Release Date
20/12/2023
แนว
แอ็กชัน/ผจญภัย/แฟนตาซี
ความยาว
1 ซีซัน (8 ตอน)
เรตผู้ชม
PG
ครีเอเตอร์
ริก ไรออร์แดน (Rick Riordan), โจนาธาน อี. สไตน์เบิร์ก (Jonathan E. Steinberg)
SCORE
7.4/10
Our score
7.4Percy Jackson and the Olympians
จุดเด่น
- เติมเต็มประเด็นลึก ๆ โดยเฉพาะประเด็นด้านจิตใจ ความสัมพันธ์ พัฒนาการคาแรกเตอร์ได้เข้มข้นและลึกกว่าฉบับหนัง
- บทเชื่อมโยงกับปกรณัมกรีก และตำนานปรัมปราต่าง ๆ ได้น่าสนใจกว่าฉบับหนัง
- แคสติงที่ตรงตามต้นฉบับนิยาย แม้จะมีการเปลี่ยนเชื้อชาติจนแอบไม่ชินบ้าง แต่การแสดงก็ถือว่ายังทำได้ค่อนข้างดี
จุดสังเกต
- การแคสต์ตัวละครอาจดูไม่ถึงกับเพอร์เฟกต์ แต่ฝีมือการแสดงก็ถือว่ายอมรับได้
- การตัดต่อแบบใส่ Fade Black คั่นทำให้จังหวะการเล่าเรื่องหนังดูแปลก ๆ
- บางซีนค่อนข้างมืดจนเกินไป+ซีจีบางจุดแอบลอยนิด ๆ ตามโปรดักชันซีรีส์
-
คุณภาพด้านการแสดง
7.5
-
คุณภาพโปรดักชัน
6.3
-
คุณภาพของบทภาพยนตร์
7.2
-
ความบันเทิง
7.6
-
ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม
8.3
จากความสำเร็จของแฟรนไชส์ ‘Harry Potter’ ทำให้หลาย ๆ สตูดิโอเองก็อยากมีแฟรนไชส์หนังแฟนตาซีแนว Young Adult กับเขาบ้าง โชคดีที่สตูดิโอ 20th Century Fox ซื้อลิขสิทธิ์ ‘Percy Jackson’ นิยายผลงานของ ริก ไรออร์แดน (Rick Riordan) มาไว้ได้ แต่โชคร้าย ที่สตูดิโอดันเอานิยายขายดีมาปู้ยี่ปู้ยำ เปลี่ยนและหั่นรายละเอียดจากหนังจนเหี้ยน ขนาดดึงผู้กำกับเจ้าพ่อหนังเด็ก คริส โคลัมบัส (Chris Columbus) ผู้กำกับจาก ‘Harry Potter’ มากำกับภาคแรกให้ก็ยังไม่รอด
พอภาค 2 ‘Percy Jackson: Sea of Monsters’ (2013) ออกมา ก็ยิ่งไม่รอดด้านรายได้ จนในที่สุดแฟรนไชส์นี้ก็หายกริบยิ่งกว่าสายฟ้าของเทพซูส สิ่งดีที่พอจะมีหลงเหลือจากฉบับหนังก็คือ ได้ทั้งพระเอกหนุ่ม โลแกน เลอร์แมน (Logan Lerman) และนางเอกสาวตาสวย อเล็กซานดรา ดาแดริโอ (Alexandra Daddario) เอาไว้ประดับวงการ
จนกระทั่งเกิดดีลยักษ์ที่ Disney เข้าซื้อ 20th Century Fox ในปี 2019 นี่แหละ ทำให้แฟรนไชส์ที่ถูกเก็บเงียบมานานถูกปลุกชีพขึ้นมาอีกครั้งในชื่อ ‘Percy Jackson and the Olympians’ ในรูปแบบซีรีส์ของ Disney+ นั่นเองครับ และเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ออกมาแป้กซ้ำรอย งานนี้เลยดึงเจ้าของผลงานอย่างไรออร์แดน และ โจนาธาน อี สไตน์เบิร์ก (Jonathan E. Steinberg) ครีเอเตอร์จากซีรีส์ ‘See’ (2019) ลงมาทำหน้าที่เป็นครีเอเตอร์ด้วยตัวเอง หวังจะล้างตาฉบับหนังให้สิ้นซากกันไปเลย
เนื้อเรื่องใน 8 ตอนแรกของ ‘Percy Jackson and the Olympians’ หลัก ๆ นั้นก็จะเป็นการดัดแปลงเนื้อหาจากเล่มแรก ‘The Lightning Thief’ (2005) หรือ ‘เพอร์ซีย์ แจ็กสัน กับสายฟ้าที่หายไป’ (2548) เป็นหลักครับ หรือถ้าอิงจากฉบับหนัง ภาคนี้ก็จะถือว่าเป็นการรีเมกจากหนังภาคแรกแบบกลาย ๆ เพราะค่อนข้างเน้นเน้นไปที่แบ็กกราวนด์และการตามหาสายฟ้าของ เพอร์ซีย์ แจ็กสัน เป็นหลัก และมีการดึงเอารายละเอียดบางอย่าง และ Easter Egg จากหนังภาค 2 มาใส่เพิ่มเอาไว้แบบเล็ก ๆ น้อย ๆ
เรื่องราวเริ่มต้นที่ เพอร์ซีย์ แจ็กสัน (วอล์คเกอร์ สกอเบลล์ – Walker Scobell) เด็กหนุ่มวัย 12 ปีที่มีความสนใจใคร่รู้ในเทพนิยายกรีก แต่มีปัญหาด้านทักษะการอ่าน (Dyslexia) และเป็นโรคสมาธิสั้น ทำให้เขาเองกลายเป็นเด็กที่อ่านไม่ออก แปลกแยก โดนกลั่นแกล้งในโรงเรียน จนวันหนึ่ง ซัลลี (เวอร์จิเนีย คัลล์ – Virginia Kull) แม่เลี้ยงเดี่ยวของเขาได้เปิดเผยให้เพอร์ซีย์รู้ว่า เขาเองเป็นมนุษย์ครึ่งเทพ หรือเดมิก็อต (Demigod) เพราะพ่อผู้ห่างเหินของเขาเป็นถึงเทพโพไซดอน (Poseidon) (โทบี สตีเฟนส์ – Toby Stephens)
เพอร์ซีย์และ โกรเวอร์ อันเดอร์วูด (อาร์ยัน สิมหดริ – Aryan Simhadri) เซเทอร์ (Satyr) หรือเทพผู้พิทักษ์ที่เป็นทั้งเพื่อนและคอยดูแลเพอร์ซีย์ ได้เดินทางเข้าป่า เพื่อไปเข้าค่ายฮาล์ฟบลัด ที่รวมของเหล่าเดมิก็อตทั้งหลาย แต่เพอร์ซีย์เองก็ต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาว่าขโมยอสุนีบาต หรือสายฟ้าของเทพซูส (Zeus) (แลนซ์ ริดดิก – Lance Reddick) ไป จนต้องส่งเหล่าปีศาจมาตามล่า เขา โกรเวอร์ และแอนนาเบธ เชส (ลีอาห์ ซาวา เจฟฟรีส์ – Leah Sava Jeffries) บุตรสาวของเทพอะธีนา (Athena) จึงต้องออกผจญภัยตามหาหัวขโมยตัวจริงให้ได้ ก่อนที่มหาสงครามระหว่างทวยเทพจะอุบัติขึ้น
ถ้าหากข้อเสียหนึ่งในฉบับหนังที่ขัดใจแฟนหนังสืออย่างแรง ก็คือการดัดแปลงเนื้อหาจากนิยายต้นฉบับ สิ่งที่ซีรีส์ฉบับนี้ทำ จะว่าไปก็มีการปรับแต่งรายละเอียดบางอย่างไปพอสมควรแหละ แต่ข้อได้เปรียบอย่างมากของฟอร์แมตซีรีส์ก็คือ การคงไว้ซึ่งใจความและธีมของนิยายชุด ‘Percy Jackson’ ทั้งประเด็นของการบอกเล่าธีมของการนำเสนอตำนานกรีก ตำนานเทพเจ้าและปีศาจ ผ่านโลกและสังคมในยุคสมัยใหม่ ที่ในฉบับซีรีส์สามารถเติมเต็มจุดที่ขาดหายไปจากฉบับหนังได้อย่างค่อนข้างครบถ้วนน่าสนใจ ไม่ใช่แค่จับเอาเทพเจ้ามาใส่ชุดเท่แล้วออกไปแอ็กชัน โชว์ความเทพเฉย ๆ
สิ่งที่ซีรีส์ทำได้ดีกว่าฉบับหนังก็คือการนำเสนอแนวคิดและปัญหาของคนเราที่แม้แต่มนุษย์ครึ่งเทพก็หนีไม่พ้น โดยเฉพาะการปูให้เห็นปัญหาและอุปสรรคที่เด็กวัย 12 ปีอย่างเพอร์ซีย์ต้องเผชิญและแบกรับไว้บนบ่า ทั้งปัญหาสมาธิสั้น+ดิสเล็กเซีย ที่ทำให้เขาต้องถูกบูลลี และถูกมองว่าเป็นเด็กขี้เกียจและชอบก่อเรื่อง ความก้ำกึ่งในการเป็นคน 2 โลก ที่ทำให้เพอร์ซีย์กลายเป็นเด็กแปลกแยก การอยู่กับแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่ในซีรีส์จะชูความสัมพันธ์ระหว่างเพอร์ซีย์กับแม่ให้เห็นเป็นพิเศษ ซึ่งอันนี้ต้องชื่นชมที่ซีรีส์กล้านำเสนอจุดนี้ได้อย่างไม่ประนีประนอม ไม่กลัวจะทำให้ซีรีส์เดินเรื่องช้าหรือกลัวออกมาดูไม่บันเทิง เพราะในซีรีส์ เราจะได้เห็นการปลูกฝังของแม่ที่สะท้อนมาถึงตัวของเพอร์ซีย์อยู่มากพอสมควรเลยทีเดียว
อีกจุดก็คือ การสะท้อนถึงค่านิยมที่คนรุ่นใหม่คิดและเชื่อ โดยเฉพาะเพอร์ซีย์ ที่แม้จะมีความสนใจในตำนานเทพเจ้ากรีก แต่กลับมองว่าความพิเศษของตัวเองเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของตัวเอง นอกจากนั้น เพอร์ซีย์เองก็ต้องเจอกับปัญหาและอุปสรรคนานัปการ ที่เด็กวัยรุ่นตอนต้นคนหนึ่งต้องเผชิญและแบกรับเอาไว้บนบ่า ตั้งแต่การสูญเสีย ความสงสัยและดูแคลนความห่างเหินของพ่อ สังคมแปลกหน้า ความจริงที่ถูกปิดบัง แม้แต่บทสนทนาเกี่ยวกับการตั้งคำถามถึงการดำเนินชีวิต และผลกระทบที่พวกเขาต้องเจอในฐานะเป็นคนครึ่งเทพ ก็ล้วนแต่เป็นตัวขับเคลื่อนคาแรกเตอร์และเป้าประสงค์ของเพอร์ซีย์และเพื่อน ๆ ได้ออกมาน่าติดตามและเข้าถึงได้ไม่ยากจนเกินไป
อีกสิ่งที่ซีรีส์ทำได้ในระดับที่น่าชื่นชมก็คือ การเสริมมิติและเคมีบางอย่างของแก๊งเพื่อนที่เต็มไปด้วยความไม่ได้ไว้วางใจกันมาตั้งแต่แรก ทั้งเพอร์ซีย์ ที่มีความสับสนและโดดเดี่ยวอยู่ภายใน แอนนาเบธ ผู้นำที่มีความสุขุมและฉลาดหลักแหลม แต่ก็มีปมภายในใจอยู่ และโกรเวอร์ ผู้มองโลกในแง่ดี และพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อคอยอารักขาเพอร์ซีย์ ซึ่งความไม่ไว้วางใจ และการค้นหาสิ่งที่จะค่อย ๆ ผูกให้ทั้ง 3 คนรู้จัก เข้าใจ และไว้ใจกันได้ในที่สุด ก็ถือเป็นสิ่งที่ซีรีส์ปะผุซ่อมแซมสิ่งที่หนังไม่ได้พูดถึง ในขณะที่ฉบับหนังกลับละเลยหลาย ๆ จุดที่ผู้เขียนกล่าวถึงไป จนเหลือแต่เพียงเรื่องราวแนว Road Movie ผสมแอ็กชันผจญภัยของลูกครึ่งเทพที่มีพรสวรรค์ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดเฉย ๆ
ข้อสังเกตที่หลายคนอาจรู้สึกเหมือนกันก็คือ การใช้ Fade Out พร่ำเพรื่อโดยเฉพาะใน Ep. 3 และ 4 ที่มีการเฟดดำตัดแวบ ๆ ไปมา ซึ่งพอถึงจุดหนึ่งมันก็แอบรู้สึกว่ามันถูกวางให้เป็นกิมมิกเก๋ไก๋ มากกว่าจะใช้ช่วยในการผ่อน – เร่งจังหวะการเล่าเรื่องเแบบปกติ ซึ่งไอ้ Fade Out นี่มันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนดูรู้สึกว่าจังหวะการตัดต่อของซีรีส์มันมีความสะดุด ๆ ไม่ลื่นไหลได้อยู่เหมือนกัน เพราะบางทีการ Fade Out ในซีนหรือช่วงเวลาใกล้ ๆ กันมากเกินไปก็ทำให้ภาพออกมาดูไม่ลื่น ดูมีความ Jump Cut แปลก ๆ ได้เหมือนกัน คือมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอกครับ แต่มันก็แอบเยอะเกินไป จนบางทีก็แอบน่ารำคาญอยู่นะ
อีกหนึ่งจุดที่เรียกว่าเป็นประเด็นมาเนิ่นนานก็คือ การแคสต์ตัวละครที่ในฉบับนี้เรียกได้ว่าต่างจากฉบับหนังไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งแม้หลายคนจะวิจารณ์ตั้งแต่เปิดตัวนักแสดงว่า งานนี้ก็หนีไม่พ้นอิทธิพลความ Woke ของ Disney อีกแล้วสินะ แต่โดยรวม ๆ สำหรับแคสติงในฉบับซีรีส์ก็ถือว่าอยู่ในระดับน่าพอใจครับ โดยเฉพาะน้อง วอล์คเกอร์ สกอเบลล์ ที่ใกล้เคียงกับต้นฉบับที่สุด และถ่ายทอดความแปลกแยกที่มีความจิตใจดีและมีของอยู่ภายในได้ดี ส่วนตัวผู้เขียนชอบซีนแม่ลูกในซีรีส์ที่ทำได้ดีกว่าฉบับหนังแบบลิบลับ
ส่วนนักแสดงหลาย ๆ คนที่มีการเปลี่ยนคาแรกเตอร์ไปจากนิยายแบบคนละขั้ว ที่มีดราม่าหนักหน่อยก็ แอนนาเบธ ที่โดนวิจารณ์เยอะสุด เพราะคาแรกเตอร์ที่ดันเป็นลูกสาวของเทพ ‘กรีก’ นี่แหละ แน่นอนแหละว่าการเปลี่ยนสัญชาติกันดื้อ ๆ (อีกแล้ว) ก็ไม่สมเหตุสมผลนักหรอก แต่โดยรวมก็ทำได้ไม่ถึงกับเลวร้ายนัก โชคดีที่ในหนังไม่ได้มีตัวละครอะธีนาด้วย ดราม่าก็เลยยังไม่หนักข้อ รวมทั้งการแสดงของน้องซาวา เจฟฟรีส์ ก็ถือว่าอยู่ในระดับดี ถ่ายทอดความเป็นผู้นำที่มีความฉลาด สุขุม แต่มีปมได้น่าสนใจ รวมทั้งโกรเวอร์ ที่ในฉบับนี้ผู้เขียนรู้สึกว่ามีคาแรกเตอร์และมีบทบาทที่ดีและน่าสนใจกว่าในหนัง
แน่นอนว่าด้วยความที่ซีซันนี้คือการรีเมกจากภาคแรก คนที่ดูหนังมาแล้วอาจรู้สึกว่ามันไม่ได้ใหม่มาก แต่ตัวซีรีส์ก็ถือว่าทำได้น่าพอใจ ทั้งการลำดับเรื่องราวที่ทำได้ดีขึ้น ไม่เร็วแต่ก็ไม่ได้ช้า การเชื่อมโยงกับปกรณัมกรีก และตำนานปรัมปราต่าง ๆ ที่มีมากขึ้นและจุใจกว่าเดิมฉากแอ็กชันที่ทำได้น่าตื่นเต้น โดยเฉพาะในช่วงการผจญภัย (แต่ฉากแอ็กชันในค่ายนี่แอบเฉย ๆ แฮะ) โปรดักชันที่ CGI แอบลอยบ้าง แต่โดยรวมถือว่าดีในระดับทีวีซีรีส์ รวมทั้งการให้ความสำคัญกับพัฒนาการ ความสัมพันธ์ ความไว้วางใจของตัวละครที่มีผลต่อและจิตใจ การตัดสินใจ ผลกระทบต่าง ๆ ที่ตัวละครหลักต้องเผชิญได้ลึกซึ้งและน่าติดตาม สำหรับผู้เขียน ฉบับซีรีส์ก็ถือว่ามีอะไรที่ดีพอจะทดแทนฉบับหนังได้แหละ เสียดายแค่แต่ละตอนแอบสั้นไปหน่อย เก็บไว้ดูรวดเดียวตอนฉายจบซีซันก็ไม่เสียหลายครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส