- Love, Death & Robots คือโปรเจ็กต์รวมทีมงานแอนิเมชั่นหลากหลายทีมชั้นนำ ที่มาทำหนังสั้นของตนเอง ขนาดความยาวตั้งแต่ 5-20 นาที ภายใต้ธีม ความรัก ความตาย และหุ่นยนต์ หรือที่ชื่อไทยใช้ กลไก หัวใจ ดับสูญ (อย่างเท่เลย)
- ผู้อำนวยการสร้างได้ ผกก. ระดับบิ๊กของฮอลลีวู้ดมาดูแลคือ เดวิด ฟินเชอร์ จาก Gone Girl และ The Social Network และ ทิม มิลเลอร์ จาก Deadpool ภาคแรก และที่กำลังจะมาอย่าง Terminator: Dark Fate ด้วย
- ทิม มิลเลอร์ มีชื่อเป็นผู้สร้างสรรค์ซีรีส์ (Creator) นี้
- ฟิลิป เจลาต เป็นผู้เขียนบทจากเนื้อหาดั้งเดิมถึง 15 เรื่องจาก 18 เรื่อง โดยเขาคือผู้เขียนบทหนังไซไฟแนว Found Footage เรื่อง Europa Report และบทเกม Rise of the Tomb Raider ซึ่งได้รับคำชมมากด้วย
- มีหนังสั้นจำนวน 18 เรื่อง ใช้เทคนิคการผลิตหลากหลายตั้งแต่ แบบลายเส้น 2 มิติแบบโอลด์สคูล จนถึงงาน 3 มิติแบบสมจริงจนแยกไม่ออก
- เนื้อหาเน้นหนักที่งานไซไฟ ซึ่งผสมผสานหลากหลายวัฒนธรรมทั้งอเมริกา จีน รัสเซีย เป็นต้น นอกจากนั้นสไตล์การเล่าเรื่องยังมีตั้งแต่ปรัชญา อินดี้ จนถึงแมสจ๋าเลย
Netflix ได้โปรเจ็กต์ที่ตื่นตาตื่นใจผู้ชมมาอยู่เสมอ ๆ ทำให้เราไม่เบื่อเลยที่จะต้องตามดูเรื่องใหม่ ๆ ที่เข้าฉาย และนี่คืออีกงานสำคัญที่ทำให้แฟนหนังไซไฟ และแฟนแอนิเมชั่น รู้สึกหัวใจพองโตขั้นสุด ยิ่งการได้รับชมตัวอย่างด้านภาพและวิช่วลของแต่ละเรื่องก็เพียงพอให้รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตาต้องรับชมจริง ๆ แล้วชื่อที่ปะเข้ามาพ่วงทั้ง เดวิด ฟินเชอร์ และ ทิม มิลเลอร์ ก็รับประกันงานคุณภาพที่เชื่อว่าไม่จบแค่ภาพสวย ดูผ่านแล้วจบไปอย่างงานแอนเมชั่นโชว์พาวเวอร์ของงานเรนเดอร์แน่ ๆ เพราะมันต้องมาพร้อมเนื้อหาที่ล้ำไม่แพ้งานภาพเช่นกัน และอีกประการคือเขา ไม่ยั้งมือไม่ติดกรอบความเป็นหนังเด็ก มันทะลวงทั้งความรุนแรงเลือดเครื่องใน และภาพหวิวชนิดเห็นขนลับชิดจอ ภาพการร่วมเพศแบบโจ่งแจ้ง ดังนั้นโดยอัตโนมัติมันนิยามแอนิเมชั่นแล้วว่าไม่ใช่แค่งานเด็ก ๆ ดูอีกต่อไป
และการชมแอนิเมชั่นแต่ละเรื่องที่จะได้เห็นเทคนิคแอนิเมทต่าง ๆ อันหลากหลายมากในยุคปัจจุบัน ทั้งยังได้เห็นการขยายขอบเขตการเล่าเรื่องไปพรมแดนใหม่ ๆ ได้อย่างตื่นตาด้วย สมควรเรียกว่าวิชาแอนิเมชั่นยุคอนาคตใหม่ 101 เลยทีเดียว
ก่อนเข้าเรื่องสั้นแต่ละเรื่องจะมีการใช้สัญลักษณ์ 3 ตัวที่ใบ้ทั้งพล็อตและสาระของเรื่องนั้น ๆ ด้วย นับเป็นการสื่อสารผ่านสัญญะที่ท้าทายการรับรู้ของผู้ชมให้เดาทางเรื่องด้วย ก็ลองเดาเอานะครับว่าแต่ละเรื่องจะเกี่ยวกับอะไร และเนื่องจากมีจำนวนตอนเยอะ เลยขอเลือกมาเล่าที่ประทับใจมาก ๆ สัก 5 ตอนครับ
Sonnie’s Edge
- ผกก. เดฟ วิลสัน คือมือวิช่วลเอฟเฟ็กต์จากหนัง Avengers: Age of Ultron และมือซีจีให้เกมดังอย่างตระกูล Star Wars: The Old Republic ด้วย
- ถูกเลือกนำเสนอเป็นเรื่องแรกต้องเป็นงานที่ผสมผสานความนิยมของผู้ชมหลายกลุ่มไว้ได้ และยังกระตุ้นเตือนให้เราพร้อมรับมือว่า จริงแล้วภาพรวมซีรีส์ชุดนี้มันจะออกมาเป็นอย่างไรด้วย มันเลยโดดเด่นทั้งงานภาพที่สวยงามสมจริง ผสานด้วยเนื้อหาแบบไซไฟจัด ๆ ว่าด้วยโลกอนาคตที่เราย้ายจิตเข้าไปควบคุมหุ่นต์หรือสัตว์ทดลองได้ แล้วมันก็ถูกนำมาใช้จัดการแข่งขันต่อสู้แบบกราดิเอเตอร์สุดโหดด้วย
- รายละเอียดมีความท้าทายแนวคิดในโลกยุคนี้ด้วยว่า ตัวเอกอาจไม่ใช่เพศชาย-เพศหญิงอีกต่อไป (แค่สาวแกร่งแบบ ซิกอร์นีย์ วีฟเวอร์ ใน Aliens มันธรรมดาไปแล้ว) ทั้งยังใช้การหักมุมที่น่าสนใจ ผ่านภาพที่ทั้งโหดรุนแรงและวาบหวิว เปิดประเด็นความเป็นหนังสำหรับเด็กโตจนถึงผู้ใหญ่ชัดเจน
- การสร้างตัวละคร ซอนนี่ เองก็น่าสนใจไม่แพ้กัน อดีตสาวสวยที่ถูกแก๊งมาเฟียจับไปลงทัณฑ์ กลับมาเพื่อล้างแค้น หากแต่ระหว่างเส้นทางสู่เป้าหมาย เธอกลับได้รับการติดต่อให้ล้มมวยในการแข่งขันนัดสำคัญ โดยเบื้องหลังการแข่งมีมาเฟียผู้ทรงอิทธิพลสนับสนุนอยู่ ว่ากันไปมันก็สามารถขยายออกเป็นหนังยาวที่ขายพล็อตไซไฟโลกอนาคตได้ไม่ต่างจาก Alita เลยทีเดียว
The Witness
- ผกก. อัลเบอร์โต้ มิเอลโก คือมืออาร์ตของหนังที่โดดเด้งมากอย่าง Corpse Bride และล่าสุดที่ได้ออสการ์ไปอย่าง Spider-Man: Into the Spider-Verse
- ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแอนิเมชั่นชุดนี้ถึงมีงานภาพและการตัดต่อที่กระแทกใจเราเป็นพิเศษ เพราะเริ่มแรกมันคืองานที่ทำมาทดสอบอาร์ตในหนังเรื่อง Spider-Man: Into the Spider-Verse ด้วย โดยตัวละครหญิงในเรื่องนี้ก็คือตัวละคร เพนนี ปาร์กเกอร์ ในหนังสไปดี้นั่นเอง
- และมันก็นำมาซึ่งการทดลองแบบที่เวิร์คมาก ๆ ในงานแอนิเมชั่นโดยผสมผสานกราฟิก 3 มิติสมจริง กับลายเส้นสายแนวคอมิกส์เข้ามา ทั้งยังการวางเรื่องให้เกิดในฮ่องกงก็ได้ภาพที่ผิดตา แสงที่ทำให้นึกถึงหนัง หว่องกาไว ในบางครั้ง รวมถึงความโหดด้านวิช่วลแบบให้เห็นขนอวัยวะเพศกันเต็มตาในโมงยามอันชวนลุ่มหลงและน่าสงสัยอยู่ในทีนั้น ร่วมกับการตัดต่อมุมกล้องสุดมันบันเทิงจิตก็กระแทกโสตประสาทผู้ชมอย่างต่อเนื่องจนต้องโน้มตัวมาชมใกล้ ๆ เลย นี่เป็นงานที่ใครสนใจแอนิเมชั่นยุคหน้า น่าจะต้องศึกษากันดี ๆ เลยครับ
- แม้เนื้อหามันจะไม่ได้หลุดไปไกลจากหนังสั้นแนวทดลองที่เคยมีมาเรื่องของความบังเอิญไปพบเหตุการณ์ฆาตรกรรมอันนำมาสู่การไล่ล่าอย่างไม่ตั้งใจ และปิดท้ายด้วยแนวคิดแบบปรัชญาโพสต์โมเดิร์นแบบที่ไม่ได้ใหม่มากนัก ทว่าเมื่อประกอบกับงานภาพและการตัดต่อที่โคตรสนุก มันเลยเป็นอีกเรื่องที่จำได้ไม่รู้ลืม
Good Hunting
- ผกก. โอลิเวอร์ โธมัส คือมือแอนิเมเตอร์จากหนัง How to Train Your Dragon และ Fantasia 2000
- การผสมผสานระหว่างภาพแอนิเมชั่น 2 มิติ กับฉากพร็อพที่เป็น 3 มิติ น่าจะเป็นความชำนาญส่วนตัวและอาจเป็นลายเซ็นของเขาด้วย และในหนังเรื่องนี้มันก้มีการผสมผสานทั้งสองอย่างบนระนามความเป็นแอนิเมชั่นลายเส้น 2 มิติอย่างกลมกลืนไม่ขัดตาอย่างใด ตอนแรกก็แอบอี๋เหมือนกันกับลายเส้นแนวอเมริกันที่วาดสไตล์เอเชียอย่างเช่นที่การ์ตูนอเมริกันชอบทำ แต่เอาเข้าจริงมันก็สะท้อนสาระสำคัญของหนังผ่านกระบวนการผลิตด้วยในตัว
- ที่ชอบมากสำหรับเรื่องนี้คือการนำเสนอเนื้อหาได้อย่างบรรเจิดมาก ครอบครัวนักล่าปีศาจปลายราชวงศ์ชิงที่เกี่ยวพันกับปีศาจจิ้งจอก 9 หางที่แปลงกายเป็นสาวงามมาหลอกล่อผู้ชาย กลับมีเนื้อในที่พลิกความเชื่อเดิม ก่อนจะพาผู้ชมผ่านยุคเปลี่ยนผ่านสู่โลกสมัยใหม่เมื่อรถไฟแบบตะวันตกเข้ามาสู่หมู่บ้านห่างไกล จากลูกชายของนักล่าปีศาจก็เปลี่ยนอาชีพมาเป็นช่างเครื่องจักรไอน้ำ ส่วนปีศาจสาวก็เสื่อมพลังตามธรรมชาติต้องเลี้ยงตนด้วยการเป็นหญิงบริการ คือมันมีการปะทะกันทางวัฒนธรรม ทางความเชื่อเก่า ทางยุคสมัย ทางบริบทสังคมอะไรหลายอย่างมาก คือพล็อตประเทืองใจมาก อยากให้ลองชมครับ
Helping Hand
- ผกก. จอน เหย่ อาจไม่ใช่มือเก๋าที่มีงานใหญ่การันตี แต่นึกดูว่าคนที่มีหนังแอนิเมชั่นขนาดสั้นมาแค่เรื่องเดียว แต่ได้รับเลือกมาทำโปรเจ็กต์คู่กับมือเก๋ามันต้องมีของไม่ธรรมดาเหมือนกันล่ะ
- นิยามของหนังเรื่องนี้คือ แอนิเมชั่นที่ออกมาตบหน้าหนังออสการ์ Gravity ของ อัลฟอนโซ กัวรอง อย่างมันมือ ด้วยเรื่องของนักบินอวกาศสาวที่ออกปฏิบัติภารกิจนอกยานเพียงลำพัง และเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้เธอหลุดจากยานลอยเคว้งออกไปเรื่อย ๆ และเธอต้องตัดสินใจแก้ปัญหาให้ทันเวลาก่อนที่จะลอยห่างจากยานเกินระยะที่มีโอกาสรอดชีวิต และเธอจะทำอย่างไรนั้นต้องไปชมครับ
Ice Age
- เรื่องนี้ ทิม มิลเลอร์ ขอลงมาทำเอามันเองสักเรื่อง ซึ่งก็บรรเจิดและได้ท้าทายหลายอย่างดีครับ
- หนังใช้เทคนิคคนแสดงร่วมกับแอนิเมชั่นแบบสมจริง ว่าด้วยสามีภรรยาที่บังเอิญพบว่าช่องแช่แข็งในตู้เย็นเก่าที่บ้านพวกเขา เกิดอารยธรรมของจุลชีพขึ้น โดยมีวิวัฒนาการเช่นเดียวกับมนุษยชาติ หากแต่เพียงเขาของเขาผ่านไปรวดเร็วมาก เพียงชั่วยามก็ผ่านยุคน้ำแข็งสู่ยุคกลางของเหล่าอัศวินแล้ว ความสนุกในการเฝ้าดูอารยธรรมขนาดจิ๋วนี้ก็เป็นที่เพลิดเพลินของตัวสามีภรรยารวมถึงพวกเราด้วยครับ แต่แน่นอนไม่ว่าจะโลกจริงหรือโลกจิ๋วมันก็หนีไม่พ้นว่าความโง่เง่าของมนุษย์นั้นไร้ขอบเขตสิ้นสุด ซึ่งเราจะได้เห็นว่าพระเจ้าอาจรู้สึกอย่างไรเวลามองลงมายังพวกเราในเวลานี้ แบบที่สองสามีภรรยาในหนังรู้สึกครับ บันเทิงดี ๆ
นอกจากนี้ยังมีตอนที่น่าสนใจอีกหลายตอนครับ ทั้ง Three Robots ที่มาแนวตลกร้ายขายคอนเซ็ปต์หน่อย ๆ เมื่อหุ่น 3 ตัวมาทัวร์โลกหลังมนุษยชาติสิ้นสูญหมดแล้ว Suits ที่ดูแล้วมันมากเหมือนหนังฮอลลีวู้ดขับหุ่นสู้กองทัพปีศาจเลยลายเส้นก็คอมิกส์มาก สนุกมากตอนหนึ่งครับ Beyond the Aquila Rift นี่ก็มาแนวหนังไซไฟปรัชญาความจริงความฝันกลางห้วงอวกาศลึก เป็นอีกตอนที่คอไซไฟน่าจะชอบครับ มีฉากร่วมรักโจ๋งครึ่มด้วยสิ 55 Shape-Shifters นี่ก็เป็นหนังท้าทายระบบคิดทหารเพื่อชาติอีกเรื่องเลยครับ เมื่อมนุษย์หมาป่าคือทหารชนชั้นสุนัขในสายตาทหารทั่วไปในสงครามตะวันออกกลาง พล็อตเจ๋งมากเรื่องหนึ่งเลย
Fish Night นี่ก็ภาพสวยมาก บรรเจิดจินตนาการสุด ๆ แอบมีความสวยหลอน ๆ นิด ๆ ด้วย Lucky 13 เป็นตอนที่รู้สึกว่าถ่ายทอดธีมของซีรีส์ได้ดี ทำให้รู้สึกเลยว่าบางทีเครื่องใช้ไฟฟ้าที่บ้านก็อาจมีหัวใจอยู่ก็เป็นได้ The Secret War ได้เห็นแอนิเมชั่นที่มีฉากในโซเวียตบ้างแปลกตาดีครับ แถมเรื่องนี้แนววีรบุรุษเลย ฮอลลีวู้ดมาก Zima Blue ตอนนี้แนวปรัชญาจ๋ามาเลย และถ่ายทอดแนวคิดของซีรีส์ได้ทึ่ง อึ้ง มาก ตอนหนึ่งเลย ลายเส้นก็มีเอกลักษณ์มากด้วยครับ
ส่วนใครชอบสายคอนเซ็ปต์แนะนำ When The Yogurt Took Over เมื่อโยเกิร์ตทรงปัญญาอาสาครองโลก และ Alternate Histories หากประวัติศาสตร์มีจุดเปลี่ยนหลายทางเลือกจะเกิดอะไรมัน ๆ ขึ้นบ้าง ทั้งฮาทั้งได้ข้อคิดทั้งสองเรื่องเช่นกันครับ
ใครเป็นสมาชิกแล้วรับชมที่นี่เลยครับ https://www.netflix.com/title/80174608