
สไนเดอร์ก็เลือกที่จะมันมือกับการนำเสนอวิสัยทัศน์อันทะเยอทะยานในการสร้างจักรวาล มาปะทะกับเอกลักษณ์ความเป็นสไนเดอร์ ทั้งภาพชัดตื้น บรรยากาศดาร์ก ๆ งานแอ็กชันเถื่อน ๆ งานภาพสโลว์โมชันเท่ ๆ ดูแล้วไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมฉากนั้นฉากนี้มันคุ้น ๆ เหมือนแบบที่เคยเห็นใน ‘300’ (2007) บ้าง ‘Man of Steel’ (2013) บ้าง หรือ ‘Batman v Superman: Dawn of Justice’ (2016) ก็มี หรือจะบอกว่านี่คือ ‘Zack Snyder’s Justice League’ (2022) เวอร์ชันไซไฟอวกาศที่มีความบ้าน ๆ ถึก ๆ มีความลิเกกว่าก็พอได้อีก เรียกว่าอ้างถึงแบบจับเทียบกันช็อตต่อช็อตได้เลย
ความบันเทิงที่หนังเรื่องนี้นำเสนอได้ดีที่สุดก็คงหนีไม่พ้นบรรดาฉากแอ็กชันเถื่อน ๆ นั่นแหละ ที่คอยกระตุกกราฟความน่าสนใจของหนังได้อยู่เรื่อย ๆ แหละ โดยรวมก็ยังถือว่ายังเป็นหนังที่ยังมีความโหด จังหวะหักมุมที่ยังมีความน่าติดตามอยู่ แต่ดูเหมือนสไนเดอร์เองก็ให้ความสำคัญกับเนื้อเรื่อง และลดสัดส่วนงานแอ็กชันลงไป แอ็กชันในหนังเลยออกไปทางธรรมดา ไม่ได้มีฉากจำเป็นพิเศษ รวมทั้งบรรดาช็อตโชว์สโลว์โมชันที่เยอะจนพร่ำเพรื่อ แถมยังไปทำให้จังหวะแอ็กชันเร็ว ๆ แรง ๆ กลายเป็นแอ็กชันโชว์ที่ฟุ้งเฟ้อ พาให้จังหวะของหนังมีความหนืดพอสมควร แม้หนังจะมีจังหวะเปิดเข้าเรื่อง เดินเรื่องที่เร็วมากก็ตาม
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่ของหนังเรื่องนี้คือ บทที่ไม่สามารถอุ้มแบกทุกอย่างมาประสานและสร้างจักรวาลอันกว้างไกลได้อย่างมีเอกภาพ และทำให้คนดูเห็นบริบท และมิติเชิงลึกของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในจักรวาลนี้ได้อย่างถ่องแท้และน่าติดตาม ทั้งการออกแบบงานสร้างที่เอาเทคนิค The Volume มาใช้ ผสมกับการออกแบบเซ็ตติงดวงดาวบางดวงที่ยังรู้สึกว่าธรรมดา และบางดาวก็ดูทื่อ ๆ แบน ๆ ไปหน่อย รวมทั้งงาน CGI ที่โดยรวมถือว่าไม่แย่นะครับ อลังการใช้ได้เลย แต่บางจุดก็ยังแอบลอย ๆ จนเหมือนงานแอนิเมชันไปเลยก็มี
ยอมรับแหละว่าพี่สไนเดอร์แกเก่งด้านวิสัยทัศน์ในแง่ของวิชวล แอ็กชันเท่ ๆ ไดอะล็อกฟุ้ง ๆ ลิเกหน่อย ๆ ซึ่งถ้าจับคู่กับบทที่ดีและเล่าเรื่องคม ๆ มันก็จะออกมาน่าสนใจ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับหนังเรื่องนี้ก็คือ ทิศทางการเล่าเรื่อง การปูแบ็กกราวนด์ที่เต็มไปด้วยความฟุ้งเฟ้อ และขาดทิศทางการเล่าเรื่องที่ดี จนทำให้ไม่สามารถสร้างจักรวาลได้ออกมาอย่างน่าพอใจนัก ไล่ไปตั้งแต่การขาดการอธิบายปูมหลังที่ดี ไม่ว่าจะเป็นทั้งงานสร้าง งานดีไซน์บางจุดที่หลุดโลกจนเกินความเข้าใจ การอธิบายภาพวิกฤติโดยรวมของจักรวาลที่ยังไม่ได้รับการให้ข้อมูลที่เห็นภาพได้มากเพียงพอ ยิ่งพอเจอการเล่าเรื่องแบบเร็ว ๆ ด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่สามารถเชื่อมโยงทุกองค์ประกอบให้รู้สึกมีอารมณ์ร่วมด้วยได้จริง ๆ
รวมไปถึงการปูพื้นตัวละคร โดยเฉพาะบรรดานักสู้ ที่ล้วนมีแบ็กกราวนด์ในอดีตที่น่าสนใจ แต่กลับมีเพียงแค่ตำนานที่ถูกเล่าแบบมุขปาฐะ เล่าจากปากของนางเอกแบบดื้อ ๆ ก่อนจะให้นักสู้แต่ละคนโชว์กึ๋นบางอย่าง ซึ่งบางอันไม่ได้มีความเกี่ยวพันอะไรกับเนื้อเรื่องหลัก แต่มีเอาไว้โชว์ของเฉย ๆ ตำนานนักสู้ที่มีปูมหลังแข็ง ๆ เหล่านั้นจึงเป็นเพียงเรื่องเล่าที่ไม่ได้ชวนให้คนดูรู้สึกซื้อในความสำคัญในการมีของตัวละครแต่ละตัวมากสักเท่าไหร่
ซึ่งมันก็ลงเอยด้วยการที่ตัวละครบางตัวเหล่านั้นก็ถูกหนังมองข้ามหัวไปเลยอย่างน่าเสียดาย จะมีก็เพียงแค่ โซเฟีย บูเตลลา ที่แบกหนังจนหลังแอ่น ด้วยเสน่ห์และการแสดงที่ยังสามารถดึงผู้ชมให้ติดตามหนัง และเบื้องหลังของตัวละคร โครา ที่ค่อย ๆ เผยออกมาทีละน้อยได้อย่างน่าสนใจ และ เอ็ด สไครน์ ที่รับบทเป็น พลเรือเอกโนเบิล ได้ออกมาโรคจิตสมกับเป็นหนังสไนเดอร์ดี
แม้หนังจะพยายามเติม Conflict บางอย่าง เช่นความโรแมนติก การทรยศหักหลัง การเสียสละ ความเห็นแก่ตัวเข้ามาให้หนังกลมกล่อมขึ้นบ้าง แต่ด้วยเคมีของตัวละครที่ยังพร่อง ก็ทำให้หนังยังขาดความมีหัวใจที่ชวนให้คนดูรู้สึกเอาใจช่วยและรักตัวละครเหล่านั้นไปอย่างน่าเสียดาย คือจะมองว่า ภาค 1 คือตัวปูเรื่อง ปูตัวละครไปสู่บทสรุปในภาค 2 ก็ใช่นั่นแหละครับ แต่ในขณะเดียวกัน ภาคนี้ก็ไม่ใช่หนังที่ปูเรื่องเพื่อสร้างโลก สร้างจักรวาลของตัวเองขึ้นมาได้สำเร็จในเวลาเดียวกันด้วย
กับหนังเรื่องนี้ ผู้เขียนเองอยากใช้คำว่า ‘ถ้าไม่คาดหวังก็จะไม่ผิดหวัง’ อะไรประมาณนี้ล่ะครับ เพราะเอาจริง ๆ ตัวหนังก็เรียกได้ว่าอยู่ในระดับที่เรียกว่าไม่แย่ เป็นหนังที่ดูเอาบันเทิง ดูแอ็กชันเอามันเอาสะใจได้ ดูความ Epic ระดับจักรวาลก็พอได้ แต่ถ้าเทียบกับงานเรื่องอื่น ๆ ของสไนเดอร์ ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนังเรื่องนี้มีแผลเยอะจริง ๆ สำหรับผู้เขียน แอบรู้สึกว่าพี่แกแอบกั๊กไว้ไปปล่อยของในเวอร์ชันเรต R ยังไงก็ไม่รู้แหละ หวังแค่ว่าภาคนี้จะเป็นเพียงการปูเรื่องไปสู่ภาค 2 ที่น่าจะพอกู้ศักดิ์ศรีความ Epic Dark Hell แบบจัดเต็มกลับคืนมาได้ แบบที่พี่เขาเคยทำกับ ‘300’ หรือ ‘BvS’ อะไรแบบนี้ แค่อย่าตกม้าตายอีกรอบเหมือนภาคนี้ก็พอ
อ้อ… แต่อีกอย่างที่ผู้เขียนดูจบแล้วยังงง ๆ ก็คือ การที่พี่สไนเดอร์แกออกมาบอกว่า จักรวาล ‘Rebel Moon’ เป็นจักรวาลเดียวกันกับ ‘Army of the Dead’ อันนี้นี่คือยังไง (วะ ? )
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส