เป็นหนังที่แบกรับความคาดหวังไว้สูงมาก เหตุเพราะยูนิเวอร์แซลต้องการที่จะมีจักรวาลหนังของตัวเองไว้สู้กับมาร์เวล และฟอกซ์บ้าง ก็เลยมองว่าตัวเองถือสิทธิ์ของบรรดาผีฝรั่งไว้มากพอดูทั้ง มัมมี่ , แวน เฮลซิ่ง, มนุษย์หมาป่า , มนุษย์ล่องหน , เจ็คเคิล แอนด์ ไฮด์ และ แฟรงเคนสไตน์ ซึ่งล้วนแต่เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ก็เลยเริ่มโครงการ Dark universe เอาบรรดาอสุรกายเหล่านี้ให้มาเจอกัน โดยให้ The Mummy รับหน้าที่เป็นหัวหอกเปิดโครงการ โดยหวังว่าชื่อ ทอม ครุยส์ บวกกับชื่อมัมมี่ น่าจะดึงความสนใจคนดูได้สำเร็จ ด้วยความที่เป็นหนังเปิด Dark Universe หนังจึงต้องทำหน้าที่แนะนำตัวละครสำคัญทั้ง นิค มอร์ตัน บทของทอม ครุยส์ , อาห์มาเน็ต ราชินีมัมมี่ และ ดร.เจคเคิล บทของรัสเซล โครว์ ในเรื่องนี้ทำหน้าที่ผู้อำนวยการหน่วยศึกษารวบรวมอสุรกายทั่วโลก ซึ่งใน Dark Universe นี้ ดร.เจคเคิล ก็ทำหน้าที่เหมือน นิค ฟิวรี่ ของดิ อเวนเจอร์ส นั่นแหละ
มัมมี่ รอบบี้เว้นช่วงจาก ภาคสุดท้ายในไตรภาคที่แล้ว The Mummy: Tomb of the Dragon Emperor (2008) ถึง 9 ปี บทหนังคราวนี้ได้ เดวิด โคเอ็ปป์ มือเขียนบทระดับต้น ๆ ของฮอลลีวู้ดมารับผิดชอบ โคเอ็ปป์ มีผลงานเป็นที่รู้จักมากมาย Jurassic Park(1993) , Mission: Impossible (1996),Spiderman (2002) แถมพ่วงด้วย คริสโตเฟอร์ แม็คควอรี่ Edge of Tomorrow (2014) , Jack Reacher (2012) ไม่พอ ยังมี อเล็กซ์ เคิร์ตซแมน Transformers (2007) มาเสริมอีก แล้วมอบหมายหน้าที่กำกับให้ เลน ไวส์แมน ที่เคยกำกับ Live Free or Die Hard (2007) และ Total Recall (2012) มาแล้ว แต่เลนก็ลาออกกะทันหันก่อนเปิดกล้องไม่นาน ได้บัลธาซาร์ คอร์มาเคอร์ จาก Contraband (2012) มาเสียบแทนได้ไม่นานก็บ๊ายบายไปอีกเพราะทิศทางการทำงานไม่ตรงกับยูนิเวอร์แซล สุดท้ายก็เอา อเล็กซ์ เคิร์ตซแมน คนเขียนบทนี่แหละมากำกับด้วยเลย
บทของ The Mummy รอบนี้เปิดแนวทางแปลกใหม่ให้กับเรื่องราวหลายอย่าง ทั้งตัวมัมมี่ก็เปลี่ยนให้เป็นหญิงซะ และนิค มอร์ตัน พระเอกของเรื่องก็ไม่ได้เป็นนักโบราณคดีแล้ว แต่เป็นทหารอเมริกันที่ไปรบในอิรัคแต่นิคมีลำไพ่พิเศษคือการขโมยของมีค่าโบราณไปขายในตลาดมืด แล้วก็บังเอิญเจอสุสานอียิปต์ที่ดันมาอยู่ใต้เมืองเล็ก ๆ ในอิรัค ในสุสานนี้บรรจุโลงศพของอาห์มาเน็ตไว้ , นิค และ ดร.เจนนี่ แฟนสาว ช่วยกันขนย้ายโลงศพขึ้นเครื่องบินไปศึกษาที่ลอนดอน แต่ด้วยความเฮี้ยนของอาห์มาเน็ตทำให้เครื่องบินตกระหว่างขนย้าย แล้วก็เกิดปาฎิหารย์ที่ว่า นิคเสียชีวิตในเหตุเครื่องบินตกแต่กลับฟื้นคืนชีพโดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน หลังจากฟื้นขึ้นมานิค ก็เริ่มรู้สึกว่าเขามีประสาทสัมผัสเชื่อมโยงกับอาห์มาเน็ตได้
ชอบที่หนังเปิดเรื่องมาด้วยปริศนาพาให้คนดูงงเล็ก ๆ ทั้งการเปิดตัวมาอย่างลึกลับของ ดร.เจ็คเคิล การค้นพบสุสานมัมมี่โบราณทั้งที่อิรัค และ สุสานมัมมี่ของนักรบครูเสดใต้ดินในลอนดอน และเรื่องราวก็ค่อย ๆ มาเชื่อมโยงกันในช่วงกลางเรื่อง ทอม ครุยส์ ในวัย 55 หน้าเป๊ะมากยังกะ 30 กว่า ๆ มาในบท นิค มอร์ตัน พระเอกของเรื่องที่มาด้วยมาดแปลกใหม่ รอบนี้ไม่ใช่พระเอกผู้รอบรู้ประวัติศาสตร์โบราณ และเก่งเท่อย่างกับวีรบุรุษอย่างที่คุ้นตา แต่ครุยส์มาในมาดหัวขโมยจอมกะล่อน พูดจายียวน รำรวยอารมณ์ขัน แถมยังมีคริส เพื่อนคู่หูคู่ฮาที่ผลัดกันยิงมุก ซึ่งเป็นทั้งผลดีและผลเสียของหนัง ผลดีคือทำให้คนดูหัวเราะคิกคักไปกับหนังได้ตลอดเรื่อง แต่ด้วยปริมาณและจังหวะในการยิงมุกดูจะมากเกินไปสำหรับหนังแอ็คชั่น-สยองขวัญ
The Mummy นับว่าป็นหนังซัมเมอร์ที่เอาใจคนดูดีมาก กับการอัดฉากแอ็คชั่นมาถี่ ๆ แทบทุก 10 นาทีของหนัง ฉากหนีการตามล่าของอาห์มาเน็ต ฉากหนีฝูงมัมมี่ลูกสมุนไล่งับ โดยเฉพาะฉากเครื่องบินตก ถือได้ว่าเป็นฉากที่ตื่นเต้นสุดของหนังแล้ว ฉากนี้ถ่ายกันในสภาพไร้น้ำหนักกันถึง 2 วัน ทีมสตันท์แมนโดนเหวี่ยงจนอาเจียนกันไปหลายคน หลาย ๆ ครั้งที่เรากำลังได้ลุ้นกับสถานการณ์คับขันของตัวละครหนังก็แทรกมุกเข้ามาเบรค ก็นับว่าเป็นมุกที่ติดนะ ได้เสียงหัวเราะกันแต่ไอ้อารมณ์ที่ลุ้นอยู่เมื่อกี้ ก็หายไปด้วยเช่นกัน แล้วเป็นอย่างนี้กับหลาย ๆ ฉากแอ็คชั่น ซึ่งทำให้โทนหนังโดยรวมของ The Mummy 2017 ค่อนข้างเป็นมัมมี่เวอร์ชั่นอารมณ์ดี บวกกับนี่เป็นการกำกับหนังฟอร์มใหญ่ครั้งแรกของอเล็กซ์ เคิร์ตซแมน ซึ่งถือว่าคุมงานโปรดัคชั่นได้อยู่ แต่ที่อเล็กซ์ ทำไม่ได้คือการสร้างอาห์มาเน็ตให้เป็นราชินีอียิปต์ที่มีความเกรงขามน่ากลัว ตอนเปิดตัวมามัมมี่แห้ง ๆ ก็เหมือนจะน่ากลัวนะ แต่พอผ่าน ๆ ไป ความน่ากลัวก็เริ่มจะเลือนหายไป ดูแล้วเซ่อ ๆ พลาดท่าบ่อย ๆ เสียด้วยซ้ำ ทั้งที่มีอิทธิฤทธิ์มากมาย เช่นเดียวกับฉากโรแมนซ์ ที่ดูเหมือนผู้กำกับอเล็กซ์ พยายามจะชงอยู่หลายครั้ง ทั้งที่บทก็อำนวยปูทางวีรกรรมเสียสละของนิค มาดีแล้วนะ แต่ก็ยังไปไม่ถึงเช่นกัน
หนังใช้ทุนสร้างไปในระดับกลาง ๆ 125 ล้าน ซึ่งก็น่าจะหมดไปกับค่าตัว ทอม ครุยส์ กับฉากซีจีนั่นแหละ งานโปรดัคชั่นทำได้ดี สร้างฉากสุสานทั้งในอิรัค และ ลอนดอน ออกมาได้ดูลึกลับเก่าแก่สมจริง ด้วยตัวเลขระดับนี้กับการฉายทั่วโลก น่าจะทำกำไรกลับมาให้ยูนิเวอร์แซลได้สบาย ๆ และน่าจะเปิดทางให้กับ Dark Universe เรื่องถัดไปได้ โดยรวมแล้ว The Mummy 2017 เป็นหนังที่มีความสนุกพอตัว บทหนังมีความเวอร์ ๆ มีช่องโหว่อยู่ประปรายในระดับหนังฮอลลีวู้ด แต่ก็ได้ความเพลิดเพลินกับฉากแอ็คชั่นที่อัดมาต่อเนื่องผสมอารมณ์ขันบวกกับงานซีจีอลังการ พายุทรายถล่มกรุงลอนดอน ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากกว่าในตัวอย่างหนังหรอก แต่ต้องเตือนกันก่อนว่าอย่าคาดหวังอารมณ์สยองขวัญ หรือความน่ากลัวจากเรื่องนี้ก็น่าจะแฮปปี้กับหนังไปได้ หนังจบแบบปูทางต่อถึงอนาคตของตัวละครใน Dark Universe ไว้อย่างเด่นชัด หนังจบแล้วลุกได้เลยนะ ผู้กำกับอเล็กซ์ เคิร์ตซแมน บอกว่าไอ้พวกฉากหลังเอนด์เครดิตไรนั่นนะ มันเป็นไอเดียของมาร์เวล ไม่อยากทำตาม ไม่ต้องรอดูกันนะ