เป็นหนังอีกเรื่องที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก และกลายเป็นข่าวร้ายสำหรับแฟน ๆ ที่รอคอยรวมถึงผู้สร้างหนัง เมื่อพิจารณาถึงการโปรโมตที่เดินหน้าไปแล้วกว่า 80% สำหรับ 007 ภาคสุดท้ายของ Daniel Craig ในชื่อตอน No Time To Die หรือพยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะที่มีกำหนดวันฉายเดิมในสหรัฐฯ ในวันที่ 10 เมษายนนี้แล้ว ล่าสุดทางค่ายหนังได้ออกมาประกาศเลื่อนการฉายหนังเรื่องนี้พร้อมกันทุกประเทศทั่วโลก ไปว่ากันใหม่ ณ วันที่ 12 (สำหรับประเทศอังกฤษ) และ 25 พฤศจิกายน (สำหรับสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ) นับเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องแรกที่พ่ายให้กับไวรัส Covid-19 และขอหลบฉากไปทำรายได้ในอีก 7 เดือนนับจากนี้
MGM, Universal and Bond producers, Michael G. Wilson and Barbara Broccoli, announced today that after careful consideration and thorough evaluation of the global theatrical marketplace, the release of NO TIME TO DIE will be postponed until November 2020. pic.twitter.com/a9h1RP5OKd
— James Bond (@007) March 4, 2020
ก่อนหน้านี้ 007 No Time To Die ซึ่งจัดจำหน่ายในสหรัฐฯ โดยค่ายหนัง MGM ของ United Artists และจัดจำหน่ายนอกสหรัฐฯ รอบนี้โดยค่าย Universal Studios ได้ออกมาแถลงข่าวยกเลิกการจัดงานเปิดตัวรอบปฐมทัศน์ในประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นประเทศที่มีฐานแฟน ๆ ของ 007 หนาแน่นเสมอมา ต่อมาเป็นรอบปฐมทัศน์ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษในวันที่ 21 มีนาคมที่ก็ถูกยกเลิก โดยการตัดสินใจเลื่อนครั้งสุดท้ายนี้ที่ถือเป็นการยอมแพ้อย่างเป็นทางการต่อกำหนดวันฉายเดิมนี้ แหล่งข่าวภายในของ The Hollywood Reporter เปิดเผยว่า เป็นคำสั่งตรงลงมาจาก Barbara Broccoli และ Michale G. Wilson หัวเรือใหญ่ทั้งสองที่คุมแฟรนไชส์ James Bond มาอย่างยาวนาน
เมื่อสัปดาห์ก่อน แฟน ๆ หนังของ Bond กลุ่มใหญ่ที่ใช้ชื่อกลุ่มว่า MI6-HQ (MI6 คือชื่อหน่วยงานต้นสังกัดของสายลับ James Bond ตามเนื้อเรื่อง HQ ย่อมาจาก Head Quarter ที่แปลว่าสำนักงานใหญ่) ได้ร่อนจดหมายเปิดผนึกถึงผู้สร้างหนังว่า ” เห็นแก่สุขภาพของแฟน ๆ หนังของคุณ โปรดเลื่อนการฉายออกไปด้วยเถอะ มันเป็นแค่หนัง ไม่สำคัญไปกว่าชีวิตของคนดูหนังหรอกนะ!” ซึ่งเห็นแบบนี้ก็แสดงว่า ค่ายหนังก็ตอบรับการเรียกร้องนี้ของแฟน ๆ
007 No Time To Die เป็นภาคที่ 5 ของ Daniel Craig ทิ้งห่างจากภาคก่อนอย่าง Spectre (2015) ถึง 5 ปีเต็ม ใช้ทุนสร้างถึง 250 ล้านเหรียญฯ สูงกว่าทุกภาคที่เคยสร้างกันมา Craig สวมบทบาทนี้มาตั้งแต่ภาค Casino Royale (2006) เมื่อ 13 ปีก่อน ภาคนี้กำกับโดย Cary Joji Fukunaga จากซีรีส์ True Detective (2014) มินิซีรีส์ Maniac (2018) เนื้อเกี่ยวกับการที่ 007 ได้ออกจากการปฏิบัติหน้าที่เป็นสายลับและเกษียณตัวเองไปอยู่ที่ประเทศจาไมกา แต่แล้วเพื่อนเก่าสายลับ CIA อย่าง “ฟีลิกซ์ ไลเทอร์” ก็ปรากฏตัวเพื่อขอให้เขาทำภารกิจช่วยเหลือนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกลักพาตัวไป ทำไปทำมากลายเป็นว่าภารกิจนี้ซับซ้อนและมีเงื่อนงำบางอย่างซ่อนอยู่ บอนด์ต้องออกไล่ล่าตัวร้ายสุดอันตรายที่มาพร้อมกับอาวุธลับไฮเทคชิ้นใหม่
นอกจากจะได้ Craig กลับมารับบทเป็นครั้งสุดท้าย หนังก็ยังได้สาวบอนด์จากตอนที่แล้ว Léa Seydoux (Mission Impossible: Ghost Protocol) กลับมารับบท “แมดเดอร์ลีน สวอนน์” เช่นเดิม และ Christoph Waltz (Django Unchained, Inglorious Basterds) กลับมารับบท “โบลเฟลด์” ตัวร้ายของภาค Spectre เพิ่มเติมด้วย Rami Malek นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์นำชายปี 2019 มาแสดงเป็นตัวร้ายหลักในภาคนี้
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส