Will Smith คือเจ้าพ่อหนังทำเงินที่สุดคนหนึ่งโดยเฉพาะในยุค 90 ต่อเนื่องมาถึงยุคก่อนปี 2010 เรื่องไหนเรื่องนั้น มักจะดังถ้าได้ชื่อของเขาไปพะยี่ห้อการันตีความสนุกของหนังจนคนดูเชื่อใจ ตีตั๋วเข้าโรงเสมอ จนกระทั่งมาหลัง ๆ นี่เอง ที่หนังของเขาไม่ประสบความสำเร็จทางรายได้มากขึ้น ส่งผลให้บารมีของการเป็นดาราค่าตัวแพงลดลงไปบ้าง แต่ถ้าไม่มองในแง่ร้ายเกินไป หนังที่ไม่ค่อยได้เงินของ Smith บางเรื่องก็สนุกน้อยลง ไม่ถึงกับไม่สนุกเลย
ในสุดสัปดาห์นี้ของบ้านเรา Will Smith กำลังจะมีหนัง Gemini Man เข้าฉาย ซึ่งเป็นอีกครั้งของการปฏิวัติวิธีการถ่ายทำภาพยนตร์ให้ภาพคมชัดเสมือนจริงมากที่สุดที่โลกเคยมีมากับระบบ HFR 3D+ และในปีหน้า 2020 เขาก็จะกลับมาในหนังภาคต่อที่ห่างหายไปถึง 17 ปี กับ Bad Boys 3 (Bad Boys for Life) และภาค 4 ที่จะตามมาติด ๆ เพราะอยู่ระหว่างการถ่ายทำในตอนนี้ รวมถึงหนังแฟนตาซีโลกเทพนิยายสร้างโดย Netflix เรื่อง Bright ที่แม้ไม่มีการบันทึกรายได้อย่างเป็นทางการ แต่จากจำนวนผู้ชมทั่วโลกที่ดูจำนวนมาก ก็ทำให้หนังฮิตจน Netflix ประกาศสร้างภาค 2 ในเร็ว ๆ นี้
แต่กว่าจะถึงวันนั้นที่ตารางหนังทำเงินของเขาอาจมีอันดับที่เปลี่ยนแปลงไป What The Fact จะชวนคุณย้อนเวลาไปดู 10 อันดับหนังทำเงินของ Will Smith ซึ่งเชื่อว่าหลายเรื่องคงเป็นหนังโปรดในดวงใจของหลาย ๆ คนแน่นอน
อันดับ 10: Bad Boys II (2003)
ผลงานแจ้งเกิดของผู้กำกับสายระเบิดภูเขาเผากระท่อม เอฟเฟกต์จัดเต็มอย่าง Michael Bay ที่กำลังจะมีภาค 3 และ 4 ตามมาในปีหน้า Will Smith จับคู่กับดาราตลกที่มีหนังฮิตหลายเรื่องเหมือนกันในช่วงเวลาที่ภาค 1 และ 2 ออกฉายอย่าง Martin Lawrence (Big Momma’s House, Wild Hogs) หนังคู่หูตำรวจที่บู๊ไปโวยวายไป กึ่ง ๆ จะแรปบทสนทนากันอยู่แล้ว ทำรายได้ในสหรัฐฯ สำหรับภาคแรกที่ออกฉายในปี 1995 ไป 66 ล้านเหรียญฯ (รายรับรวมทั่วโลก 141 ล้านเหรียญฯ) จากทุนสร้างแค่ 19 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น ภาค 2 จึงตามมาโกยเงินอย่างไว ทำรายได้ในสหรัฐฯไป 139 ล้านเหรียญฯ (รายรับรวมทั่วโลก 273 ล้านเหรียญฯ) แม้ว่าทุนสร้างจะขยับขึ้นจากเดิมมาเยอะที่ 130 ล้านเหรียญฯ
อันดับ 9: I, Robot (2004)
นักแสดงที่เคยเกือบจะมีหนัง Sci-Fi ฮิต ๆ ในเครดิตอย่างไตรภาค The Matrix ถ้าไม่เลือกไปเล่นหนังอย่าง Wild Wild West (1999) ได้เข้าไปนำแสดงในผลงานหนัง Sci-Fi อีกเรื่อง ที่สร้างจากนิยายขายดีของ Issac Asimov นักเขียนนิยายแนววิทยาศาสตร์ Will Smith รับบทเป็น Spooner ตำรวจในโลกอนาคต ที่ต้องมาสืบหาสาเหตุการตายของเจ้าของบริษัทผลิตหุ่นยนต์ บริษัทกำลังออกจำหน่ายหุ่นรุ่นใหม่ไปเป็นผู้รับใช้ตามบ้าน ซึ่งหุ่นตัวหนึ่งดันเกิดมีสมองคิดเองและอาจอยู่เบื้องหลังการตายของเจ้าของบริษัทนี้เอง ผลงานกำกับของ Alex Proyas (The Crow, Knowing) ที่มี Shia LaBeouf ตอนยังไม่ดังมากร่วมแสดงเรื่องนี้ ทำรายได้ในสหรัฐฯ ไป 145 ล้านเหรียญฯ (รายรับรวมทั่วโลก 347 ล้านเหรียญฯ) จากทุนสร้าง 120 ล้านเหรียญฯ
อันดับ 8: The Pursuit of Happyness (2006)
นอกจากหนังแอ็กชันหรือหนังพอปคอร์นแล้ว Will Smith ก็เอาดีกับหนังดรามาขายการแสดงอยู่บ้างเหมือนกัน อย่างเรื่องนี้ที่เขาร่วมเล่นกับลูกชายแท้ ๆ อย่าง Jaden Smith (และเป็นป๋าดันกลาย ๆ ที่ดันไม่สำเร็จกับเรื่อง After Earth (2013) กลายเป็นหนึ่งในหนังที่ล้มเหลวมากที่สุดของ Smith) ความสำเร็จของเขาในเรื่องนี้นอกจากจะติด 1 ใน 10 อันดับหนังทำเงินแล้ว Smith ยังถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งที่ 2 (ครั้งแรกกับการรับบทเป็นนักมวยชื่อดังมูฮัมมัด อาลี ใน Ali (2001)) จากบทคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ต้องต่อสู้ฟันฝ่ากับปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ในการดำเนินชีวิต หนังทำเงินในสหรัฐฯ ไป 164 ล้านเหรียญฯ (รายรับรวมทั่วโลก 307 ล้านเหรียญฯ) จากทุนสร้างแค่ 55 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น ผู้กำกับ Gabriele Muccino ชาวอิตาเลียนที่กำกับเรื่องนี้ ยังโคจรมาเจอกับ Smith ในหนังดรามาอีกเรื่องอย่าง Seven Pounds (2008) ด้วย
อันดับ 7: Hitch (2005)
การเป็นนักแสดงที่เล่นหนังได้ทุกแนว อาจเป็นคุณสมบัติของดาราหนังทำเงิน ไม่เว้นแม้แต่ Will Smith ในหนังโรแมนติกคอมเมดี้ที่เขาก็เล่นได้ดีและมีหนังทำเงินอยู่ไม่น้อย แต่หนังแนวนี้ที่ทำเงินสูงสุดของเขาก็คือ Hitch ที่เป็นชื่อของตัวละครนำ Hitch คือ นักรักและนักจับคู่ที่เก่งนักกับเรื่องของคู่อื่น แต่มาตกม้าตายเอากับเรื่องของตัวเอง เมื่อตกหลุมรักสาวสวยที่รับบทโดยนักแสดงอย่าง Eva Mendes หนังทำรายได้ในสหรัฐฯ ไป 179 ล้านเหรียญฯ (รายรับรวมทั่วโลก 368 ล้านเหรียญฯ) จากทุนสร้าง 70 ล้านเหรียญฯ
อันดับ 6: Hancock (2008)
นอกจาก Suicide Squad ที่เป็นหนังรวมซูเปอร์ฮีโรวายร้ายของฝั่ง DC แล้ว ก่อนหน้านั้น Smith ก็เคยมีหนังฮีโรหัวขบถแบบหนังนำเดี่ยวไม่ต้องพึ่งฮีโรคนอื่นเลยมาก่อน และก็เป็นฮีโรที่ไม่ต้องแคร์ว่า จะมาจากสังกัดค่ายหนังสือการ์ตูนใหญ่ ๆ ค่ายไหนด้วย (เป็นหนังที่พัฒนาจากบทดั้งเดิมของตัวเองล้วน ๆ) Smith ประกบนักแสดงนำหญิงตัวแม่อย่าง Charlize Theron ในหนังของผู้กำกับ Peter Berg (Lone Survivor, Patriots Day) ซึ่งกับ Hancock ก็ได้เป็นผลงานทำเงินสูงสุดในเครดิตงานกำกับของเขา หนังทำรายได้ในสหรัฐฯ ไปถึง 228 ล้านเหรียญฯ (รายรับรวมทั่วโลก 624 ล้านเหรียญฯ) จากทุนสร้างที่สูงถึง 150 ล้านเหรียญฯ (ทุนสูงแต่กำไรงาม)
อันดับ 5: Men in Black (1997)
หนังคู่หูพิทักษ์โลกมนุษย์ที่มีเหล่าเอเลียนทั้งดีและร้ายแฝงตัวอยู่ Will Smith ประกบคู่กับนักแสดงฝีมือฉกาจอย่าง Tommy Lee Jones ที่มารับบทเป็นคู่หูต่างวัยกับบทตลกหน้าตาย ในภาคแรกออกฉายปี 1997 และภาคสองในปี 2002 ก่อนที่ภาคสามจะเปลี่ยนผู้รับบทเอเจนต์เคของ Jones มาเป็น Josh Brolin เพราะเรื่องราวในเรื่องเป็นการย้อนเวลาไปในอดีตของเอเจนต์เจ การรีบูตแฟรนไชส์นี้ประสบความล้มเหลวกับภาคล่าสุด International ในปีนี้ ที่ได้ Christ Hemsworth มารับบทนำ ซึ่งก็เป็นไปได้ว่า เพราะไม่มี Will Smith ก็ไม่ใช่ Men in Black ของแท้นั่นเอง ภาคแรกหนังทำรายได้ในสหรัฐฯ ไปแบบฮิตถล่มทลาย ถึง 251 ล้านเหรียญฯ (รายรับรวมทั่วโลก 589 ล้านเหรียญฯ) จากทุนสร้างแค่ 90 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น และหากนับทั้ง 3 ภาคที่ Smith นำแสดง ก็ทำรายได้ในสหรัฐฯ ไป 624 ล้านเหรียญฯ (รายรับรวมทั่วโลก 1,658 ล้านเหรียญฯ) จากทุนสร้างรวม 3 ภาค เพียงแค่ 455 ล้านเหรียญฯ
อันดับ 4: I Am Legend (2007)
หนังที่ประสบความสำเร็จด้วยพลังบารมีของ Will Smith อย่างแท้จริง เพราะนี่คือหนังนำเดี่ยว แบบที่ในเรื่องไม่มีดาราที่มีชื่อเสียงอื่นอีกเลยนอกจากเขา (และน้องหมาอัลเซเชียน) กับเอฟเฟกต์ซอมบี้ที่ค่อนข้างปลอมและไม่เนียนไปแล้ว เมื่อเอาหนังมานั่งดูในวันนี้ Will Smith รับบทเป็นมนุษย์คนท้าย ๆ ของโลกที่ยังหลงเหลือรอดชีวิตอยู่ หลังจากไวรัสเปลี่ยนคนเป็นซอมบี้จนหมดโลก ในช่วงที่หนัง World War Z เข้าฉายจนประสบความสำเร็จ เคยมีข่าวว่าจะมีการสร้างภาคต้นของ I Am Legend ออกมา (ช่วงเหตุการณ์ที่ตัวละครของ Smith สูญเสียครอบครัวจากเหตุไวรัสเริ่มระบาด) แต่จนถึงตอนนี้ทั้งภาคต้น และภาคต่อของ World War Z ก็เป็นหมันไปแล้วทั้งคู่อย่างน่าเสียดาย หนังทำรายได้ในสหรัฐฯ ไป 256 ล้านเหรียญฯ (รายรับรวมทั่วโลก 585 ล้านเหรียญฯ) จากทุนสร้าง 150 ล้านเหรียญฯ และทำให้ผู้กำกับ Francis Lawrence ถูกเลือกมากำกับ The Hunger Games 3 ภาคสุดท้าย
อันดับ 3: Independence Day (1996)
หนังที่เป็นการตัดสายสะดือแจ้งเกิด Smith กับแฟนหนังทั่วโลกทุกชาติทุกภาษาอย่างเป็นทางการ หนังเอเลียนบุกโลกแห่งยุค 90s Will Smith รับบทเป็นหนึ่งในตัวละครหลักที่แทบจะขโมยหนังทั้งเรื่องไปเป็นของเขา กับบทกัปตันสตีเวน ฮิลเลอร์ ที่ขับยานบินเอเลียนเข้าไปลุยกับยานแม่พร้อมกับนักแสดง Jeff Goldblum ผู้กำกับ Roland Emmerich ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เมื่อไม่นานนี้ ถึงความล้มเหลวของภาค 2 ที่ออกฉาย 20 ปีให้หลังว่า ความผิดพลาดเดียวของเขาคือการที่ไม่ได้ Will Smith กลับมาเล่นแล้วยังดันทุรังสร้างต่อ เพราะความสำเร็จของ ID4 นั้นแทบจะเกิดขึ้นเพราะ Smith คนเดียวล้วน ๆ หนังทำรายได้ในสหรัฐไป 306 ล้านเหรียญฯ (รายรับรวมทั่วโลก 817 ล้านเหรียญฯ ที่หากปรับอัตราค่าเงินเป็นในปัจจุบันก็คงเกิน 1 พันล้านเหรียญฯ แน่ๆ) จากทุนสร้างแค่ 75 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น
อันดับ 2: Suicide Squad (2016)
หนังรวมดาววายร้ายจากฟากฝั่ง DC ที่เสียงวิจารณ์กึ่งดีกึ่งร้ายเรื่องนี้ อาจพูดได้ไม่เต็มปากว่าประสบความสำเร็จในระดับไม่ขายหน้าหนังตระกูลซูเปอร์ฮีโรเรื่องอื่น ๆ เพราะ Will Smith หรือไม่ เพราะอยู่ในช่วงทีเขากำลังกระแสตก (อาจต้องพูดว่า Will Smith มาเกาะกระแสหนังฮีโร DC มากกว่า) หนังอุดมไปด้วยนักแสดงชั้นนำ (แต่ Smith ก็ดังสุดในเรื่องอยู่ดี) หนังกำลังจะมีการรีบูตล้างไพ่กันใหม่ กับภาค 2 ที่ใช้ชื่อว่า The Suicide Squad กำกับโดย James Gunn (Guardian of the Galaxy 1&2) แต่ตัวละครเดิมจากภาคแรกบางตัวจะกลับมา ข่าวในทีแรกนั้นนักแสดง Idris Elba จะมารับบท Deadshot ที่ Smith เคยเล่นไว้ในภาคแรก แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนให้ Elba ไปเล่นเป็นตัวละครอื่นแทน เพื่อเปิดโอกาสเผื่อ Smith จะกลับมาเล่นในภาคอื่น ๆ หลังจากนี้ หนังทำรายได้ในสหรัฐฯ ไป 325 ล้านเหรียญฯ (อันดับ 4 ในหนังของ DC Universe) (รายรับรวมทั่วโลก 747 ล้านเหรียญฯ) จากทุนสร้าง 175 ล้านเหรียญ
อันดับ 1: Aladdin (2019)
แซงขึ้นอันดับ 1 หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลของ Will Smith ในปีนี้ ไม่ใช่หนังแอ็กชัน ไม่ใช่หนังแฟรนไชส์ แต่เป็นหนังฉบับคนแสดงของ Disney อย่าง Aladdin ที่ Will Smith มารับบทเป็นยักสีฟ้าจีนี หนังที่เคยถูกคาดการณ์ว่า จะกลายเป็นความล้มเหลวอย่างมโหฬารครั้งแรกของ Disney ที่มีกับโครงการหนังเทพนิยายฉบับ live action จากการเลือกใช้นักแสดงหลักคนอื่น ๆ นอกจาก Smith เป็นดาราโนเนม เช่นผู้รับบทอะลาดินหรือเจ้าหญิงจัสมิน Smith ก็ดูไม่ใช่จีนีในภาพที่ทุกคนเคยจดจำได้จากฉบับการ์ตูน ท้ายที่สุด กลายเป็นหนังฮิตระเบิด Smith วาดลวดลายทั้งร้องทั้งเต้นได้อย่างสนุกสนานและน่าประทับใจ หนังทำเงินในสหรัฐฯ ไปถึง 356 ล้านเหรียญฯ (รายรับรวมทั่วโลก 1.05 พันล้านเหรียญฯ) จากทุนสร้าง 183 ล้านเหรียญฯ และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สตูดิโอ Disney ทำรายได้รวมทั่วโลกสูงที่สุดตลอดกาลของค่ายหนังสักค่ายเท่าที่เคยมีมาไปเป็นที่เรียบร้อย
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส