อันที่จริงในช่วงเวลาที่นิยาย Twilight ถูกหยิบมาทำเป็นหนังและต่อยอดกันไปถึง 5 ภาคนั้น Fallen ถือเป็นนวนิยายรักโรแมนติกแนวโกธิคที่ถูกเล็งมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์มาหลายปีแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็ต้องเจอโรคเลื่อนมาตลอด แถมเมื่อหนังสร้างเสร็จก็เจอปัญหาค่ายหนัง Relativity Media ประสบกับภาวะล้มละลาย หมดสิทธิ์ฉายในสหรัฐอเมริกา ทำให้หนังถูกดองมาเป็นปี แต่เมื่อมองดูจากกลุ่มแฟนหนังสือที่ตามมาจากงานเขียนของ ลอเรน เคท อยู่แล้ว ถือได้ว่า Fallen ก็ยังมีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย
ถ้าเอามหากาพย์ Twilight เป็นตัวตั้ง และมองจากความเป็นนวนิยายขายดี จนมีภาคต่อมาแล้ว 3 ภาค คือ ทรทัณฑ์ (Torment), ทิพยทัณฑ์ (Passion) และ ทุรทัณฑ์ (Rapture) พอมาถึงแง่คนทำหนังเองก็คาดหวังว่า Fallen มันมี ‘ของ’ มาขาย และอาจจุดกระแสให้คนแห่กันชมแห่กันไปหานิยายมาอ่านทั่วบ้านทั่วเมืองเหมือน Twilight บ้าง ด้วยความที่มันเป็นหนังค่อนข้างจับกลุ่มเฉพาะกลุ่มเด็กผู้หญิง (Naive girl) ที่มีมุมมองแนวโลกสวยอยู่แล้ว คนอ่านนวนิยายหรือตามหนังสไตล์นี้มักโปรดปรานที่ได้เห็น ‘ความรัก’ ปนเปื้อนกลิ่นอายแฟนตาซี โดยเฉพาะนางเอกที่มีความรักข้ามเผ่าพันธุ์ ข้ามสถานะกับพระเอก ซึ่งต้องบอกว่าเป็นแนวทาง วิธีการที่คนดูกลุ่มนี้ชอบให้หนังนำพาตัวตนออกไปจากโลกความจริงเป็นพักๆ
สำหรับ Fallen นี้ มีชื่อของ สก็อตต์ ฮิคส์ ผู้กำกับชาวออสซีที่เคยสร้าง เจฟฟรี่ย์ รัช กับบทบาทของนักเปียโนจิตแปรปรวนในเรื่อง Shine (1996) จนไต่ไปคว้ารางวัลออสการ์สาขาดารานำชาย มานั่งแท่นกำกับด้วย ส่วนตัวเคยผ่านงานของเขามาบ้างกับ Snow Falling on Cedars (1999) ในช่วงพีคของพระเอก อีธาน ฮอว์ก แต่สำหรับ Fallen นั้นโจทย์ของ ฮิคส์ ต่างออกไปมาก แม้มันจะไม่ได้ถูกคาดหวังอะไรมากนักเมื่อมองจากตลาดหนังบ็อกซ์ออฟฟิศรอบนี้ อย่างไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่าภาคปฐมบท ก็เหมือนขึ้นเวทีพิพากษาจากคนดูว่ามันจะมีแววไปได้ไกลแค่ไหนกับการวางตัวเองเป็นหนังแฟรนไชส์
ตัวพล๊อตเรื่องก็พูดถึง ลูซินด้า ไพรซ์ หรือ ลูซ (แอดดิสัน ทิมลิน) สาววัย 17 ปีที่เข้ารับบำบัดในโรงเรียนดัดสันดานที่อยู่ห่างไกลซอร์ดแอนด์ครอสส์ และโรงเรียนแห่งนั้นมีเด็กวัยรุ่นที่อยู่ในสถานะ ‘มีปัญหา’ เข้ามาคุมประพฤติในโรงเรียนแห่งนี้ และที่นี่เองที่ ลูซ ได้เจอกับ แดเนียล (เจเรมี่ เออร์วีน) และ คาเมรอน หรือ แคม (แฮริสัน กิลเบิร์ทสัน) หนุ่มหล่อ 2 คนที่เป็นเทวดาตกสวรรค์ในคราบของมนุษย์ และ 2 คนนี้ก็ต่อสู้เพื่อให้ได้เป็นผู้ครอบครองความรักของลูซ
ตัวหนังออกแบบมาให้ย่อยง่ายๆ การเดินเรื่องนั้นไม่ซับซ้อน ทำได้ค่อนข้างกระชับ เปลี่ยนอารมณ์ไว จนทำให้หนังบางช่วงขาด dynamic ไป โดยเฉพาะการปูเรื่อง การเริ่มต้นความสัมพันธ์ของตัวละครหลักนั้นเรียกว่ายิ่งกว่ารวบรัด ไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก เข้าใจว่าผู้กำกับพยายามระมัดระวังไม่เล่าเรื่องให้ดูเลี่ยน เพื่อเอาใจคนดูกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ใช่ผู้หญิงจ๋าด้วย ทำให้การเดินเรื่องทำได้มันไม่ละเอียดเท่าไหร่นัก แต่ความที่ตัวละครแต่ละตัวปิดบังความลับเอาไว้ก็นำพาให้ตัวหนังยังมีความน่าสนใจ ดูต่อไปได้โดยที่หัวยังไม่ต้องถึงหมอน
จุดที่ต้องพูดถึงและทำได้ค่อนข้างดีคือ ซีจีในเรื่องที่ทำออกมาไม่ติดขัดและดูไหลลื่นดี ด้วยความที่เป็นหนังแนวนี้และมี Twilight แผ้วทางสร้างการรับรู้ให้ผู้คนเอาไว้แล้วมันเลยไม่มีปัญหาให้ติดใจกันมากนัก แต่มีจุดที่คิดว่าทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็นเลยคือการให้น้ำหนักกับการเน้นไปที่เมสเซจหลักอย่าง ‘การบูชาความรัก’ ของตัวลูซเองซึ่งเป็นตัวละครเดินเรื่องที่มาพร้อมกับปมและเงื่อนไขที่ว่าเธอนั้นอยู่ในสถานะ ‘ต้องคำสาป’ และมีอุปสรรคในความรัก ตรงนี้น่าเสียดายว่าทั้งบทหนังที่เลือกมาเล่าและ performance ของนักแสดงยังไม่สามารถส่งผ่านมาให้คนดูรู้สึกเชื่อไปด้วยเท่าไหร่นัก ทั้งที่ลูซในนวนิยายนั้น มีความดื้อรั้น เด็ดเดี่ยว แทบจะถอดแบบมาจาก เบลล่า (คริสเตน สจ็วต) ใน Twilight เลย พูดง่ายๆ ว่าเราแทบไม่รู้สึกถึงการแสดงความรักที่ส่งมาหาคนดูเลย
อันที่จริงในภาพรวม Fallen เองก็ทำได้ดีในระดับหนึ่งที่พาคนดูไปจุดไคลแม็กซ์ที่ตัวละครต้องเฉลยความลับ ซึ่งสร้างความกดดันและแอบลุ้นแอบฟินกันอยู่บ้าง แต่ถ้าอิงจากนวนิยายก็ต้องบอกว่ามันมีเส้นเรื่องที่ซับซ้อนและน่าติดตามกว่านี้มาก ซึ่งหนังภาคนี้ยังไม่ได้ทิ้งหรือปูทางให้เราเห็นอะไรแบบนั้นเลย สำหรับใครที่เคยดู Twilight มาก็ต้องบอกว่า Fallen เองก็ยึดเส้นมั่นไว้ในเส้นทางเดียวกันแหละ แต่ต่างเพียงช่วงเวลาปรากฏตัวบนจอเงินแค่นั้นเอง