ด้วยความที่เป็นหนังมาร์เวลที่มีรสชาติแตกต่างจากทุกเรื่องก่อนหน้า ทั้งการที่เป็นหนังผจญภัยอวกาศ ไม่ได้เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ เต็มไปด้วยสมาชิกที่มีสีสันและเอกลักษณ์เฉพาะตัวโดดเด่น การดึงเอาเพลงยุค 80s มาเป็นจุดขาย และเลือกให้หนังออกมาเป็นคอมมีดี้อัดมุกแน่นแทนที่จะออกมาซีเรียสขึงขัง ล้วนทำให้ Guardians Of The Galaxy (2014) กลายเป็นหนังฮิตของมาร์เวลในอันดับต้น ๆ ส่งชื่อให้ผู้กำกับและเขียนบท เจมส์ กันน์ กลายเป็นที่รู้จักขึ้นมาทันที และทางมาร์เวลก็มั่นใจกับตัวหนังว่าต้องฮิตแน่ ๆ ถึงกับอนุมัติสร้างภาค 2 เสียก่อนที่ภาคแรกจะออกฉายเสียอีก

และองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ถูกใจคนดูส่งให้ Guardians Of The Galaxy (2014) กลายเป็นหนังฮิต ก็ถูกกลับมาใช้อีกครั้ง และรอบนี้ผู้สร้างรู้ใจคนดูแล้ว ก็ยิ่งขับเน้นเล่นใหญ่และถูกใจคนดูมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะ กรูต มนุษย์ต้นไม้ที่กลายเป็นขวัญใจคนดูจากภาคแรก และการเปิดตัวเบบี้กรูตในตอนจบก็ดูจะเป็นที่รักของคนดูมาก ภาคนี้เบบี้กรูต ก็เลยกลายเป็นตัวละครซีจีที่โดดเด่นมาก และมีเวลาบนจอมากกว่าตัวละครคนแสดงเสียอีก แต่ต้องยอมครับ การสร้างสรรค์ภาพลักษณ์ของเบบี้กรูตทั้งสีหน้าสายตา ความเคลื่อนไหว น่ารักโดนใจจริง ๆ ทุกนาทีที่เบบี้กรูตออกมาได้ใจผู้ชมแน่นอน และมุกที่เล่นกับความใสซื่อของเบบี้กรูตก็ฮาจริง โดยเฉพาะฉากที่ใช้เบบี้กรูตไปหยิบของนี่ฮากันยาว ๆ หลายนาทีเลยครับ หลังจากหนังเข้าฉายเชื่อว่ามาร์เวล ได้กำไรต่อเนื่องจากสินค้าเบบี้กรูตแน่ ๆ อ่านรายละเอียดเบื้องหลังแล้วไม่น่าเชื่อว่านี่คืองานแสดงของพี่บึ้ก วิน ดีเซล จากภาคแรกที่ วิน พากย์เสียง “ไอ แอม กรูต” เพียงอย่างเดียว พากย์นี้ทีมงานเพิ่มงานให้วิน ด้วยการให้เขามาเล่นเป็นเบบี้ กรูต ด้วยเทคนิคโมชั่น แคปเจอร์ นึกภาพ วิน กระโดดโลดเต้นเป็นเด็กน้อยเบบี้ กรูต ไม่ออกเลยจริง ๆ

จุดอื่น ๆ จากภาคแรกที่เอามาขยายในภาคนี้ก็เช่น ลีลายียวนกวนทีนของ ร็อคเก็ต ที่ภาคนี้ปากหมามากขึ้นไปอีก มุกจิกกัดที่ออกจากปากร็อคเก็ตก็เลยกลายเป็นตลกร้ายที่ล้วนแรงแต่ก็ขำ ชอบมุกล้อเทเซอร์เฟซมาก แล้วร็อคเก็ตก็มีฉากแอ็คชั่นโชว์เดี่ยวแบบยาว ๆ ให้ดูว่าแรคคูน ตัวนี้ไม่ได้มีดีแค่ปากเสียนะ ยอนดู มนุษย์ต่างดาวสีฟ้าพ่อบุญธรรมของ ปีเตอร์ ควิลล์ ก็เป็นอีกตัวละครที่มีบทบาทมากขึ้นและได้บทที่เขียนส่งให้เป็นตัวละครจดจำของภาคนี้ไปเลย ยอนดูมี ศรบิน เป็นอาวุธพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ภาคนี้เราจะได้เห็นอานุภาพที่ร้ายกาจของ ศรบิน มากขึ้นเพราะยอนดูได้ฉากโชว์ของตัวเองแบบยาว ๆ

อีกจุดที่เป็นเอกลักษณ์ของ Guardians Of The Galaxy คือเพลงรวมฮิต Awesome Mix ที่ภาคแรกดึงหลายเพลงจากยุค 80s ให้กลับมาดังอีกรอบ ภาคนี้ก็ถูกหยิบมาใช้อีกครั้ง  ชื่นชมการเลือกเพลงของทีมงานจริง ๆ เลือกมาได้แบบติดหูและจังหวะในการปล่อยแต่ละเพลงออกมาบนจอก็เหมาะเหม็งมาก ภาพและเพลงดูเข้ากันดีส่งให้ฉากนั้นดูสนุกมีสีสัน แล้วเพลงก็ติดหูคนดูแทบทุกเพลง ภาคนี้เพลงที่เลือกมาไม่ได้แค่เปิดผ่าน แต่ปีเตอร์ ควิลล์ ยังลงลึกถึงเนื้อหาและศิลปินเจ้าของเพลงอีกด้วย แถมลามไปถึงตัวละครอื่น ๆ ก็ติดไอ้เทปรวมฮิต Awesome Mix กันไปด้วย ไปขึ้นยานไหนก็ต้องเอาไปเปิดฟังกัน ภาคนี้ไม่เพียงแค่เพลงยุค 80s เท่านั้นที่ถูกพูดถึงอย่างเชิดชู แต่รวมไปถึงทีวีซีรีส์ยุคนั้นอย่าง Knight Rider และ Cheers ที่ไม่ได้เพียงกล่าวถึงผ่าน ๆ อย่างขำ ๆ แต่ถูกมาใช้เป็นมุกเล่นแล้วเล่นอีกแถมดึงตัว เดวิด ฮาเซลฮอฟฟ์ มารับเชิญอีกด้วย ภาคนี้ยังมีสีสันอีกมากมายครับ พูดถึงไม่หมด

Guardians Of The Galaxy ถือว่าเป็นหนังมาร์เวลที่รวมดาวไม่แพ้ The Avengers เลยก็ว่าได้ เพียงแต่ว่าซูเปอร์สตาร์แถวหน้าที่มาร่วมงานนั้นบางคนมาแต่เสียงอย่างเช่น แบรดลีย์ คูเปอร์ ที่มาพากย์เสียงเป็น ร็อคเก็ต , วิน ดีเซล ที่มาพากย์เสียงเป็น เบบี้กรูต แล้วภาคนี้ก็ยังเพิ่มรุ่นใหญ่อย่าง ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน เข้ามาอีกในบทรับเชิญแค่ไม่กี่นาที แต่ดูเหมือนว่าอาจจะมีบทบาทมากขึ้นในภาค 3 และ เคิร์ต รัสเซล ที่เพิ่งเห็นหน้ากันไปใน Fast 8 ก็มาในบท อีโก้ พ่อที่แท้จริงของ ปีเตอร์ ควิลล์ กลายเป็นตัวละครหลักในภาคนี้ เมื่ออีโก้ มาช่วยลูกชายในสถานการณ์คับขันและขอชดเชยความผิดที่ไม่ได้เลี้ยงดู ปีเตอร์ มาตั้งแต่เด็ก เขาพาปีเตอร์ และผองเพื่อนไปที่ดาวเคราะห์ส่วนตัว เน้นว่าฉากนี้ให้จับตาดูนะครับ ทัศนียภาพดาวของอีโก้ที่ทีมงานบอกว่ามีรายละเอียดเยอะมาก มีองค์ประกอบยิบบ่อยนับล้านล้านจุดที่ใช้ซีจีเรนเดอร์สร้างขึ้นมา จัดเป็นงานซีจีที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ฮอลลีวู้ดกันเลย พอมีพ่อตัวจริงออกมา และพ่อบุญธรรมอย่างยอนดูรู้เข้า ก็พยายามช่วยปีเตอร์และเพื่อนออกมาเพราะยอนดูรู้ว่าแท้จริงแล้ว อีโก้ มีเจตนาร้ายแอบแฝง พอเล่นเรื่องพ่อจริง พ่อบุญธรรม ภาคนี้ก็เลยยกประเด็นเรื่องความรักแบบพ่อลูกมาเป็นดราม่า และเอามาขับเน้นในช่วงท้ายได้พอเหมาะพอดี ยังไม่พอต้องมีเสริมดราม่าพี่น้องคู่รักคู่แค้นของกามอร่า และ เนบิวลา อีก ยังไม่พอต้องเสริมด้วยความรักของกลุ่ม Guardians Of The Galaxy ที่เปรียบเสมือนครอบครัว กลายเป็นอีกสูตรสำเร็จของ Guardians Of The Galaxy ที่ขำมาตลอดทางแล้วต้องลงท้ายด้วยดราม่าอีกแล้ว พักนี้ดูหนังฮอลลีวู้ดเน้นคำว่า “แฟมิลี่” ติด ๆ กันเลยนะ Fast 8 ก็เพิ่งเน้นเรื่องนี้ไปหยก ๆ

สรุปว่าภาคนี้สนุกมากฮาตั้งแต่เครดิตเริ่มเรื่อง อะไรที่เคยชอบจากภาคแรกก็ได้เห็นหมดแบบจุใจมากขึ้น มุกมากขึ้น เสียงหัวเราะแทบไม่ขาดหายตลอด 2 ชั่วโมง 16 นาที ตัวละครเยอะมาก แต่บทก็กระจายความเด่นไปแทบทุกตัว แต่ต้องยอมรับว่าพระเอกอย่างคริส แพรตต์ รอบนี้ฟิตหุ่นมาพร้อมกว่าเดิม แต่ก็โดนบรรดาเพื่อนร่วมทีมขโมยซีนจนตัวเขาลดความเด่นลงไปเยอะละ หนังเพียบพร้อมด้วยฉากซีจีอลังการ บรรดาเพลงเพราะต่อเนื่องมาแน่น Awesome Mix 2 ดังแน่นอน ดราม่าก็ถูกสอดแทรกเข้าได้พอดีไม่มากไม่น้อย ฉากหลังเอนด์เครดิตอัดมาแบบจุใจ ถึง 5 รอบ ย้ำนะครับว่า 5 รอบ หนังจบไม่ต้องลุกล่ะ ดูกันจนวินาทีสุดท้ายเลย ส่วนใหญ่เป็นฉากปล่อยมุกขำ ๆ นะ มีอยู่ฉากนึงที่รวมเหล่าโจรสลัดอวกาศที่พูดเหมือนจะมีวีรกรรมในภาคต่อไป และอีกฉากบนดาวโซเวอเรนที่เกริ่นถึงตัวร้ายตัวใหม่ของภาค 3 ครับ

Play video

แถมท้ายให้หน่อย สำหรับคนที่เกิดไม่ทัน เดวิด ฮาเซลฮอฟฟ์ ที่ปีเตอร์ ควิลล์ พูดถึงบ่อย ๆ คือ พระเอกจากยุค 80s เขาดังจากซีรีส์ Knight Rider ในบ้านราก็ดังมาก เพราะช่อง 3 เอามาฉายในชื่อ “อัศวินคอมพิวเตอร์” ฉายทุกบ่ายวันเสาร์ ช่วงประมาณปี 2525 -2530 เดวิด ฮาเซลฮอฟฟ์ เล่นเป็น ไมเคิล ไนท์ ตำรวจหน่วยพิเศษที่ต่อสู้อาชญากรด้วยรถอัจฉริยะชื่อ Kitt เป็นรถพูดได้และมีอุปกรณ์พิเศษมากมาย

Knight Rider ถูกเอากลับมาปัดฝุ่นทำอีกครั้งในปี 1991 ใช้ชื่อว่า “Knight Rider 2000” แต่ซีรีส์ไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ถูกสร้างออกมาแค่ซีซันเดียว เช่นเดียวกับ ฮาเซลฮอฟฟ์ ที่ดังเป็นดาวค้างฟ้าจากซีรีส์ชุดนี้ แต่ก็ไม่มีผลงานเรื่องอื่นประสบความสำเร็จอีกเลย ปัจจุบัน ฮาเซลฮอฟฟ์ อายุ 65 มีงานรับเชิญตามทีวีซีรีส์ และเล่นหนังเกรดบีเป็นหลัก


แถมเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ จากหนัง

  • หนังเรื่องแรกที่ถ่ายทำด้วยกล้องดิจิตอล RED’s WEAPON 8K วิทยาการล่าสุดของโลกภาพยนตร์
  • เนบิวลา จะมีหนังภาคแยกเป็นของตัวเอง
  • เดฟ บาวทิสตา ในบท แดรกซ์ ภาคแรกเขาต้องทนนั่งให้ช่างเมคอัพถึง 4 ชั่วโมงต่อวัน ด้วยวิทยาการเมคอัพที่ก้าวหน้าขึ้น ภาคนี้ลดลงเหลือ 1 ชั่วโมงครึ่ง แต่ตัวเทเซอร์เฟซ ตัวละครใหม่ในภาคนี้ใช้เวลาเมคอัพถึง 3 ชั่วโมงครึ่ง
  • แมนทิส ในการ์ตูนถูกบรรยายไว้ว่าเป็นสาวลูกครึ่งเวียดนาม – ฝรั่งเศส ส่วนในหนังได้ พอม เคลแมนทีฟ มารับบทเธอเป็นลูกครึ่ง เกาหลี-รัสเซีย