Our score
8.8Dragon Quest: Your Story
จุดเด่น
- พลอตดีมาก แม้จะทำร้ายจิตใจแฟนเกมนิดก็เถอะ
- งานพากย์เสียงญี่ปุ่นช่วยให้งานดูลงตัว
- เอฟเฟกต์ ภาพ สวยสุดยอด
- ดีไซน์จากลายเส้นเดิมมาเป็น 3 มิติ
จุดสังเกต
- เสียงพากย์ไทยทำดีล่ะแต่ไม่ได้อารมณ์เท่าเสียงญี่ปุ่น
- จังหวะการเล่าโดดข้ามเยอะ แต่พอดูถึงตอนเฉลยแล้วก็เข้าใจและประทับใจอยู่นะ
-
ความสมบูรณ์ของบท
9.0
-
คุณภาพเสียงพากย์
8.5
-
คุณภาพการผลิต
9.5
-
ความสนุกน่าติดตาม
8.5
-
ความคุ้มค่าในการรับชม
8.5
เรื่องย่อ จากเกม RPG ชื่อดังของญี่ปุ่นมาสู่แอนิเมชันเรื่องยาว ที่เปิดตำนานผู้กล้าคนใหม่นามว่า ริวกะ ที่จะออกผจญภัยตามคำทำนายในโลกแฟนตาซีในแบบฉบับ ดรากอนเควสต์ ที่เราคุ้นเคย
เป็นอีกหนึ่งแอนิเมชันที่น่าจะมีคนรอดูอยู่มากเหมือนกัน โดยเฉพาะคอเกมเมอร์ที่เติบโตมากับเกมภาษา หรือ RPG (Role-playing Game) จากฝั่งญี่ปุ่น และเกมที่โด่งดังเป็น 2 เสาหลักที่แข่งกันมาตั้งแต่ยุค 1980s และยังมีผลงานต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันก็ต้องยกให้ Final Fantasy (ออกครั้งแรกปี 1987) และที่ออกมาก่อนอย่าง Dragon Quest (ออกครั้งแรกปี 1986) ซึ่งถ้าพูดถึงเกมหลังก็ต้องบอกว่าด้วยสไตล์ภาพอันเป็นเอกลักษณ์จากลายเส้นของ อาจารย์โทริยามะ อากิระ ผู้โด่งดังจากมังงะเรื่อง Dragon Ball ที่มาดีไซน์ตัวละครต่าง ๆ ให้ และความโดดเด่นในการออกแบบโลกในจินตนาการของ โฮริอิ ยูจิ ตั้งแต่ภาคแรกมาก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ตัวเกมโดดเด่นและเป็นที่จดจำได้ โดยเฉพาะเรื่องของ ผู้กล้า เวทมนตร์ ปีศาจ แม่มด และปีศาจประจำเกมอย่าง สไลม์ นั่นเอง ความเด่นของมันก็ทำให้ตัวเกมถูกถ่ายทอดออกมาเป็นสื่อต่าง ๆ ทั้ง นิยาย มังงะ และแอนิเมชันด้วย
สำหรับตัวแอนิเมชันนั้นเคยมีการสร้างออกมาเป็น ทีวีซีรีส์ 2 ครั้งคือฉบับที่ดัดแปลงจากตัวเกมภาค 3 กับอีกครั้งคือการต่อยอดจากฉบับมังงะที่ใช้เกมเป็นแรงบันดาลใจอย่าง Dragon Quest: Dai’s Great Adventure ที่คนไทยน่าจะรู้จักดีในชื่อ ได ตะลุยแดนเวทมนตร์ ส่วนฉบับหนังโรงก็มีการทำออกมาในปี 1996 ในชื่อ Dragon Quest Saga – The Crest of Roto และหลังจากนั้นก็เรียกได้ว่าห่างหายจากคอแอนิเมชันไปสิบกว่าปีเลยทีเดียว ครั้นพอมีการประกาศทำฉบับแอนิเมชัน 3 มิติในชื่อ Dragon Quest: Your Story ออกฉายช่วงเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมาในญี่ปุ่นโดยเอาแรงบันดาลใจจากเกมภาค 5 ซึ่งมีเนื้อเหาที่ดีติดอันดับต้น ๆ ของแฟรนไชส์มาทำ และพอเน็ตฟลิกซ์คว้าสิทธิ์มาฉายสตรีมมิงก็ทำให้แฟนเกมและแฟนแอนิเมชันนอกญี่ปุ่นตื่นเต้นอยู่มากทีเดียว
ต้องยอมรับว่าคะแนนรีวิวจากฝั่งเมืองนอกนั้นออกมาดูไม่ค่อยดีจนเราใจแป้วอยู่เหมือนกัน (imdb ได้ 6.3/10 ส่วนในญี่ปุ่นออกมาราว 2.1/5) แต่ส่วนตัวพอได้ดูจนจบแล้วกลับอยู่ในกลุ่มคนที่ชอบหนังมากกว่า ทั้งนี้ก็ต้องว่าไปตั้งแต่เรื่องงานภาพที่คงเอกลักษณ์จาก 2 มิติที่เป็นลายเส้นของโทริยามะ อากิระมาทำเป็น 3 มิติได้อย่างสวยงามมีความละมุนแบบงานแอนิเมชัน 3 มิติญี่ปุ่น (นึกถึงงานอย่าง Stand by Me Doraemon หรือล่าสุดที่น่าดูเหมือนกันอย่าง Lupin III – The First ที่กำลังจะเข้าฉายในไทย และอาจเป็นสไตล์เฉพาะของหนัง ยามาซากิ ทาเคชิ ผู้กำกับที่ทำหนังทั้ง 3 เรื่องนี้ รวมถึงหนังดังอย่าง Kiseijuu และ Always: Sunset on Third Street) ซึ่งมันทำให้ตัวการ์ตูนแบบญี่ปุ่นยังดูสวยและไม่ต้องฝืนเปลี่ยนให้เป็นอเมริกันมากนักแต่ก็ได้ความเป็นสากลด้านภาพ
ตรงนี้หนัง Dragon Quest: Your Story ถือว่าทำได้ดีทีเดียว ที่ประทับใจนอกจากคาแรกเตอร์ดีไซน์ที่ได้อารมณ์ใกล้เดิมแฟนเกมน่าจะมียิ้มแก้มปริตอนที่ได้เจอสไลม์ที่เป็นเอกลักษณ์ประจำแฟรนไชส์ ตลอดจนสาว ๆ ในหนังที่ทำออกมาน่ารักมุ้งมิ้งจริง ๆ ดูแล้วเคลิ้มตามพระเอก และอีกอย่างที่ดีก็คือการสร้างโลกจินตนาการออกมาได้สวยงามมาก เอฟเฟกต์เวทมนตร์ต่าง ๆ เรียกได้ว่าสวยตื่นตาตึงใจ แถมมีการผสมเทคนิกการนำเสนอไว้หลายแบบทีเดียวทั้งอินโทรด้วยภาพ 8 บิตแบบเกมยุคเก่า จนมาเป็นงานสามมิติสุดอลังการ ตรงงานภาพนี้ให้คะแนนได้ 10/10 เลยทีเดียว
ส่วนที่มีดราม่ากันมากน่าจะมาจากเนื้อหาของหนังนี่ล่ะ ก็ขอวิจารณ์แบบสายตาคนที่มองเป็นหนังเรื่องหนึ่ง มากกว่าเป็นหนังจากเกมภาค 5 แล้วกันนะครับ ซึ่งตอนแรกก็ยอมรับเลยว่าออกจะเฉย ๆ มากกับเรื่องที่เดินมาตามสูตรผู้กล้าทั่วไปที่มีคำทำนายนั่นนี่ผูกตัวละครอย่าง ริวกะ ไว้ จนออกจะไม่ชอบเสียด้วยซ้ำว่าทำไมต้องรีบเล่าเรื่องเสียขนาดนั้น ทำเอาช่วงหนึ่งเกิดรอยโหว่ในพลอตอยู่เหมือนกันเมื่อเรื่องข้ามเวลาไปอีก 10 ปี โดยตัวละครจากเด็กโตขึ้นเป็นหนุ่มแล้วเพิ่งมาคิดหนีออกจากรังปีศาจ และหลังจากนั้นหนังก็เดินเรื่องแบบฉึบฉับพอสมควรจนกระทั่งเริ่มกลับมาลื่นขึ้น เมื่อ ริวกะ เดินทางมาปราบปีศาจในเมืองของ เจ้าหญิงฟลอร่า เพื่อนวัยเด็ก และได้พบกับ เบียนก้า เพื่อนอีกคนที่มาผูกปมรักสามเส้าขึ้น จังหวะของหนังก็เริ่มลงตัวขึ้นมา หลังจากนั้นแม้หนังจะมีการโดดข้ามเวลาบ้างแต่ก็อยู่ในจุดที่เข้าใจได้ ในจุดเหล่านี้เองที่บางคนจะมองว่าหนังเล่าข้ามส่วนสำคัญจากเกมต้นฉบับไปเยอะเกินไป แต่เอาให้แฟร์ก็คือด้วยเวลาจำกัด 103 นาทีของตัวหนัง ต้องยัดเรื่องราว 3 ชั่วอายุคนลงมาตั้งแต่รุ่นพ่อริวกะ-ริวกะ-จนมาถึงรุ่นลูก จะให้ไม่ตัดทอนอะไรเลยก็ดูจะยากเกินไปล่ะนะ พอมองในฐานะหนังเรื่องหนึ่งจึงพอเข้าใจได้และอาจแค่หักคะแนนการเล่าเรื่องในช่วงต้น แต่คงไม่ถึงกลับจะเกลียดตัวหนังได้ ที่สำคัญหนังยังรักษาพลอตที่เจ๋ง ๆ ไว้เช่นว่าไม่จำเป็นผู้กล้าในคำทำนายเราก็สามารถสร้างตำนานได้ สมชื่อ Your Story ที่เราสามารถเขียนหน้าประวัติศาสตร์ด้วยตนเองจริง ๆ (และชื่อนี้ก็บิดเป็นอีกความหมายในตอนท้ายของหนังได้เจ๋งมาก ๆ ด้วย)
และเมื่อดูไปจนจบเมื่อเฉลยพลอตจริงของหนัง ก็เชื่อว่าไม่แปลกที่จะโดนแฟนเกมสาปส่งเพราะแฟนเกมคงต้องการมาดูเพื่อรำลึกช่วงเวลานอสตัลเจียในอดีตครั้งที่เล่นเกมเมื่อตอนปี 1992 แล้วต้องมาเจอการหักมุมของหนังในแบบที่ไม่ตั้งตัวมาก่อนก็คงทำให้ผิดหวังเอามาก แต่เมื่อมองในฐานะคนดูหนังแล้ว หนังมันกล้าหาญ และใช้ข้อได้เปรียบในการเป็นหนังเล่าหัวใจที่อยากสื่อสารออกมาได้คมดีทีเดียว อาจจะมีเหวออยู่เหมือนกัน แต่ก็คุ้มค่ามาก ๆ ทั้งยังอธิบายได้ว่าจังหวะที่ไม่ลงตัวในตอนต้นนั้นเพราะอะไร (ประโยคที่ตัวร้ายบอกว่า เวลาจริงผ่านมาไม่กี่ชั่วโมงนั่นล่ะ) ไอ้ที่นึกในใจว่าไม่ชอบทั้งหลายก็หายหมด กลายเป็นว่าเป็นอีกหนึ่งแอนิเมชันที่ดีเลยล่ะ ถ้าใครยังไม่ได้ดูก็ขอแนะนำว่าให้วางอดีตหวานกับตัวเกมลงแล้วอิ่มกับการตีความใหม่ของหนัง เป็นอีกเรื่องเล่าไปเลยจะดีกว่ามากนั่นล่ะ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส