สรุปก่อนเลย เผื่อใครขี้เกียจอ่านยาว
หนังเท่ เท่แบบนึกว่าดูโฆษณาเสื้อผ้าผู้ชายแบรนด์ดัง ๆ ตัวละครมีเสน่ห์มาก ขนาดมาเยอะยังจำได้แทบทุกตัว ภาพก็เท่ถ่ายแบบวางเฟรมได้ประณีตมาก ชุดฉาก การแสดง ซีจี มันเท่ไปหมด เหมือนผู้กำกับเอาความเท่ทำอาหารให้ทีมงานนักแสดงกินแทนขนมปังกันเลยทีเดียว จากที่ไม่คิดจะสนใจพระเอกหนังฟอร์มยักษ์คนใหม่อย่าง ชาร์ลี ฮันนัม กลายเป็นประทับใจไปเลยตอนนี้
การตัดต่อกับการเล่าเรื่องยังเน้นสไตล์ว่องไว พริ้วจัดเหมือนมูฮัมหมัด อาลี แถมมีความกวนระดับไม่ธรรมดาพ่วงไปอีก คือคนดูหนังยุคใหม่นี้น่าจะปลื้มเลยล่ะ แต่คนที่ดูอะไรไว ๆ ไม่ทันคงเป็นปัญหาเพราะแค่เปิดเรื่องไม่ถึงห้านาที เล่าเรื่องความเดิมไปเยอะมากจนแปลกใจว่าใครไม่รู้จักคิง อาร์เธอร์มาก่อนจะงงมั้ย แต่พอเข้าโหมดเล่าเรื่องปกติก็สมูธมาก มีการกลับไปทวนฉากเปิดบ่อย ๆ ทำให้เคลียร์ขึ้น แถมมีอะไรให้ตะลึงเรื่อย ๆ ด้วย สุดท้ายที่ขอกราบคือดนตรีประกอบ นี่คือสิ่งที่พวกท่าน ๆ สมควรต้องเข้าไปฟังในโรงที่ระบบเสียงดี ๆ จริง ๆ เลยล่ะ
เรื่องราวเกี่ยวกับ คิง อาร์เธอร์ กับอัศวินโต๊ะกลม เป็นตำนานเก่าแก่ของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในแถบเกาะอังกฤษ ซึ่งกลายเป็นตำนานระดับโลกไปแล้วหลังจากที่มีการแต่งเสริมเรื่องราวชิงรักหักสวาทเพิ่มเข้าไปในเรื่องเล่าแฟนตาซีแบบเทพนิยายของเดิม โดยนักประพันธ์ฝรั่งเศสเมื่อหลายร้อยปีก่อน ทั้งยังถูกนำเสนอผ่านงานศิลปะชนิดอื่นมาแล้วมากมายทั้ง การ์ตูน เกม และแน่นอนสื่อแรก ๆ ที่เหมาะกับเรื่องฝันฟุ้งแบบนี้ไม่อาจจะพลาดได้ก็คือ หนัง นี่เองครับ
หนัง คิง อาร์เธอร์ มีการสร้างมาแล้วนับไม่ถ้วนเลยครับ อย่างเวอร์ชั่นที่นึกออกหลังสุดก็เป็นฉบับสงครามของผู้กำกับสายบู๊อย่าง อังตวน ฟูกัว เมื่อปี 2004 แต่ถ้านับย้อนไปเรื่องแรกที่เอาวงศ์อาร์เธอร์มานำเสนอก็ต้องเป็นหนังเงียบยุคของบริษัทถ่ายหนังเอดิสันคอมพานี เรื่อง Parsifal (1904) ที่นำบทละครว่าด้วยเรื่องราว เปอร์ซิวาล อัศวินคนสำคัญผู้ค้นพบจอกศักดิ์สิทธิ์มานำเสนอ โดยเป็นผลงานประพันธ์ของนักคีตกวีก้องโลกอย่าง ริชาร์ด แว็กเนอร์ ในปี 1882
ที่ต้องเกริ่นมาขนาดนี้เพราะต้องบอกว่าส่วนใหญ่หนังและสื่ออื่น ๆ มักจะเน้นไปที่เรื่องราวการได้ดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ของคิง อาเธอร์, การผจญภัยของอัศวินโต๊ะกลมต่าง ๆ, พลังมหัศจรรย์ของพ่อมดแห่งยุคอย่างเมอร์ลิน และเรื่องราวความรักต้องห้ามของแลนเซล็อตกับพระราชินี อะไรเทือกนี้ครับ แต่มาคราวนี้เราจะได้อิ่มหนำกับการเปิดตำนานบทใหม่ที่ว่ากันตั้งแต่ชาติกำเนิดของอาร์เธอร์เลยทีเดียว
