มีอายุครบ 25 ปี ไปอีกหนึ่งเรื่องแล้วสำหรับ Outbreak หนังไวรัสแพร่ระบาดสุดมันส์ เชื่อว่าหลาย ๆ คนที่เคยได้ชมจะต้องจดจำความมันส์ลุ้นระทึกในหลาย ๆ ฉากของหนังเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี เรื่องไวรัสแพร่ระบาดก็เป็นอีกพลอตนิยมที่ฮอลลีวูดสร้างหนังประเภทนี้ออกมาเนือง ๆ อย่างเช่น 12 Monkeya, Contagion, Pandemic, The Hot Zone แม้ว่า Outbreak อาจจะไม่ใช่หนังที่ดีที่สุดในกลุ่มนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า Outbreak คือหนังที่ถ่ายทอดความน่ากลัวของไวรัสแพร่ระบาดออกมาได้ลุ้นระทึกที่สุดเรื่องหนึ่ง
Outbreak ไม่ใช่หนังในกลุ่มหวังรางวัล แต่สร้างมาหวังผลทางการตลาดจึงเต็มไปด้วยสูตรสำเร็จเอาใจผู้ชมในวงกว้าง แล้วหนังก็ทำได้สำเร็จ ด้วยรายได้ที่ทำกำไรให้สตูดิโอยิ้มออกในวันที่ออกฉาย หนังกวาดรายได้ทั่วโลกไปมากถึง 189 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างเพียง 50 ล้านเหรียญ หนังมีองค์ประกอบมากมายที่จะประสบความสำเร็จ ทั้งทีมงานเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เพราะหนังได้นักแสดงคุณภาพอย่างดัสติน ฮอฟฟ์แมน มารับบทนำ ดัสตินเป็นดาราที่รับงานน้อย ผลงานก่อนหน้า Outbreak นี่ก็ต้องนับย้อนหลังไปถึง 3 ปีเลย คือ Heroes (1992) แล้วน้อยครั้งที่จะเห็นชื่อของดัสติน ฮอฟฟ์แมน ในหนังเอาใจตลาดแบบนี้ แล้วเรื่องนี้ยังได้ เรเน รุสโซ นางเอกสาวที่เพิ่งโด่งดังจาก Lethal Weapon 3 (1993) มาประกบคู่อีกด้วย
นอกจากสองนักแสดงนำที่เรียกคนดูได้แล้ว หนังยังมีทีมนักแสดงคุณภาพอีกหลายราย ทั้งมอร์แกน ฟรีแมน และคิวบ้า กูดิ้ง จูเนียร์ ที่เพิ่งสร้างชื่อมาจาก A Few Good Men (1992) ผลงานเรื่องต่อไปของเขาคือ Jerry Maguiire ที่ส่งให้คิวบ้าคว้าออสการ์นักแสดงสมทบยอดเยี่ยม และอีกรายก็คือ เควิน สเปซีย์ ที่เพิ่งร่วมงานกับ มอร์แกน ฟรีแมน มาแล้วใน Se7en แล้วเป็นชื่อที่ฮอตในขณะนั้น เพราะเควิน เพิ่งคว้าออสการ์นักแสดงสมทบยอดเยี่ยมมาจาก The Usual Suspects ผลงานในปี 1994 นอกจากนี้ก็ยังมีนักแสดงสมทบมากฝีมืออีกทั้ง โดนัลด์ ซุทเธอร์แลนด์ และ แพทริค เดมป์ซีย์
หนังถ่ายทอดเรื่องราวของไวรัสที่แพร่ระบาดได้อย่างน่ากลัว โดยเฉพาะเจ้าไวรัสที่ชื่อ “โมทาบา” ที่เป็นไวรัสที่หนังอุปโลกขึ้นมาเป็นตัวร้ายในเรื่องนี้ เป็นไวรัสที่มีพิษสงอย่างมาก แค่ติดก็แสดงอาการและคร่าชีวิตได้ภายใน 48 ชั่วโมงเท่านั้น ยังน่ากลัวกว่าไวรัสโคโรนาหลายเท่านัก ก็ถือว่าดีแล้วที่ไวรัสน่ากลัวแบบนี้มีแค่ในหนังเท่านั้น แต่วิถีการแพร่ระบาดของไวรัสก็ใกล้เคียงกับไวรัสในโลกความจริง เพราะอย่างแรกไวรัสมีจุดกำเนิดมาจากสัตว์ป่า ที่มนุษย์ก็ดั้นด้นเข้าไปบุกรุก ก็พูดได้ว่านี่คือวิธีการหนึ่งของ “ธรรมชาติเอาคืน” และการแพร่ระบาดจาก 1 คนไปเป็นหลักร้อยได้ในระยะเวลาอันสั้น สมกับคำว่า “Outbreak” ที่แปลว่า “แพร่ระบาด”
หนังยังวางเหล่าผู้มีอิทธิพล นายทหารในกองทัพบกสหรัฐฯ ให้เป็นตัวร้ายในสถานการณ์คับขันนี้ ที่เอะอะก็จะทิ้งระเบิด แล้วที่ร้ายกาจสุด ๆ ก็คือแผนการร้ายที่แอบซ่อนทั้งไวรัสและย่ารักษาโรคไว้เป็นความลับ ก็ช่างตรงกับข่าวลือจากหลายสำนักในช่วงนี้ ที่อ้างว่าไวรัสโคโรนานี่ก็เป็นหนึ่งในอาวุธชีวภาพของทางการสหรัฐฯ ที่บังเอิญรั่วไหลออกมา
หนังเล่าเรื่องได้สนุกกับการทำงานของทีมแพทย์ที่แข่งกับเวลาในสไตล์ของฮอลลีวูดแท้ ๆ ที่มีทั้งความสมจริงและความเวอร์วัง รวมถึงช่องโหว่มากมาย โดยเฉพาะชุดนิรภัยที่ช่างบอบบางขาดง่ายเสียเหลือเกิน และฉากที่สนุกสุดมันส์ที่หลายคนน่าจะเห็นตรงกันก็คือ ฉากเฮลิคอปเตอร์ไล่ล่า ฝีมือการขับแบบเทพสุด ๆ ของซอลต์ บทของคิวบ้า กูดิ้ง จูเนียร์ ที่พาผู้พันแซมร่อนไปกับแมงปอลำจิ๋วแต่แจ๋ว หลบการไล่ล่าของนายพลแม็กคลินท็อกได้อย่างฉวัดเฉวียนสุด ๆ
และบุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสนุกและความสำเร็จของ Outbreak ก็ต้องยกให้คนนี้ ผู้กำกับขาเก๋า วูล์ฟแกง ปีเตอร์เซน ที่ในเครดิตมีแต่หนังแอ็กชันสุดมันส์ล้วน ๆ อย่างเช่น In the Line of Fire (1993), Airforce One (1997), The Perfect Storm (2000), Poseidon (2006) ในวันนี้คุณปู่วูล์ฟแกง อายุ 79 ปีไปแล้ว คงจะนอนพักอยู่บ้านแล้วล่ะ
ช่วงท้ายนี้ขอหยิบเกร็ดเบื้องลึกเบื้องหลังที่น่าสนใจของ Outbreak มาฝากกัน เผื่อใครนึกจะหยิบมาดูอีกครั้งในช่วงที่ไวรัสโคโรนายังไม่สามารถควบคุมได้ในขณะนี้ ก็น่าจะทำให้บรรยากาศหนังดูน่าสะพรึงกว่าตอนดูครั้งแรกก็เป็นได้นะครับ
1.ในฉากนำของเรื่อง ตอนที่ไวรัสโมทาบาระบาดครั้งแรกนั้น ทางการป้องกันการแพร่ระบาดด้วยการเผากระท่อมในหมู่บ้านทิ้ง วิธีการนี้หยิบยกมาจากวิธีการจริงที่เหล่าชนเผ่าในแอฟริกาใช้ในการควบคุมโรคระบาด บ้านไหนที่มีคนติดโรค ทางหมู่บ้านจะให้ขังตัวเองไว้ในกระท่อม สมาชิกครอบครัวหรือเพื่อนบ้านจะเอาอาหารและน้ำไปวางไว้หน้าประตู ถ้าผ่านไป 2-3 วัน อาหารและน้ำยังวางอยู่ที่เดิม แปลว่าคนไข้ที่ติดโรคในกระท่อมนั้นเสียชีวิตแล้ว ทางเจ้าหน้าที่หมู่บ้นก็จะเผากระท่อมนั้นทิ้งเสีย
2.เรื่องสลับบทบาทกันโดยบังเอิญ บทแซม แดเนียลส์ ของดัสติน ฮอฟฟ์แมนนั้น ทางผู้เขียนตั้งใจจะเขียนบทนี้ไว้ให้ แฮร์ริสัน ฟอร์ด แต่เขาบอกปัดไป ส่วนบทริค เดกคาร์ด ของแฮร์ริสัน ฟอร์ด ใน Blade Runner (1982) นั้น ทางผู้เขียนก็ตั้งใจจะให้ดัสติน ฮอฟฟ์แมนมารับบท ถึงแม้ผู้กำกับวูล์ฟแกง ปีเตอร์เสน จะไม่ได้ร่วมงานกับแฮร์ริสัน ฟอร์ด ในเรื่องนี้ แต่ผลงานกำกับเรื่องต่อไปของเขาก็คือ Airforce One ที่ได้แฮร์ริสัน ฟอร์ด มารับบทนำ
3.ก่อนจะมาเป็น ดัสติน ฮอฟฟ์แมน ในบท แซม แดเนียล นั้น บทนี้ถูกเสนอให้กับนักแสดงชายแถวหน้าหลายคน หลังจากแฮร์ริสัน ฟอร์ด บอกปัดไป บทถูกเสนอให้กับ เมล กิ๊บสัน และ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน แต่ทุกคนไม่สนใจ สุดท้ายถึงตกมาเป็นของ ดัสติน ฮอฟฟ์แมน นึกภาพแล้ว ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน ในบทแพทย์เนี่ยนะ
4.เจ้าลิงคาปูชินที่รับบทพาหะนำไวรัสในเรื่องนี้นั้น เป็นลิงดารานะครับ ก่อนหน้านี้มันเคยร่วมแสดงใน Friends ทีวีซีรีส์สุดฮิต รับบทเป็น “มาร์เซล” สัตว์เลี้ยงของ รอสส์ เกลเลอร์ บทของ เดวิด ชวิมเมอร์ ด้วยเหตุนี้ ในซีรีส์ Friends เลยได้โอกาสเอาเจ้ามาร์เซล มาเล่นเป็นมุกเด็ดในซีรีส์ ด้วยการทำโปสเตอร์หนังปลอม ๆ ขึ้นมาชื่อเรื่องว่า “Outbreak 2: The Virus Takes Manhattan” โดยมีเจ้ามาร์เซล เป็นตัวละครหลักอยู่บนโปสเตอร์ซะเลย
5.เจ้าลิงพันธุ์คาปูชินนี้ เป็นพันธุ์ที่มีเฉพาะในแถบอเมริกากลาง และอเมริกาใต้เท่านั้น แต่ในหนังนั้นไวรัสเกิดแพร่ระบาดมาจากแอฟริกา หนังสร้างมาเพื่อความบันเทิงนี่นะ ประเด็นเล็ก ๆ น้อย ๆ ทีมงานก็คิดว่าช่างมันเหอะ ใครจะรู้ล่ะ
6.กว่าจะมาเป็น Outbreak นั้น โพรเจกต์เดินทางมาไกลมาก โพรเจกต์นี้เริ่มต้นในค่าย FOX ชื่อเรื่อง “Hot Zone” ได้ทีมงานแข็งปั้ก มีริดลีย์ สกอตต์ มานั่งเก้าอี้ผู้กำกับ ส่วนบทนำคือ โรเบิร์ต เรดฟอร์ด และ โจดี้ ฟอสเตอร์ เห็นแค่นี้เราก็อยากดูแล้วล่ะ แต่ทางสตูดิโอไม่ค่อยพอใจกับบทภาพยนตร์ โพรเจกต์เลยชะงักอยู่แค่ในขั้นตอนเตรียมการสร้าง จนอาร์โนลด์ โคเพลสัน มาเห็นบทหนัง แล้วขอรับช่วงมาแก้ไขต่อ เขาเอาบทมาส่งให้เท็ด ทัลลี่ (The Silence of the Lambs) แก้ไข แล้วเอาไปเสนอให้กับค่ายวอร์นเนอร์ ทางค่ายพอใจกับบทภาพยนตร์ หนังจึงได้อนุมัติสร้าง
7.กว่าหนังจะได้อนุมัติสร้าง โจดี้ ฟอสเตอร์ ก็ไม่อยู่กับโพรเจกต์แล้ว ตัวเลือกถัดไปก็คือ เมอรีล สตรีป, ชารอน สโตน และ โรบิน ไรต์ แต่สุดท้ายก็มาตกเป็นของเรเน รุสโซ
8.บท แซม แดเนียลส์ ของดัสติน ฮอฟฟ์แมนนั้นคือ “แพทย์ทหาร” ซึ่งเขาจะต้องแต่งชุดฟอร์มทหารขณะทำงานอยู่เสมอ แต่ในหนังเรามักจะเห็นแซมไม่สวมหมวกทหารในหลาย ๆ ฉาก เรื่องนีเป็นเหตุผลส่วนตัวของดัสติน ฮอฟฟ์แมน ซึ่งเขาอ้างว่าเขาสวมหมวกแล้วดูไม่ดี ก็ไม่ขอใส่แล้วกันนะ ดาราใหญ่นี่นะ ใครจะค้านล่ะ