ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา จนถึงช่วงสัปดาห์นี้มีอัลบั้มออกใหม่ มาเพียบบบบมาก ทั้งทางสายเมนสตรีมและสายอินดี้ รุ่นใหญ่ รุ่นเล็ก ตะวันตกและตะวันออก ต้องบอกว่าฟังกันไม่หวาดไม่ไหวจริงๆ วันนี้ก็เลยจะมารีวิวแบบโฉบๆพอให้ได้รู้ว่ามีอัลบั้มไหน น่าสนใจอย่างไร ควรฟังมั้ยนะครับ เพื่อที่เราจะได้ไม่พลาดอัลบั้มดีๆที่น่าสนใจไป ส่วนมีอัลบั้มไหนที่เพื่อนๆได้ฟังแล้วชอบใจ แต่ตกหล่นไปเราไม่ได้เอามารีวิว ก็มาแนะนำกันได้เลยนะครับ
“False Alarm” Two Door Cinema Club
ฮ็อตสุดของสัปดาห์นี้ก็ต้องอัลบั้มนี้เลย “False Alarm” อัลบั้มชุดที่สี่จากวงทรีโอไอริช “Two Door Cinema Club” ที่หลังจากปล่อยสองซิงเกิ้ลแรกอย่าง “Talk” และ “Satellite”รวมไปถึงงาน artwork เราก็ได้รู้เลาๆแล้วว่าอัลบั้มนี้คงต้องมีอะไรใหม่ๆแน่นอน และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ในอัลบั้มนี้เหมือนทางวงไม่ได้กังวลกับความสำเร็จจากอัลบั้มก่อนๆ รวมไปถึงอัลบั้มก่อนหน้าอย่าง “Gameshow” (2016) โดยขยับพุ่งมุ่งไปอีกทางที่ท้าทายและน่าสนใจ แทร็คอย่าง “Once” “Talk” “Satellite” และ “Already Gone” น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีที่ทำให้เรามองเห็นภาพใหม่ๆ และทำให้เรารู้สึกว่าพวกเขากำลังเข้าไปสู่พรมแดนทางเสียงในแบบที่ทำให้เรานึกถึงวงอย่าง Phoenix และ Tame Impala
นอกจากนี้ยังมีศิลปินรับเชิญที่แปลกใหม่น่าสนใจนั่นคือ Mokoomba วงแอฟโฟรป็อปจากซิมบับเว ที่มาในเพลง “Satisfaction Guaranteed” และ Open Mike Eagle ศิลปินอเมริกันฮิปฮอปที่มาในเพลง “Nice to See You”
เดี๋ยวขอฟังให้ซึ้ง แล้วจะมารีวิวแบบละเอียดให้อ่านกันอีกทีนะครับ ตอนนี้เราไปฟังกันก่อนเลยดีกว่าครับ !
ฟัง “False Alarm”
“Black Mirror: Smithereens” Ryuichi Sakamoto
อัลบั้มเพลงประกอบซีรีย์ EP ที่สองของซีรีย์แนวลึกลับ ไซไฟจาก Netflix “Black Mirror” ที่มาถึงซีซั่นที่ 5 แล้วซึ่งใน EP นี้กำลังวิพากษ์สิ่งที่โลกโซเชียลส่งผลกระทบต่อคนในทุกวันนี้ โดยเล่าเรื่องผ่านพี่แท็กซี่ที่เป็นสมาชิก app แบบเหมือน grab uber อะไรประมาณนี้ ที่วันนึงเกิดสติแตก ทำเรื่องบ้าบอขึ้นมาจนพาเราไปไกลโลดเลย ถามว่าเพลงของซากาโมโต้มาทำอะไรในเรื่องนี้ หนึ่งเลยก็คือ เป็นเพลงแนวทำสมาธิหรือแนวเซนที่ตัวเอกของเรื่องชอบฟัง (เพลงแนวที่เราชอบเอาไว้ใช้ช่วยทำให้สงบจิตสงบใจนั่นล่ะ) ลองฟังแทร็คแรก “Meditation App” แล้วจะอ๋อเลย ส่วนเพลงอื่นๆก็จะมาเสริมส่งหนังตามแต่ละจังหวะในเรื่องด้วยซาวด์อิเล็คทรอนิคส์ แอมเบียนต์ และซินธิไซเซอร์สไตล์ ลองฟังไปพร้อมกับดูซีรีย์ก่อน คิดว่าน่าจะเหมาะสมที่สุด เพราะเพลงถุกแต่งมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
ฟัง “Black Mirror: Smithereens”
“834.194” Sakanaction
นี่ก็เป็นอีกวงจากญี่ปุ่นที่ไม่ควรพลาด ยิ่งใครชอบทางอิเล็คโทรป็อปสายเจก็ต้องวงนี้เลย
ส่วนใครที่เป็นแฟนวงอยู่แล้วก็คงสาแก่ใจเลยงานนี้ เพราะว่าวงไม่ได้ออกอัลบั้มมา 6 ปีแล้ว กลับมาคราวนี้ก็เลยมาแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย เหมือนอัดอั้นเลยเก็บเพลงมาจนสามารถออกเป็นอัลบั้มคู่ได้ ซึ่งมีทั้งเพลงที่ปล่อยเป็นซิงเกิ้ลมาตั้งแต่ปี 2013 อย่าง “Shin Takarajima,” “Tabun, Kaze.,” “Kagero,” “Good-bye” “Eureka,” “Sayonara wa Emotion,” และ “Hasu no Hana.” แล้วก็เพลงใหม่อีกเพียบ ส่วนชื่ออัลบั้ม “834.194”(ชื่อเพลงของ Bodyslam “149.6” ว่าล้ำแล้วนี่ดูเหมือนจะล้ำกว่า) ทางวงยังไม่ได้บอกว่ามาจากอะไร แต่ก็ทำเก๋ให้แฟนๆทายกันและบอกว่า จะกระจ่างเองหากติดตามทัวร์คอนเสิร์ตของวงและข้อมูลต่างๆในเว็บไซต์พิเศษ (ซึ่ง 834 นี่น่าจะหมายถึงระยะทางจากฮอกไกโดมาถึงโตเกียว จากบ้านเกิดมาสู่เมืองแจ้งเกิด ส่วน 194 นี่ยังไม่แน่ใจใครรู้ช่วยบอกที)
อย่างที่บอกว่ามันเก็บมาเรื่อยๆเป็นระยะเวลากว่า 6 ปีจึงทำให้งานเพลงแบ่งออกเป็นสองขั้วคือขั้วเก่ากับขั้วใหม่ ไอ้ที่น่าสนใจก็คือขั้วใหม่ ที่ใส่พัฒนาการไปมากมาย หลายเพลงนี่สายลึกมากไม่แมสเท่าไหร่เลย แต่น่าประทับใจมาก เชื้อเชิญให้เราฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อซึมซับกับมันได้เต็มที่ ซึ่งพอออกมาแบบนี้ก็ต้องบอกว่ามันเป็นอัลบั้มที่มีความสมบูรณ์จริงๆ
ส่วนใครที่อยากสนับสนุนสั่งซื้อแผ่นเวอร์ชั่นพิเศษก็จะได้ชมฟุตเทจไลฟ์ความยาว 130 นาทีจากคอนเสิร์ตครบรอบ 10 ปีของวงด้วยนะ มาแกรนด์แบบนี้ไม่ฟังกันได้ไง ว่าแล้วก็จัดไปครับ
ฟัง “834.194”
“Madame X” Madonna
เอาล่ะเหวยแม่มา !!! ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวแม่ ใครเป็นแฟนๆก็ยังไงต้องฟัง สำหรับ “Madame X” ที่ X ไม่ได้หมายความว่าเลข 10 โรมัน เพราะอัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มที่14 ต้อนรับวัย 37 ของมาดอนน่า (ลองเอาเลขไปซื้อล็อตเตอรี่ได้ อาจมีโชคขึ้นมา) ไปอ่านรีวิวที่ไหน ใครบอกไม่ดียังไงไม่ต้องสนใจ เพราะอัลบั้มนี้อย่างไรก็มีความแปลกใหม่อยู่ กับ 13 แทร็ค (15 แทร็คสำหรับ deluxe edition) ที่ได้รับอิทธิพลจากดนตรีละตินและแอฟริกันมาพอสมควร ถามว่าได้มาจากไหนก็คงเป็นในช่วงที่มาดอนน่าไปอาศัยอยู่ในลิสบอน โปรตุเกสนั่นล่ะ อยู่ไหนอิทธิพลทางวัฒนธรรมของที่นั่นมันก็จะเข้ามาเอง เพราะฉะนั้นเราก็จะได้ฟังเพลงแบบมาดอนน่าที่มีจังหวะกลองแบบแอฟริกัน กรู๊ฟแบบละติน ผสมไปกับซาวด์แบบนิวยอร์คคลับและเพลงบัลลาดเพราะๆ ภายใต้ธีมของอัลบั้มที่เป็นการสะท้อนตัวตนภายในและการค้นพบความรักในตนเองและผู้อื่น อย่ารอช้าไปฟังกันเลยนะครับ !
ฟัง “Madame X”
“Goin’ 50” ZZ Top
วงก่อตั้งในปี 1969 เพราฉะนั้นในปี 2019 นี้วงก็มีอายุครบ 50 ปีพอดี ครึ่งศตวรรษแล้ว ถือว่าเป็นปีที่สวยงามก็เลยต้องออกอัลับ้มครบรอบ 50 ปีของวงกันเสียหน่อย เพื่อธีมมา 50 ก็เลยต้องทำอะไรที่ 50 วงก็เลบรวบรวมเพลงจากทั้งหมด 15 สตูดิโออัลบั้มคัดมารวมกันให้เป็น 50 เพลงซึ่งในรวมเพลงโบนัสแทร็ค “Salt Lick” และ”Miller’s Farm” เข้าไปด้วย เป็นอัลบั้มรวมเพลงที่สมศักดิ์ศรีวงบลูส์ร็อครุ่นใหญ่วงนี้ “ZZTOP” !!!
ฟัง “Goin’ 50”
“Western Stars” Bruce Springsteen
นี่ก็รุ่นใหญ่อีกคน ป๋า Bruce Springsteen ที่เข็นอัลบั้มที่ 19 ออกมาในวัย 69 ย่าง 70 ที่ยังไงก็ยังดูเท่อยู่เสมอ Western Stars เป็นอัลบั้มแรกในรอบห้าปีของป๋า ที่จะพาเรากลับไปสัมผัสกับดนตรีในยุคที่ป๋ารุ่งเรือง ฟูเฟื่อง กับแคลิฟอร์เนียซาวด์ที่หวาน สด ฉ่ำ ร็อค แบบดนตรี adult-contemporary (เพลงป็อปยอดฮิตในวิทยุยุคนั้น ว่ากันง่ายๆก็คือเพลง pop rock soft rock ในยุค 60,70 ที่มีกลิ่นอายทางดนตรีหลากหลายเข้ามาผสมผสานบ้างนิดๆหน่อยๆพออร่อยหูนั่นล่ะ) หลายสำนักยกย่องให้อัลบั้มนี้เป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่ดีที่สุดของป๋าบรู๊ซและเชื่อว่าหลายเพลงในอัลบั้มนี้ไม่แน่อาจกลายเป็นเพลงคลาสสิคของป๋าในไม่ช้า
ฟัง “Western Stars”
“Africa Speaks” Carlos Santana
อัลบั้มชุดล่าสุดจาก ราชาละตินร็อค “คาลอส ซานตาน่า” ที่กลับมาพร้อมพลังงานอันสดใหม่ใน “Africa Speaks” ได้ศิลปินแอฟโฟร อเมริกัน “Buika” มาร่วมงานด้วยนอกจากนี้ยังโปรดิวซ์โดยโปรดิวเซอร์ระดับตำนานวัย 56 ปี ริค รูบิน (Rick Rubin) ที่เคยสร้างผลงานสุดเนี้ยบให้กับศิลปินชื่อดังหลากรุ่น หลายวัยมาอย่างยาวนานอาทิ เอ็ด ชีแรน , AC/DC , Adele, Aerosmith, Johnny Cash , The Smashing Pumpkins , Metallica , Lana Del Rey และอีกมากมาย
งานเพลงชุดนี้ ซานตาน่ามาพร้อมกับวงแปดชิ้นของเขาซึ่งในนี้มีภรรยาของเขา Cindy Blackman Santana เล่นกลองอยู่ด้วย โดยบันทึกเสียงกันที่แชงกรีล่าสตูดิโอของรูบินในมาลีบูพวกเขาใช้เวลาทั้งหมด 10 วันร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานชิ้นเยี่ยมชิ้นนี้ หลายเพลงในอัลบั้มเกิดขึ้นจากการเล่นเพียงเทคเดียว ผลงานเพลงในอัลบั้มนี้ได้รับแรงบันดาลใจทั้งในด้านเมโลดี้ซาวด์และท่วงทำนองจากดนตรีแอฟริกัน
ฟัง “Africa Speaks”
“Doom Days” Bastille
สิ่งที่บาสติลทำเสมอในงานเพลงของพวกเขาก็คือการหยิบจับช่วงที่มืดหม่น มืดมิดในชีวิต รวมไปถึงประวัติศาสตร์โบราณ การเมือง รวมไปถึงความวุ่นวายทั้งหลายในโลกภายนอกมาหลอมรวมสร้างเป็นโลกใบหนึ่งและถ่ายทอดมันออกมาผ่านงานเพลงป็อปที่มีพลังและแฝงไว้ด้วยความหวัง ไม่ว่าจะในสองอัลบั้มแรกอย่าง “Bad Blood” และ “Wild World”จนมาถึงอัลบั้มที่สาม “Doom Days” ก็ดูเหมือนว่าพวกเขายังจะมุ่งหน้าไปทางนั้น (ดูจากการตั้งชื่ออัลบั้มก็มีความคล้ายคลึงกัน) ราวกับเป็นภาคที่สาม ของภาพยนตร์ไตรภาค (หรืออาจจะมีภาคต่อมากกว่านั้น)
ในอัลบั้มนี้งานเพลงของลาสติลก็ยังมีพลังอยู่เหมือนเคย แต่มาภายใต้ธีม “ค่ำคืนแห่งปาร์ตี้ที่มีสีสัน” และ “การหลบลี้ ความหวัง และความสัมพันธ์อันแนบแน่น” และตามคอนเซ็ปต์ของวงมันยังฉายฉานภาพของโลกใบหนึ่งให้เราได้เห็น แต่สำหรับ “Doom Days” มันคือภาพที่ไม่แตกต่างจากโลกที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน และนั่นทำให้มันยิ่งน่าสนใจ
ฟัง “Doom Days”
“Jeanines” Jeanines
ไปค้นพบวงนี้ใน bandcamp และกด wishlist ไว้นานแล้วว่าจะต้องฟังให้ได้ ในที่สุดอัลบั้มเต็มๆก็ออกมาเสียที สาแก่ใจล่ะทีนี้
Jeanines คือวงอินดี้ป็อปแห่ง พ.ศ.นี้ ( มีสมาชิกสองคนคือ Alicia Jeanine (กีตาร์ ร้องนำ)และ Jed Smith (เบส/กลอง) ที่ทำเพลงแนว surf rock ของพ.ศ.นั้น (คือยุค 60) ซึ่งให้นิยามตนว่าเป็น DIY Indie Pop ที่มาพร้อมท่วงทำนองน่ารักสดใส กับท่วงทำนองที่กระชุ่มกระชวย ที่พร้อมจะเปลี่ยนวันทั้งหลายในสัปดาห์ของคุณให้เป็นวันใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยพลังของการเริ่มต้น ถ้าอยากสดใส ใจเบิกบานล่ะก็กดฟังซะ !
ฟัง “Jeanines”
“Morningside” Swimming Tapes
อัลบั้มนี้เพราะมากๆ เป็นอัลบั้มแรกของวงอินดี้ป็อปจากลอนดอน “Swimming Tapes” ส่วนงานเพลงข้างในก็สว่างสดใส เหมือนชื่ออัลบั้ม “Morningside” เลย เพลงของวงนี้เป็นอินดี้ป็อปที่มีท่วงทำนองสดใส สว่างเริง แต่ไม่รวดเร็ว เร่าร้อน หากไปแบบสบายๆ ล่องลอย และฟุ้งฝัน ไปด้วยจังหวะที่ชวนเราโยกไปเบาๆกับไลน์กีตาร์กรุ้งกริ้งเท่ๆ ที่โดดเด่นด้วยการคิดไลน์ประสานระหว่างกีตาร์สองตัวได้อย่างลงตัวมากๆ หากใครชอบวงในแนวนี้อย่าง Real Estate ก็น่าจะชอบวงนี้แน่นอน
ของดีไม่ต้องขายเยอะ ฟังโลด+++
ฟัง “Morningside”
อัลบั้มอื่นๆที่น่าสนใจ
อัลบั้มใหม่จากวงอินดี้จากลอนดอน “Vanishing Twin” ที่มาพร้อมดนตรีเรโทร 60,70 ไซคีเดลิคป็อป เป็นท่วงทำนองที่มีความไพเราะ เมโลดี้สวย แต่แฝงไว้ด้วยความลึกลับซ่อนเร้นอันเปี่ยมเสน่ห์ รวมไปถึงการทดลองและใส่ลูกเล่นที่ท้าทายทั้งหลายลงไปในบทเพลงด้วย ทำให้ “Vanishing Twin” เป็นอีกหนึ่งวงที่เราปักหมุดไว้เลยว่าออกลงานใหม่เมื่อไหร่จะไม่ยอมพลาดแน่นอน
ฟัง “The Age of Immunology”
“Jinx” Crumb
อัลบั้มเปิดตัวของวงอินดี้จากบรู๊คลิน นิวยอร์ค “Crumb” ที่เป็นอีกหนึ่งวงของสัปดาห์นี้ที่มาพร้อมแนวดนตรี ไซคีเดลิคป็อป แต่งานของ Crumb นั้นจะผสานไว้กลิ่นอายของดนตรีแจ๊ซด้วย ให้ความรู้สึกที่ลึกลับ ชุ่มฉ่ำและเซ็กซี่ไปในทีเดียวกัน ยิ่งนักร้องนำเป็นผู้หญิงด้วยยิ่งชวนให้นึกถึง The Marias เลย
ฟัง “Jinx”
“Shepherd in a Sheepskin Vest” Bill Callahan
อัลบั้มชุดที่ 16 ที่จัดมาเต็มๆ 20 เพลง จากนักร้องนักแต่งเพลงชาวอเมริกันวัย 53 ที่ก่อนนี้ทำงานในชื่อวง Smog ออกมา 11 อัลบั้ม เพราะฉะนั้นอีก 5 อัลบั้มรวมอัลบั้มนี้ด้วยออกภายใต้ชื่อ Bill Callahan งานเพลงของบิล จะมาพร้อมความง่วงซึม เอ้ย ! มาพร้อมความเนิบนิ่ง แต่ดิ่งลึกให้ห้วงความรู้สึก เหมือนเป็น Leonard Cohen ที่มาพร้อมกับงานแนว lo-fi อันเดอร์กราวด์ร็อค และอัลเทอร์เนทีฟคันทรี่ และเสียงร้องที่ทุ่มนุ่มสม่ำเสมอชี้ชวนให้ใคร่ครวญในสิ่งที่เขาร้องออกมา มีเพลงนึงชื่อ “The Ballad of the Hulk” ที่มีการพูดถึงดร.บรู๊ซ แบนเนอร์ กับเดอะ ฮัล์ค ด้วยถือว่าเป็นหนึ่งไฮไลท์ของอัลบั้มเลยอยากให้ลองฟังกันดูครับ
ฟัง “Shepherd in a Sheepskin Vest”
“Years to Burn” Calexico and Iron & Wine
หลังจากที่ได้ร่วมงานกันไปเมื่อปี 2005 กับ In the Reins EP คราวนี้ Calexico วงอินดี้ร็อคจาก Tucson และ Iron and Wind นักร้องนักแต่งเพลงแนวอินดี้โฟล์ค (ที่เคยมาเล่นคอนเสิร์ตในบ้านเราไปเมื่อไม่นานนี้) ก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้งใน “Years to Burn” ที่ต้องบอกว่าคุ้มค่ากับการรอคอยมากๆ กับเพลงที่มีท่วงทำนองอันไพเราะ เสียงร้องที่ชวนเคลิบเคล้ม เป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวในเอกลักษณ์ของ Calexico และ Iron & Wind ออกมาเป็นเพลงแนวอินดี้ร็อค อินดี้โฟล์คที่งดงามยิ่ง.
ฟัง “Years to Burn”