หนังอาร์เธอร์ฉบับของ กาย ริทชี่ ผู้เคยฝากผลงานเปี่ยมสไตล์สุดมันอย่าง Snatch (2000) และ Sherlock Holmes ที่มีโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ เล่นทั้ง 2 ภาคนี้ ถ้าให้สรุปง่าย ๆ คือหนังอาร์เธอร์ที่เฟี้ยวฟ้าวที่สุดตั้งแต่เคยมีการสร้างกันมาเลยทีเดียวครับ ถ้าใครเคยดูงานยุคหลังของผู้กำกับคนนี้ น่าจะชินกับความเป็นเจ้าแห่งสไตล์ของเขาแล้ว ทั้งการใช้สโลว์โมชั่น การตัดฉากสนทนาแบบรัว ๆ รวมถึงความเท่แบบประดิษฐ์ที่ทำให้ต้องจ้องมองดูการออกแบบฉาก, เสื้อผ้า, คาแรกเตอร์อย่างไม่กระพริบตาเลย ยังกับเอานายแบบหลุยส์ วิตตอง, อาร์มานี่, คาลวิน ไคลน์ มาเดินโฉบเฉี่ยวชนกันในฉากยุคกลาง แถมเฟรมภาพการแสดงทำสวยราวกับโฆษณาหรู ๆ เลยทีเดียว คือมันประดิษฐ์ล่ะ แต่ทำแล้วเท่ไง คือสารภาพเลยว่าระหว่างนั่งดูสบถในใจว่า “เท่อิ๊บอ๋าย” ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบจนหนังจบ เท่ค่อด ๆ หนังเรื่องนี้
หนังเล่าเรื่องตั้งแต่รุ่นพ่อของอาเธอร์ อย่าง กษัตริย์อูเธอร์แห่งคาเมล็อต (อีริก บานา) ที่ต้องรับมือกับการรุกรานของพ่อมดนาม มอเดร็ด (ถ้าตามนิยายจะเป็นศัตรูตัวสุดท้ายที่ทำให้อาเธอร์ตาย) แม้จะล้มศัตรูได้แต่ก็ต้องมาถูกน้องชายอย่าง เจ้าชายเวอร์ติแกน (จู๊ด ลอว์) ก่อกบฎซ้ำ ทำให้อูเธอร์สิ้นพระชนม์ และรัชทายาทวัยเยาว์ต้องพลัดถิ่นไปโตในซ่องโสเภณีลืมชาติกำเนิดตน เมื่อโตขึ้นด้วยความสู้ชีวิตแบบข้างถนนมาตลอด อาเธอร์ (ชาร์ลี ฮันนัม) จึงกลายเป็นผู้ที่มีความสามารถสูงมากแต่ก็ไม่วายโดนกลั่นแกล้ง จนต้องหนีออกจากเมือง
เคราะห์ชะตาพาไป เขาถูกจับให้ไปทดสอบดึงดาบของกษัตริย์อูเธอร์ตามคำทำนายว่านั่นคือรัชทายาทตัวจริงที่สาบสูญไป ซึ่งเพราะกษัตรย์เวอร์ติแกนเกิดระแวงจะถูกล้างแค้น จึงบังคับประชาชนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลานตนมาทดสอบเพื่อฆ่าทิ้งก่อนจะเป็นภัย ตัวละครเวอร์ติแกนนี่ก็น่าสนใจมากครับ น่าจะเป็นตัวละครที่มีมิติมากที่สุดในหนังแล้วล่ะ เป็นตัวร้ายที่เห็นแล้วสงสารก็สงสาร แต่ก็น่ากลัวไปในตัวด้วยครับ จู๊ด ลอว์ ก็แสดงเทพเลย
เรื่องราวหลังจากนี้ก็เป็นการสู้เพื่อกลับคืนสู่บัลลังก์ของอาร์เธอร์ โดยมีคนมาแจมช่วยมากมายเลย ทั้งนักเวทย์สาวลูกศิษย์เมอร์ลิน (แอสทริด เบอร์เจส-ฟริสบี) อดีตนักรบของอูเธอร์ (ดิจิมอน ฮาวน์ซู) เพื่อนเก่าแก่ที่โตมาด้วยกัน และกลุ่มกบฏที่ทนไม่ไหวกับการกดขี่ (ไอแดน กิลเลน และแอนนาเบล วอลลิส) สนุกทีเดียวล่ะครับเพราะนอกจากต้องสู้กับกองทัพคนเป็นพัน ๆ แล้ว ยังมีเรื่องราวของเวทย์มนต์และปีศาจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย สายหนังแฟนตาซีเพลิน บอกเลย
ข้อดีของหนังอีกข้อที่ผมปลื้มมาก ๆ และคิดว่าสมควรแก่การไปดูในโรง คือคุณภาพภาพซีจีที่เนียนกริ๊บ (ยกเว้นฉากพยากรณ์ที่ดูจงใจให้ลอย ๆ) การดีไซน์ของงานภาพที่งดงามสุด ๆ เหมาะกับการดูจอใหญ่ ๆ และอีกอย่างคือคุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยมมาก ทุกครั้งที่ดนตรีประกอบขึ้นมาผมรู้สึกหนังสนุกขึ้นไปอีก สามสี่เท่าเลยทีเดียว เพลงฮึกเหิมได้อารมณ์ยุคกลางแถมโมเดิร์น คือเจ๋งมาก ต้องไปฟังในระบบเสียงดี ๆ จริง ๆ
แล้วก็หนังบาลานซ์ความน่ามองได้ดีครับ คือตัวละครชายนี่ก็มีเสน่ห์ดึงดูดมากขนาดบางตัวเห่ย ๆ พอมายืนรวมกัน ยังกับนายแบบบนแคทวอล์กเฉยเลย คือคนดูสาว ๆ คงเปรมครับ ฝั่งคนดูผู้ชายถึงตัวละครสาว ๆ จะน้อยแต่น้อยคุณภาพครับ อย่าง แอนนาเบล วอลลิส งี้ หรือแอสทริด เบอร์เจส-ฟริสบี นี่ก็มีเสน่ห์ประหลาดมากครับ ยิ่งมองเธอยิ่งดูดี จนสุดท้ายกลายเป็นต้องจ้องเธอตลอดเลยทุกครั้งที่ออกมา สรุปผู้ชายผู้หญิงดูได้เพลินหมดเลยครับ
ข้อเสียของหนังที่นึกออกคือ เล่าเรื่องได้วัยรุ่นมาก ๆ มากสุด ๆ ใครแก่พ้นวัยจะดูงานตัดเฟี้ยวฟ้าว รับอะไรเชื่องช้า ก็เตรียมพ่ายแพ้ไปครับ อาจดูไม่ทันเข้าใจไม่ทันเลยทีเดียว อย่างมีฉากหนึ่งที่เป็นการวางแผนการของทีมอาร์เธอร์ที่อาร์เธอร์ขอจำลองเหตุการณ์ บทสนทนาก็ตัดโดดกลับไปกลับมาระหว่างห้องประชุมกับสถานการณ์จำลองที่เรานึกไปว่าเกิดขึ้นจริง แต่ดันลงท้ายว่าอาร์เธอร์สมมติเฉย ๆ และไม่คิดจะทำด้วยเพราะมันไม่เวิร์ค โหฉากเดียวที่เล่ามาไม่น่าถึง 2 นาทีครับ ตัดไวมากแต่บทพูดกับเรื่องเยอะเลย คือวัยรุ่น ๆ หน่อยนี่สบายเลยครับ ยิ่งชิน ๆ กับหนังอินดี้ ๆ ตัดว่อง ๆ ด้วยแล้วสบายมาก แต่กับวัยเก่าหน่อย ผมว่าไวเกินไปครับ คนหนุ่ม ๆ ยังเก็บที่มันคุยกันไม่หมดด้วยซ้ำมั้ง 555
แต่โดยรวมสัปดาห์นี้ ผมว่าต้องดูครับเรื่องนี้จะดูก่อนดูหลังเอเลี่ยน ก็ควรดูครับ ถ้าโชคดีเราอาจได้ดูภาคต่อ ๆ ไปของหนังเรื่องนี้แบบยาว ๆ เลยก็ได้ เพราะตอนจบเรื่องยังปูให้เกิดอะไรได้อีกเยอะเลยครับ แถมตัวละครสำคัญอีกเยอะเลยที่ยังไม่ปรากฏตัว ขอให้มีภาคต่อทีเถอะ