การกลับมาหน 2 หนังยาว 2 ชั่วโมง 31 นาที

Wonder Woman (2017) เป็นหนังซูเปอร์ฮีโรหญิงที่ทำรายรับรวมทั่วโลกไป 812 ล้านเหรียญฯ สูงสุดในการเป็นหนังฮีโรหญิง ก่อนจะถูกโค่นโดย Captain Marvel (2019) ที่ทำรายได้ทั่วโลกไป 1,128 ล้านเหรียญฯ แต่ถ้าวัดกันที่รายได้เฉพาะในสหรัฐฯ ก็ถือว่าสูสี เพราะ Wonder Woman ทำไป 412 ล้านเหรียญฯ ส่วน Captain Marvel นั้นอยู่ที่ 426 ล้านเหรียญฯ

อย่างไรก็ตาม Wonder Woman ถือเป็นหนังที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของจักรวาลหนังซูเปอร์ฮีโรของ ดีซีที่หลังจากลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาหลายเรื่อง หนังแยกเดี่ยวก็ลงตัวทั้งความชอบจากแฟน ๆ และคอหนังทั่วไป ได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดีจนหนังฮีโรของดีซีหลังจากนั้น แยกย้ายเดินเดี่ยวแบบไม่เกี่ยวข้องกันกับเรื่องอื่น ๆ (นำมาซึ่ง Aquaman (2018) และ Joker (2019) ในเวลาต่อมาที่ต่างประสบความสำเร็จเป็นหนังพันล้านเหรียญฯ ทั่วโลกทั้งคู่) ภาค 2 จึงกลับมาอีกครั้งพร้อมพระเอกคนเดิมและตัวร้ายแบบคูณ 2 (อ่านรีวิวเรื่องนี้ของ WTF)

https://www.youtube.com/watch?v=ZN-E0vSdasM

เดิมที่หนังจะมีความยาวถึง 2 ชั่วโมง 45 นาทีตามความตั้งใจของผู้กำกับที่อยากจะเล่าหลาย ๆ ฉากตามแบบฉบับหนังยุค 80s ที่ค่อย ๆ เล่ามากกว่าจะรวบรัด ความยาวดังกล่าวถือว่ายาวกว่าหนังปกติทั่วไปและสุดท้ายสตูดิโอก็หั่นให้หนังเหลือความยาวแค่ 2 ชั่วโมง 31 นาที (ซึ่งยาวกว่าภาคแรก 10 นาทีและมากที่สุดของหนัง DCEU เป็นอันดับ 2 รองจาก Batman V Superman: Dawn of Justice (2016)) ต้องบอกว่าความยาวระดับนี้สตูดิโอไม่ค่อยยอมง่าย ๆ เพราะจะทำให้หนังทำรอบฉายได้น้อยกว่าปกติยกเว้นจะเป็นหนังระดับ Avengers: Endgame (2019) ที่ยาว 3 ชั่วโมง แสดงว่า Jenkins หว่านล้อม Warner ให้เธอได้ทำอย่างที่เธอเห็นว่าดีสำเร็จ

ส่วนสำหรับใครที่ตัดสินใจว่าจะดูระบบธรรมดาหรือ IMAX หนังเรื่องนี้ถ่ายทำบางฉากด้วยกล้อง IMAX เช่นฉากบนเกาะของชาวแอมะซอนที่เป็นการแข่งขันกีฬาตอนเปิดเรื่อง เป็นต้น และไม่ได้ถ่ายทำด้วยกล้อง IMAX ทั้งเรื่อง

Diana เติบโตไปแค่ไหน หลังหนังภาคแรก

หลังจากภาคแรก ตัวละคร Wonder Woman ได้ไปปรากฏตัวในหนังรวมฮีโรอย่าง Justice League (2017) ซึ่งกำลังจะถูกนำมาปรับปรุงใหม่กลายเป็นหนัง (หรือมินิซีรีส์ ยังไม่มีการสรุปตอนนี้แต่จะยาว 4 ชั่วโมง) อย่าง Zack Snyder’s Justice League (รับชมได้มีนาคมปีหน้า) ที่ได้ผู้กำกับจากหนังฉบับดั้งเดิมก่อน Joss Whedon จะเข้ามาทำแทนกลับมากำกับ ตลอดช่วงที่ผ่านมา Whedon ถูกโจมตีให้กลายเป็นผู้ร้ายและรับข้อหาการทำให้หนังล้มเหลว ซึ่ง Patty Jenkins ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ซ้ำเติมอีกคน

โดยระหว่างที่ให้สัมภาษณ์กับ Cinemablend ว่า Wonder Woman ของ Whedon นั้นไม่เหมือนกับของเธอเลยสักนิด และเท่าที่รู้ในเวอร์ชันของ Snyder นั่นใกล้เคียงมากกว่า “Wonder Woman ใน Justice League แตกต่างจากฉบับของฉันมากในหลาย ๆ ทาง แต่ฉันจะทำอะไรได้ล่ะ? ฉันก็แค่ต้องคิดว่า มันมีหนังภาคแรกของฉันและฉันก็มีหนังภาคสองของฉันท่ามกลางหนังเรื่องอื่นที่จะมี Wonder Woman ไปแสดงและจะแตกต่างออกไป…ดูอย่างเรื่องชุดของเธอสิ ฉันไม่เห็นจำเป็นว่าจะต้องเปลี่ยนมันเลย

นอกจากนี้ Gal Gadot ก็ยังเล่าให้ฟังด้วยว่า Diana โดดเดี่ยวอย่างมากท่ามกลางยุคสมัยที่เปลี่ยนไปและคนรอบตัวตายจากไปกันหมด แต่เธอยังคงมีชีวิตอยู่มากว่า 60 ปี นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 “เธอเหงาและโดดเดี่ยวมากที่คนร่วมยุคของเธอไม่มีหลงเหลืออยู่ Diana เสียเพื่อนและคนรู้จักไปเกือบหมดจากหนังภาคแรก เธอต้องสูญเสียอยู่ตลอดจึงทำให้เธอไม่อยากจะผูกพันกับใครอีกและพุ่งเป้าไปที่การทำภารกิจเพื่อช่วยโลกมนุษย์เท่านั้น” และหนังจะบอกด้วยว่า Diana อยู่อย่างเป็นความลับมาได้ยังไงตลอดเวลาหลายสิบปี

การสวมชุดเกราะเหยี่ยวทองครั้งแรก

Gal Gadot

แฟนพันธุ์แท้ของ Wonder Woman ต่างรอคอยจะได้เห็นเธอสวมชุดเกราะเหยี่ยวสีทองมาตั้งแต่การปรากฏตัวใน Batman V Superman: Dawn of Justice (2016) ที่เดากันว่าเธอจะได้สวมชุดนี้แต่ก็ไม่ได้ใส่ จนกระทั่งมีการปล่อยตัวอย่างของภาค 1984 ฉบับญี่ปุ่น เป็นครั้งแรกที่แฟน ๆ ได้เห็นเธอสวมชุดนี้ออกมา ซึ่งจะเป็นชุดที่ทำให้เธอทรงพลังอย่างแรงจากเดิมที่ก็แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว ความแข็งแกร่งของชุดนี้เคยปรากฏในฉบับคอมิกและฉบับมินิซีรีส์ Elseworlds: Kingdom Come ตอนยุค 80s ว่า ทำให้ Wonder Woman สามารถต้านทานพลังของ Superman ได้

อย่างไรก็ตาม แฟน ๆ ก็สงสัยว่าใน Batman V Superman ที่เหตุการณ์ตามไทน์ไลน์เกิดขึ้นหลังจาก 1984 หลายปี ทำไมเธอจึงไม่ได้ใส่ชุดนี้ เหตุผลนอกจากว่าหนังเรื่องนั้นสร้างก่อนเรื่องนี้ Jenkins ก็บอกว่า Golden Armor ถูกใช้เพื่อต่อสู้กับ Cheetah โดยเฉพาะเท่านั้น

ท้ายเครดิต 1 ตัว จะซ่อนความลับอะไรไว้?

เพื่อไม่ให้พลาดลุกออกจากโรงทันทีที่หนังจบ ผู้กำกับ Jenkins ฝากมาบอกว่า หนังมี End-Credit หนึ่งตัว แต่เธอไม่ได้ขยายความมากนักว่า ท้ายเครดิตนี้เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร และผู้ชมทั้งที่ชมในโรงภาพยนตร์และสตรีมมิงทาง HBO Max จะได้รับชมเหมือนกันทั้ง 2 แบบ แฟน ๆ ต่างตั้งความหวังว่า อาจจะเป็นการบอกใบ้รายละเอียดของหนัง DECU เรื่องต่อไป ไม่ว่าจะเป็น The Flash, Aquaman 2 หรือ The Suicide Squad แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า นั่นคือวิธีการแง้มเรื่องต่อไปในจักรวาลของมาร์เวล ซึ่งดีซีไม่ค่อยทำ และอาจเป็น End-Credit ที่บอกเรื่องราวภาค 3 ของตัวเองมากกว่า

กับทฤษฎีอื่น ๆ ก็บอกว่า อาจจะเป็นการอธิบายว่าฮีโรอื่น ๆ ในทีม Justice League ไปทำอะไรอยู่ในยุค 80s? ซึ่งเมื่อเทียบไทม์ไลน์ของ DECU ในช่วงนั้น Batman หรือ Bruce Wayne จะอายุราว 10-12 ขวบและพ่อแม่เพิ่งถูกฆ่าเมื่อปี 1981 อาจมาปรากฏตัว หรือจะเป็นการปรากฏตัวของ Superman ที่อายุ 4 ขวบ หลังจาก Kal-El ส่งลูกมายังโลกในปี 1980 แต่ตัวละครอื่น ๆ ที่ไม่น่าจะมาแจมในยุค 80s ได้ ก็มีตั้งแต่ Arthur Curry หรือ Aquaman ที่เพิ่งเกิดมาเปี 1986, Barry Allen หรือ The Flash ที่เพิ่งเกิดเมื่อปี 1992, Victor Stone หรือ Cyborg เพิ่งเกิดเมื่อปี 1994 และเด็กสุด Billy Batson หรือShazam ที่เกิดตอนปี 2004 นี่เอง หรือก็มีทฤษฎีว่า อาจจะเป็น Lex Luthor ที่กลับมา เหมือนใน End Credit ของ Justice League (2017)

(อ่านต่อหน้าถัดไป)

Steve Trevor กลับมาได้ยังไง?

หนึ่งในเรื่องราวที่ทำให้ภาคแรกประสบความสำเร็จคือความรักของคู่พระนางอย่าง Diana และ Steve Trevor ตัวละครของ Chris Pine ซึ่งหลายคนคงรู้อยู่แล้วว่าตอนจบนั้นความรักของพวกเขาไม่สมหวังและต้องพลัดพรากจากกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อตัวอย่างแรกของหนังมาถึงพร้อมกับการปรากฏตัวของตัวละครนี้อีกครั้ง สร้างทั้งความตื่นเต้นและสงสัยให้แฟน ๆ ทันทีว่า Steve Trevor กลับมาได้ยังไง? และก็เริ่มมีคนตั้งข้อสังเกตจากหนังตัวอย่างว่า Diana อาจจะต้องสูญเสีย Steve เป็นหนที่ 2 ตอนจบซ้ำรอยเดิมด้วย

https://youtu.be/6QJK8JDgyLc

ปกติแล้วการกลับมาของตัวละครทำนองนี้จะถูกปิดไว้เป็นความลับเพื่อความเซอร์ไพรส์ตอนหนังฉาย แต่ปาปาราซซีก็ปล่อยภาพ Chris Pine กลับมาที่กองถ่ายภาค 2 ตั้งแต่แรก ทีมสร้างจึงมองว่าป่วยการจะปิดเป็นความลับอีกต่อไป และใช้ตัวละคร Steve Trevor มาโปรโมตตั้งแต่ตัวอย่างแรกมันเสียเลย แถมกระแสตอบรับถึงการกลับมาของตัวละครนี้ในหมู่แฟน ๆ ยังเป็นไปในทางบวกมากเสียด้วย

Chris Pine ก็ได้ให้สัมภาษณ์ไว้อย่างพยายามไม่สปอยล์ว่า การกลับมาของตัวละครนี้มีเหตุผลที่มาที่ไปตามที่สมควรจะเป็นแล้ว รวมถึงยังเปลี่ยนแปลงไปจากการให้เหตุผลเรื่องการฟื้นคืนชีพของตัวละครสักตัวในโลกภาพยนตร์จากที่แล้วมาด้วย “ผมรู้ว่ามีหลายแนวคิดทำนองว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้” Steve อาจกลับมาได้ ผมอยากบอกว่ามันยากมากที่พวกเราจะคิดวิธีออกมา ผมรักทีมงานของหนังเรื่องนี้แต่ผมก็คิดไม่ออกว่าผมจะกลับมาเล่นภาค 2 ได้ยังไง จน Patty เสนอวิธีการนำมาผมกลับมาจนได้ และต้องยอมรับเลยว่าสิ่งที่เธอเสนอมันเป็นความคิดเยี่ยมยอดมาก

สมมติฐานที่แฟน ๆ ตั้งกันมาถึงเหตุที่ทำให้เขากลับมาได้ มีตั้งแต่ใช่ Steve Trevor ตัวจริงหรือเปล่า? เป็นภาพลวงตาที่ถูกสร้างขึ้นให้ Diana มองเห็นหรือเปล่า? หรือ Maxx Lord น่าจะเกี่ยวกับกับการทำให้ Steve ฟื้นคืนชีพ หรือว่าจริง ๆ แล้วเขายังไม่ตายตั้งแต่แรกต่างหาก ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็น่าจะอายุเลย 60 ปีแล้วในภาคนี้นี่ แต่ทำไมยังหนุ่มเหมือนตอนภาคแรก? ต้องไปหาคำตอบชมในหนังกันเอง

Pedro Pascal ในแรงบันดาลใจบทวายร้ายมาจาก Nicolas Cage

Pedro Pascal ที่กำลังโด่งดังจากการรับบทนำของซีรีส์ The Mandalorion มารับบทเป็น Maxwell Lord วายร้ายในหนังภาคนี้ซึ่งยังไม่มีใครรู้ว่าเขาจะร้ายด้วยเรื่องอะไร เพราะหนังตัวอย่างแทบไม่บอก แต่ถ้าอ้างอิงจากฉบับคอมิกนั้นเขาเคยคิดจะใช้พลังเงินและอำนาจเข้าควบคุมเหล่าฮีโร Justice League แต่เมื่อทำไม่สำเร็จก็เลยเปลี่ยนข้างมาเป็นศัตรู้สู้กับพวกเขาแทน เขาพัฒนาพลังโทรจิตและถูก Wonder Woman ฆ่าออกอากาศทางทีวี

ผู้กำกับ Patty Jenkins นั้นขึ้นชื่อเรื่องการเป็นหญิงแกร่งด้านการแสดงออกทางความคิด จึงมีเชื่อมโยงการออกแบบตัวร้ายในเรื่องอย่าง Maxwell Lord ซึ่งนำแสดงโดย Pedro Pascal นั้น ได้แรงบันดาลใจมาจากไหน เธอก็ตอบว่าเป็นส่วนผสมของ Gordon Gekko บทของ Michael Douglas ใน Wall Street (1987) เชื่อในความโลภและ Tony Robbins นักพูดสร้างแรงบันดาลใจในยุค 80s

บท Gordon Gekko ของ Michael Douglas ใน Wall Street (1987)

ส่วนที่มีคนทักว่า รูปร่างหน้าตาของตัวละครคล้ายประธานาธิบดี Donald Trump ช่วงที่เป็นเจ้าพ่อทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ในช่วงยุค 80s เธอยืนยันว่าหนังเรื่องนี้ไม่มีนัยแอบแฝงในเรื่องการเมืองแน่นอน “ฉันไม่ต้องการทำหนังเรื่องนี้เพื่อไปยุ่งกับเรื่องการเมืองค่ะ แต่ Trump เป็นหนึ่งในคนที่เราสนใจ เพราะเขามีชื่อเสียงเรื่องความสำเร็จทางธุรกิจช่วง 80s ที่หนังเรื่องนี้เล่าอยู่

Pedro Pascal in Wonder Woman 1984 (2020)
ตัวร้ายของเรื่อง Maxwell Lord
1980s: How Trump Created Trump
ประธานาธิบดี Donald Trump ตอนยุค 80s

ส่วน Pascal นักแสดงบอกว่า ตัวเขาได้แรงบันดาลใจในการแสดงบทนี้มาจากนักแสดง Nicolas Cage ที่เป็นนักแสดงที่สุดยอดมาก แม้จะไม่ได้บอกว่ามาจากบทบาทในเรื่องไหน หรือว่าจากบุคลิกของ Cage จริง ๆ แต่ก็มีการเดากันว่า เขาน่าจะนำต้นแบบมาจากบทของ Peter Loew ของ Cage ในเรื่อง Vampire’s Kiss (1989) ซึ่งเป็นบทที่ใกล้เคียงกับ Maxwell Lord มากที่สุด แถมหนังเรื่องนั้นยังอยูร่วมยุค 80s เช่นเดียวกับท้องเรื่องของ Wonder Woman 1984 ด้วย

นางเสือร้าย Cheetah คู่ปรับตลอดกาลมาแล้ว

บทที่เคยเกือบตกเป็นของนักแสดงสาวเจ้าของรางวัลออสการ์ Emma Stone ก่อนที่จะปฏิเสธไป แล้วกลายมาเป็นของนักแสดงมากความสามารถอีกคนอย่าง Kristen Wig จาก Bridesmaids (2011) มารับบทเป็น Barbara Ann Minerva ที่จะกลายร่างเป็น Cheetah วายร้ายสาวคู่ปรับตลอดกาลอีกตัวของ Wonder Woman ในตัวอย่างหนังยังไม่ได้บอกอะไรมาก แต่เชื่อว่า Minerva จะเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับ Maxwell Lord วายร้ายอีกตัว

การสร้างตัวละครตัวนี้ตอนที่กลายร่างแล้วก็เป็นที่กังวลของแฟน ๆ พอสมควร เพราะตัวละครฮีโรหญิงที่ไปเกี่ยวข้องกับสัตว์มักจะถูกออกแบบให้ดูตลกมากกว่าดูเท่ (ลองนึกถึง Catwoman (2004) ของ Halle Berry หรือเหล่านักแสดงในหนังเพลง Cats (2019) ที่ถูกจับมาแต่งเป็นแมวซึ่งกลายเป็นหายนะดูสิ) รวมถึงตอนที่มีการปล่อยดีไซน์ของเล่นจากหนังของตัวละครนี้ซึ่งดูไม่ค่อยได้นัก แต่จากตัวอย่างเวอร์ชันที่ 3 ที่ปล่อยออกมาและเผยให้เห็นร่างของ Cheetah ก็ทำให้แฟน ๆ พอใจเพราะดูแล้วสมจริง Patty Jenkins ผู้กำกับเองก็บอกว่า การออกแบบ Cheetah ให้ออกมาถูกใจสตูดิโอและแฟน ๆ ก็เป็นอะไรที่ยากมากในช่วงการเตรียมงานและดีไซน์ของตัวละครนี้ก็เปลี่ยนมาหลายรอบ

Minerva ในตัวอย่างนั้นถูกเปิดตัวมาเป็นเพื่อนของ Diana ก่อนที่จะค่อย ๆ กลายมาเป็นศัตรูโดยมีแรงผลักเป็นความอิจฉาริษยาระหว่างผู้หญิง และมี Maxwell Lord เป็นตัวแปร โดยอีกข่าวลือที่ดูจะมีมูลก็คือ Lord จะสร้าง Metahuman หรือสุดยอดมนุษย์ขึ้นมา และตามตัวอย่างเธอบอกว่า เธอไม่อยากจะเป็นเหมือนกับผู้หญิงทั่ว ๆ ไป แต่เธออยากจะเป็น “ผู้ล่าขั้นสุดยอด” (Steve Trevor ก็อาจเป็นหนึ่งในการทดลองของ Lord)

ยุค 80s คืออีกหนึ่งตัวละคร…แล้วทำไมต้องเป็นยุคนี้?

ผู้กำกับ Patty Jenkins ได้อธิบายเหตุผลภายนี้ไว้ตอนสัมภาษณ์ในงาน Brazil Comic Con ว่า “เราต้องการจะนำตัวละคร Diana ไปยังโลกยุคปัจจุบัน แต่ยุค 80s ก็เป็นช่วงที่ Wonder Woman มีส่วนเกี่ยวข้องสำคัญด้วยเช่นกัน มันเป็นยุครุ่งเรืองของวัฒนธรรมตะวันตกและส่งผลถึงการใช้ชีวิตต่อเนื่องกับทุกคนมาจนถึงทุกวันนี้” นอกจากนี้เธอยังต้องการแสดงความเคารพต่อเรื่องราวในอดีตของ Wonder Woman และแสดงให้ผู้ชมเห็นว่า เธอปรับตัวเข้ากับโลกยุคใหม่อย่างไรบ้าง รวมถึงยังเป็นการอ้างอิงถึงซีรีส์ Wonder Woman ของ Lynda Carter ที่เคยโด่งดังในอดีตมาจนถึงปี 1979 ด้วย

Lynda Carter

ผู้กำกับ  Patty Jenkins ได้ให้เหตุผลไว้ในบทสัมภาษณ์ชิ้นอื่นด้วยว่า ยุค 80s ที่เธอเกิดมานั้นมีรูปแบบของยุคแบบเฉพาะและเป็นของตัวเอง อันแสดงให้เห็นทั้งด้านที่ดีที่สุดและแย่ที่สุดของมวลมนุษยชาติ เป็นยุคที่มีทั้งความสง่างามและยังเป็นจุดกำเนิดดนตรีชั้นยอด ผู้กำกับจึงเลือกเพลงประกอบที่โดนใจและเข้ากับยุค 80s ที่เป็นช่วงเวลาตามท้องเรื่อง นั่นคือเพลง “Blue Monday” ของวง New Order แห่งเกาะอังกฤษ ออกเผยแพร่เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 1983 (หนึ่งปีก่อนเรื่องราวใน Wonder Woman 1984) ออกเผยแพร่ครั้งแรกในรูปแบบของซิงเกิล 12 นิ้ว และมียอดขายถล่มทลายกว่า 3 ล้านแผ่นทั่วโลก เป็นซิงเกิล 12 นิ้วที่มียอดขายสูงสุดที่สุดเป็นประวัติการณ์ (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเพลง “Blue Monday” และวง New Order ได้ที่นี่)

https://youtu.be/nOTRqbEKgXM

(อ่านต่อหน้าถัดไป)

ในหน้าประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์

Wonder Woman 1984 ก็ประสบชะตากรรมเฉกเช่นภาพยนตร์ที่เข้าฉายในปีแห่งโควิด-19 เรื่องอื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่จะขอเลื่อนฉายออกไปจากกำหนดเดิม แต่ที่เรื่องนี้แตกต่างจากเรื่องอื่นก็คือ หนังกว่า 90% จะเลื่อนฉายออกไป 6 เดือนเป็นอย่างน้อยและเลื่อนต่อไปอีกเรื่อย ๆ แต่ Wonder Woman 1984 เลื่อนจากกำหนดฉายแรกสุดมาจนถึงรอบนี้ ด้วยเวลา 6 เดือนและไม่ย้ายหนีไปไหนแล้ว จึงกลายเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ 1 ใน 3 เรื่องที่หาญกล้าออกฉายในปี 2020 (อีก 2 เรื่องคือ Mulan ของ Disney และ Tenet ของ Warner Brother เช่นเดียวกัน ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถได้ทุนคืน)

ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ถูกคาดหวังและมีผู้ชมรอชมมากที่สุดจากปีก่อน ถูกเลื่อนฉายจากกำหนดแรก 13 ธันวาคม 2019 (ยังไม่เกี่ยวกับโควิด-19) ก่อนจะเป็น 5 มิถุนายน เป็น 14 สิงหาคม ถูกเลื่อนฉายรอบ 2 เป็น 2 ตุลาคม รอบ 3 เป็นวันคริสต์มาส ก่อนที่จะเลื่อนรอบสุดท้าย แต่รอบนี้เลื่อนให้เร็วขึ้นมาเป็น 17 ธันวาคม (รวมแล้วเลื่อนแบบจริงจังทั้งหมด 5 รอบ) แต่สิ่งที่เป็นครั้งแรกของวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูดก็คือ นี่เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ตัดสินใจฉายในโรงภาพยนตร์และแพลตฟอร์มสตรีมมิงในวันเดียวกัน แบบที่ลูกค้าของสตรีมมิง HBO Max ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าชมเพิ่มจากค่าสมาชิก (แตกต่างจาก Mulan ที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มจากค่าสมาชิกที่จ่ายไปแล้ว)

ผู้กำกับ Patty Jenkins

ซึ่ง Wonder Woman 1984 ก็กลายเป็นวิธีการต้นแบบ ให้บริษัท Warner Brothers เลือกจะใช้วิธีการนี้กับหนังเรื่องอื่น ๆ ที่ออกฉายในปี 2021 เลยไปถึง 2022 บางเรื่อง ก่อให้เกิดกระแสดราม่ากับสตูดิโอร่วมสร้าง ผู้กำกับ และนักแสดงไม่พอใจ เพราะไม่คิดว่าหนังที่ลงทุนสร้างเพื่อฉายโรงใหญ่จะถูกดึงความสำเร็จไปลงสตรีมมิง แน่นอนว่าหนังจะไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้เท่าฉายโรง รวมไปถึงโอกาสการมีภาคต่อในอนาคต มีข่าวว่านักแสดง Gal Gadot และทีมงานนำโดย Patty Jenkins ได้ค่าชดเชยความเสียหายเพิ่มจากค่าตัวจากการเอาหนังมาลงสตรีมมิง

แต่ Jenkins ก็ออกมาบอกทีหลังว่า เธอไม่ได้เห็นด้วยกับการตัดสินใจของ Warner (บอกเป็นนัยว่าโดนบังคับ) และการทำแบบนี้ไม่เป็นการดีกับหนังของเธอเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีรายงานด้วยว่า Warner อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกราว 1,200 ล้านเหรียญฯ สำหรับทำให้หนังที่จะย้ายไปลงสตรีมน่าสนใจมากพอจะเรียกให้ผู้ชมทั่วไปสนใจสมัคร HBO Max เพื่อเข้าไปรับชม

Gal Gadot รับค่าตัวเพิ่มจากเดิมก่อนเล่นภาคนี้ถึง 33 เท่า

Vanity Fair รายงานว่า Gal Gadot ได้รับค่าเหนื่อยจากการรับบทในเรื่องนี้ Wonder Woman 1984 ไปสูงถึง 10 ล้านเหรียญฯ เทียบชั้นนักแสดงอย่าง Angelina Jolie หรือ Scarlett Johansson ผู้เคยได้ในระดับนี้เช่นกัน โดยรายได้จำนวนนี้สูงกว่าที่เธอเคยได้รับการแสดงในภาพยนตร์ 3 เรื่องรวมกันก่อนหน้านี้ของจักรวาลดีซี หรือ DCEU ตั้งแต่ Batman V Superman: Dawn of Justice (2016), Wonder Woman (2017) และ Justice League (2017) ที่ได้ค่าเหนื่อยไปเรื่องละ 300,000 เหรียญฯ เท่านั้น (เทียบกับ Henry Cavill ที่ได้จาก Man of Steel (2013) ถึง 14 ล้านเหรียญฯ)

ซึ่งการได้รับค่าตัวแบบก้าวกระโดดถึงราว 33 เท่านี้ก็เกิดจากความสำเร็จของ Wonder Woman ภาคแรก ที่ทำรายได้ไปถึง 822 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้าง 149 ล้านเหรียญฯ กลายเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับการยอมรับว่าประสบความสำเร็จสูงสุดของ DECU ร่วมกับ Aquaman (2018) และทำให้ Warner ตัดสินใจจะไม่ทำจักรวาลหนังของ Justice League และจะเดินเรื่องราวของแต่ละฮีโรแยกออกจากกัน (แต่ก็ต้องมาว่ากันอีกทีหาก Zack Snyder’s Justice League ที่เป็นฉบับใหม่ออกสตรีมทาง HBO Max กลับมาประสบความสำเร็จมากอย่างที่ควรขึ้นมาจริงๆ )

Gal Gadot
Death on the Nile
Red Notice

Gal Gadot ได้ขึ้นแท่นเป็นนักแสดงหญิงระดับแม่เหล็กอีกคนหนึ่งของฮอลลีวูด โดยเธอได้ร่วมแสดงในหนังนักสืบจากนิยายดังของ Agatha Christie อย่าง Death on the Nile ซึ่งเป็นภาคต่อของ Murder on the Orient Express, หนังสายลับ Red Notice ของ Netflix ที่ได้ประกบ Dwayne Johnson และ Ryan Reynolds, หนังจักพรรดินี Cleopatra ที่เคยถูกสร้างอย่างโด่งดังในอดีต โดยเธอได้กลับมาร่วมงานกับ Patty Jenkins อีกครั้ง และโพรเจกต์สุดท้าย Heart of Stone หนังสายลับที่จะยิ่งใหญ่เทียบชั้นกับ 007 และ Mission Impossible

Wonder Woman อาจจะมีภาคแยกก่อนภาค 3

ผู้กำกับ Patty Jenkins ไม่เพียงแค่วางแผนที่จะสร้าง Wonder Woman ให้เป็นหนังไตรภาคเท่านั้น แต่เธอยังจะสร้างภาพยนตร์ภาคแยกออกมาด้วย ซึ่งความสำคัญของหนังภาคแยกเรื่องนี้ จะเป็นการปูทางสู่ Wonder Woman 3 โดยผู้กำกับหญิงเก่งให้สัมภาษณ์ไว้กับ Geek Magazine ว่า

มันเป็นเรื่องที่ฉันกับ Geoff Johns (มือเขียนบท) เอาไปเสนอกับ Warner Brothers ค่ะ เรื่องราวจะถูกวางไว้ให้เกิดขึ้นหลังจากที่ Diana ออกจากเกาะของชาวอะเมซอน และมันจะมีจุดพลิกผันที่จะเชื่อมต่อเรื่องราวระหว่าง Wonder Woman 1984 และ Wonder Woman 3 การเดินงานสร้างหนังเรื่องนี้ยังไม่ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ แต่ฉันหวังว่าเราจะได้ทำมัน เพราะฉันชอบเรื่องราวนี้มากเลย” Jenkins จะไม่ได้กำกับหนังเรื่องนี้ เพราะมีคิวต้องกำกับทั้ง Cleopatra และหนัง Star Wars ภาคใหม่ โดยจะส่งไม้ต่อให้กับผู้กำกับที่เหมาะสมต่อไป

ส่วนเรื่องภาค 3 ที่มาแน่ Jenkins ก็เขียนพล็อตไว้รอท่าแล้ว เพราะเดิมก่อนหน้านี้เธอก็ตั้งใจว่าจะให้หนังภาค 2 เดินเรื่องในยุคปัจจุบันก่อนจะเปลี่ยนใจไปเล่าเรื่องในยุค 80s ซึ่งผู้กำกับก็เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ภาค 3 จะเป็นเรื่องสุดท้ายที่เธอกำกับแฟรนไชส์นี้อย่างแน่นอน

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส