ในยุคสมัยที่อยู่กันของช่วงชีวิตนี้ มนุษย์อาจจะยังไม่เคยชินหรือรู้จักกับการแพร่ระบาดของเชื้อโรคร้ายมากนัก เท่ากับที่เผชิญหน้ากันอยู่ในปัจจุบัน จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 หรือเชื้อไวรัส Corona ที่จนถึง ณ ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 100,000 คนทั่วโลก และมีผู้เสียชีวิตไปแล้วในอัตราประมาณร้อยละ 10 ของจำนวนผู้ป่วยสะสมรวม ในอดีตของมวลมนุษยชาตินั้น มีการระบาดของโรคร้ายหลายครั้งที่จำนวนผู้เสียชีวิตมีเป็นหลักสิบหรือร้อยล้านคน ชนิดทีเมื่อเทียบกับผู้เสียชีวิตจากสงครามโลกทุกครั้งรวมกันก็ยังเทียบกันไม่ได้เลย “โรคระบาด” ที่ธรรมชาติสร้างขึ้น (?) จึงเป็นศัตรูตัวฉกาจของมนุษยชาติ ที่มาถึงทีไรก็วอดวายหายนะกันไปทั้งโลกแทบทุกที
โรคฝีดาษโรมันหรือโรคระบาดแอนโทนีน (Antonine Plague)
- ระยะเวลาที่โรคแพร่ระบาด: ปี ค.ศ.165 มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า The Plague of Galen เป็นโรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษที่ระบาดในอาณาจักรโรมัน
- ชื่อเชื้อโรค: เชื้อฝีดาษ
- พาหะของโรค: สาเหตุการเกิดนั้นเชื่อกันว่า มาจากการที่กองทัพโรมันเดินทางกลับมาจากแถบตะวันออกใกล้ หรือแถบเอเชียตะวันตก โซนประเทศตุรกี อียิปต์ ไปจนถึงจักรวรรดิออตโตมัน
- จำนวนคนตาย: มีผู้เสียชีวิตถึงวันละ 2,000 คน ยอดผู้เสียชีวิตรวมทั้งหมดประมาณ 5 ล้านคน
- ผลกระทบในด้านต่าง ๆ: การแพร่ระบาดในครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงถึงเรื่องของเส้นทางการค้าขาย Indo-Raman Trade ในแถบมหาสมุทรอินเดีย
กาฬโรค (Black Death)
- ระยะเวลาที่โรคแพร่ระบาด: ปี 1346-1353
- ชื่อเชื้อโรค: เชื้อแบคทีเรีย เยอซิเนีย แพสทิซ (Yersinia pestis)
- พาหะของโรค: ซึ่งแพร่ระบาดอยู่ในสัตว์จำพวกหนูและตัวหมัดในแถบตอนกลางของเอเชีย จุดเริ่มต้นนั้นเชื่อว่า มาจากขบวนคาราวานที่เดินทางมาจากทวีปเอเชีย เข้ามาถึงยังท่าเรือเมืองซิซิลี ในประเทศอิตาลีประมาณปี 1347 ก่อนที่จะแพร่ต่อไปทั่วทั้งทวีปยุโรป
- จำนวนคนตาย: 75-200 ล้านคน หรือ 1 ใน 3 ของประชากรโลกในเวลานั้น (ประมาณ 100,000 คน เฉพาะในเมืองมาร์เซย์ ประเทศฝรั่งเศส) ผู้ป่วยที่ติดโรคนี้จะมีหลายอาการ ขึ้นอยู่กับสถานที่ และช่วงเวลาที่พบ โดยมีลักษณะร่วมคือ ผู้ป่วยจะมีฝีมะม่วงขึ้นบริเวณข้อพับ ขาหนีบ คอ รักแร้ มีไข้สูง อาเจียนเป็นเลือด และเสียชีวิตภายในเวลา 2-7 วัน
- ผลกระทบในด้านต่าง ๆ: ซากศพของคนที่ตายนั้นทับถมกันจนสูงเป็นเนิน ทำให้ไม่สามารถเผาทำลายได้อย่างทันท่วงที เมื่อซากเริ่มเน่าสลายก็ก่อให้เกิดเชื้อโรคกระจายลงทั้งพื้นดินและแหล่งน้ำต่อไปไม่จบสิ้น Black Death นั้นมีความหมาย 2 อย่าง นั่นคือ อาการขั้นสุดท้ายของผู้ป่วยจากกาฬโรค ร่างกายจะกลายเป็นสีดำเพราะมีเลือดออกใต้ผิวหนังชั้นหนังกำพร้า และอีกความหมายนั้นสื่อถึงความน่าสะพรึงกลัวของโรคร้ายนี้ และอารมณ์เศร้าหมองของผู้คนในยุคสมัยนั้น
- เทียบช่วงเวลากับไทย: จากข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในพงศาวดารอยุธยา ฉบับวันวลิต พ.ศ. 2182 ว่า ก่อนที่จะสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นมา สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ถูกเนรเทศมาจากเมืองจีน ขึ้นสำเภามาลงที่เมืองปัตตานี แล้วย้ายอยู่ตามเมืองท่าชายทะเลต่างๆ แล้วมาปราบโรคระบาด สถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นในปี พ.ศ.1893 ซึ่งตรงกับ ปี ค.ศ.1350 ซึ่งเป็นปีที่มีการระบาดใหญ่ของ Black Death ในยุโรป และจากข้อมูลการระบาดของกาฬโรคในจีนซึ่งร่วมสมัยกันอยู่ โรค ‘ห่า’ ที่พระเจ้าอู่ทองปราบได้ น่าจะเป็น “กาฬโรค”
อหิวาตกโรค / โรคห่า
- ระยะเวลาที่โรคแพร่ระบาด: มีการระบาดหลายระลอกตามประวัติศาสตร์ของมวลมนุษย์ (ขอยกมาเล่าแต่ครั้งใหญ่ ๆ)
- การระบาดรอบแรกเมื่อปี 1817 เกิดขึ้นในประเทศรัสเซีย เชื้อแพร่กระจายผ่านทางน้ำ และอาหาร ต่อมาติดไปกับทหารอังกฤษ จากนั้นกองเรืออังกฤษก็แพร่ไปสู่ประเทศเสปน อินโดนีเซีย จีน ญี่ปุ่น อิตาลี เยอรมนี สหรัฐอเมริกา และประเทศในทวีปแอฟริกา กระทั่งการแพทย์สามารถผลิตวัคซีนขึ้นมาเป็นผลสำเร็จในปี 1885 แต่การแพร่ระบาดของเชื้อนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไป
- การระบาดในครั้งที่ 3 ปี 1855 เริ่มต้นขึ้นที่ประเทศจีน ก่อนที่จะลามไปยังประเทศอินเดีย และฮ่องกง อาณานิคมของอังกฤษทั้งคู่
- การระบาดในครั้งที่ 6 เริ่มระบาดในประเทศอินเดีย ลุกลามเชื้อไปยังทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปตะวันออกกลาง ทวีปยุโรปตะวันออกอย่างประเทศรัสเซีย ตั้งแต่ปี 1820 จนถึงปี 1911
- ชื่อเชื้อโรค: เชื้ออหิวาตกโรค
- พาหะของโรค: หนูและตัวหมัดเป็นพาหะ ซึ่งแพร่ในชุมชนแออัดและในถิ่นที่มีการใช้ชีวิตอย่างไม่ถูกสุขลักษณะ
- จำนวนคนตาย: รอบแรกมีผู้เสียชีวิตรวมกว่า 1 ล้านคน / การระบาดครั้งที่ 3 เสียชีวิตประมาณ 15 ล้านคน / การระบาดครั้งที่ 6 เสียชีวิตประมาณ 800,000 คน
- เทียบช่วงเวลากับไทย: การระบาดในครั้งที่ 6 ได้ระบาดมายังประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทยในสมัยรัชกาลที่ 2 พ.ศ. 2363 โดยมีการระบาดจากประเทศอินเดียเข้ามาประเทศไทยผ่านทางเมืองปีนัง (ประเทศมาเลเซียในปัจจุบัน) โดยมีผู้เสียชีวิตในกรุงเทพและหัวเมืองใกล้เคียงประมาณ 30,000 คน
โรคไข้หวัดเสปน (The Spanish Flu)
- ระยะเวลาที่โรคแพร่ระบาด: เริ่มแพร่ระบาดในประเทศเสปน ปี 1918 (ช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 1) จนถึงปี 1919 โดยมีทฤษฎีที่เชื่อกันว่า เชื้อไวรัสน่าจะติดมากับกลุ่มแรงงานชาวจีน แล้วไปกลายพันธุ์ที่สหรัฐอเมริกา แต่สุดท้ายสถานที่ที่เกิดการระบาดร้ายแรงที่สุดนั้น เริ่มตันที่กรุงแมดริด ประเทศสเปน ทำให้ถูกเรียกว่า “ไข้หวัดสเปน” นั่นเอง การระบาดของไข้หวัดสเปนนี้กินอาณาเขตทั้งในสหรัฐอเมริกา และยุโรป
- ชื่อเชื้อโรค: เกิดจากไวรัสชนิด A ที่ติดต่อจากหมูสู่คน ต่อมาใช้ชื่อตามระบบสากลว่า H1N1
- พาหะของโรค: หมู ผู้ป่วยที่ติดเชื้อจะมีไข้ จาม คลื่นไส้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และท้องเสีย ซึ่งเป็นอาการแรกเริ่มของไข้หวัดใหญ่ทั่วไป แต่หลังจากนั้นช่วงหลังของการแพร่ระบาด เชื้อก็กลายพันธุ์และมีความร้ายแรงกว่าเก่า
- จำนวนคนตาย: ประมาณ 20-40 ล้านคน (มากกว่าคนที่ตายในสงครามโลกครั้งที่ 1 รวมกัน) จากผู้ติดเชื้อกว่า 500 ล้านคนทั่วโลก คิดเป็นจำนวน 1 ใน 3 ของประชากรทั่วทั้งโลก โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงถึง 25 ล้านคนภายใน 6 เดือนแรกของการแพร่ระบาด นอกจากนี้โรคไข้หวัดเสปนยังมีอัตราการเสียชีวิต 10-20% โดยผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นหนุ่มสาวที่ยังไม่ค่อยมีภูมิต้านทานโรคนี้
โรคไข้หวัดใหญ่เอเชีย (Asian Flu)
- ระยะเวลาที่โรคแพร่ระบาด: 1956-1958 มีต้นกำเนิดจากกลุ่มชาวจีนในมณฑลกุ้ยโจว ประเทศจีน ในระยะเวลา 2 ปีนี้เอง ไข้หวัดใหญ่เอเชียลุกลามไปยังประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง สหรัฐฯ ต่อเนื่องกันไป และขยายไปยังหลายประเทศทั่วโลกในที่สุด
- ชื่อเชื้อโรค: Influenza virus สายพันธุ์ A2 แต่เมื่อมีการปรับเข้าสู่ระบบสากลจึงเปลี่ยนชื่อเป็น H2N2
- พาหะของโรค: ผ่านสารคัดหลั่งของคน ที่ส่วนมากจะแพร่กระจายด้วยการไอหรือจาม
- จำนวนคนตาย: ประมาณ 2 ล้านคน โดยเป็นชาวอเมริกันในสหรัฐฯ 70,000-100,000 คน (บางแหล่งข้อมูลเขียนว่า มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 4 ล้านคน) โชคยังดีที่สายพันธุ์ของไข้หวัดใหญ่เอเชียเป็นสายพันธุ์เดียวกับไข้หวัดนก ซึ่งสามารถผลิตวัคซีนไข้หวัดนกขึ้นได้เป็นครั้งแรกในปีนั้นเอง การแพร่ระบาดจึงได้ยุติลง
- ผลกระทบในด้านต่าง ๆ: การแพร่ระบาดขยายตัวอย่างรวดเร็วเนื่องจากในยุคนั้นเริ่มมีการโดยสารทางเครื่องบินสำหรับนักธุรกิจที่ต้องเดินทางข้ามโลกตลอดเวลา
โรคไข้หวัดฮ่องกง (The Hong Kong Flu)
- ระยะเวลาที่โรคแพร่ระบาด: พบครั้งแรกในฮ่องกง ปี 1968 ก่อนลุกลามไปยังประเทศเวียดนามและสิงคโปร์ภายในเวลาเพียงแค่ 3 เดือน และขยายวงไปยังประเทศอินเดีย ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และประเทศในทวีปยุโรป แอฟริกา อเมริกาใต้
- ชื่อเชื้อโรค: เชื้อไวรัสชนิด H3N2 กลายพันธุ์มาจากโรคไข้หวัดใหญ่เอเชีย
- พาหะของโรค: ผ่านสารคัดหลั่งของคน ที่ส่วนมากจะแพร่กระจายด้วยการไอหรือจาม
- จำนวนคนตาย: มากกว่า 1 ล้านคน (อัตราการตาย 5%) ในฮ่องกงนั้นมีผู้ป่วยมากถึง 500,000 คน หรือคิดเป็น 15% ของประชากรฮ่องกงในเวลานั้น อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้เสียชีวิตในฮ่องกงมีไม่มากนัก นักวิจัยสันนิษฐานว่า เป็นเพราะร่างกายชาวฮ่องกงมีภูมิคุ้มกันจากเมื่อครั้งเจอกับไข้หวัดใหญ่เอเชียระบาดตอนเมื่อ 10 ปีก่อนแล้ว
โรคเอดส์ (AIDS)
- ระยะเวลาที่โรคแพร่ระบาด: เกิดครั้งแรกที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกใน ในปี 1976 จนถึงปัจจุบันก็ยังมีการแพร่ระบาดอยู่
- ชื่อเชื้อโรค: เชื้อ HIV
- พาหะของโรค: ถ่ายทอดผ่านสารคัดหลั่งโดยเฉพาะจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ หรือจากการรับถ่ายเลือดจากผู้ติดเชื้อ
- จำนวนคนตาย: มากกว่า 32-36 ล้านคน (ตลอดที่เคยมีโรคนี้ปรากฎขึ้นบนโลก)
- สถานการณ์ในปัจจุบัน: ปัจจุบันมนุษย์ทั่วไปใช้ชีวิตร่วมกับผู้ป่วยโรคเอดส์ ประมาณ 31-35 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในแถบเมืองซับซาฮารา ทวีปแอฟริกา ประมาณ 21 ล้านคน โดยระหว่างปี 2005-2012 จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์ทั่วโลกลดลงจาก 2.2 ล้านคน เหลือ 1.6 ล้านคนต่อปี
โรคซาร์ส (SARS)
- ระยะเวลาที่โรคแพร่ระบาด: โรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรง (Severe Acute Respiratory Syndrome: SARS) เริ่มแพร่ระบาดในมณฑลกวางตุ้น ปี 2002 ก่อนระบาดใน 27 ประเทศทั่วโลก และสิ้นสุดลงในปี 2003
- ชื่อเชื้อโรค: เชื้อไวรัสในตระกูลโคโรนา (Coronavirus)
- พาหะของโรค: ติดต่อผ่านสารคัดหลั่งของคน ที่ส่วนมากจะแพร่กระจายด้วยการไอหรือจาม
- จำนวนคนตาย: เสียชีวิต 774 รายในประเทศจีน ฮ่องกง ไต้หวัน และสิงคโปร์ (มีผู้ติดเชื้อประมาณ 8,096 คน)
โรคไข้หวัดหมู (Swine Flu)
- ระยะเวลาที่โรคแพร่ระบาด: เริ่มแพร่ระบาดในเมืองเมรารูซ ประเทศเม็กซิโก ปี 2009 พบผู้ติดเชื้อกว่า 130 ประเทศ ระบาดมากที่สุดในประเทศสหรัฐฯ เม็กซิโก อินเดีย และจีน
- ชื่อเชื้อโรค: เชื้อไวรัสกลุ่ม A ชนิด H1N1 โดยเป็นส่วนผสมของเชื้อไข้หวัดในมนุษย์ ไข้หวัดนกอเมริกาเหนือ และไข้หวัดหมูเอเชียและยุโรป
- พาหะของโรค: ยังไม่มีใครทราบว่าเชื้อดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร ที่ไหน แต่สันนิษฐานว่ามาจากหมู โดยเริ่มระบาดจากในประเทศเม็กซิโกและประเทศสหรัฐฯ ติดต่อผ่านสารคัดหลั่งของคน ที่ส่วนมากจะแพร่กระจายด้วยการไอหรือจาม
- จำนวนคนตาย: ประมาณ 20,000 ราย
โรคอีโบลา (Ebola)
- ระยะเวลาที่โรคแพร่ระบาด: การระบาดของโรคนี้เกิดขึ้นหลายรอบ โดยรอบแรกเกิดขึ้นในปี 2013-2016 พบผู้ติดเชื้อกว่า 10 ประเทศ ระบาดมากที่สุดในเมืองเซียร์ราลีโอน โลบีเรีย และกินี และยังมีการระบาดรอบใหม่ในประเทศคองโก ระหว่างปี 2018-2020
- ชื่อเชื้อโรค: เชื้อไวรัสอีโบลา (Ebola Virus)
- พาหะของโรค: แพร่สู่คนจากการสัมผัสผิวหรือสารคัดหลั่งของสัตว์ที่มีเชื้ออยู่ เช่น ลิง ลิงชิมแปนซี หรือค้างคาว และสามารถติดต่อจากคนสู่คน ด้วยการสัมผัสโดยตรงกับเลือดที่ติดเชื้อและสารคัดหลั่ง
- จำนวนคนตาย: ประมาณ 11,300 ราย (มีผู้ติดเชื้อกว่า 28,000 คนตามรายงานเมื่อปี 2015) และในการระบาดรอบใหม่ มีผู้เสียชีวิต 2,241 รายจากจำวนผู้ติดเชื้อกว่า 3,900 คน
- ผลกระทบในด้านต่าง ๆ: เป็นโรคสมัยใหม่ที่สร้างผลกระทบในวงกว้าง ทำให้มีการปิดร้านอาหารและบาร์จากเมืองลอสแอนเจลิสไปจนถึงกรุงโรม สายการบินข้ามมหาสมุทธแอนแลนติกต้องหยุดให้บริการ บริษัทเอกชนและโรงเรียนปิดทำการอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน
โรคเมอร์ส (MERS)
- ระยะเวลาที่โรคแพร่ระบาด: โรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (Middle East Respiratory Syndrome: MERS) องค์การอนามัยโลกประกาศว่า เริ่มมีการแพร่ระบาดเมื่อปี 2012 แถวภูมิภาคอาหรับ ก่อนที่ปี 2015 จะมีการกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้งในประเทศเกาหลีใต้
- ชื่อเชื้อโรค: เชื้อไวรัสโคโรนา (Coronavirus)
- พาหะของโรค: ติดต่อผ่านสารคัดหลั่งของคน ที่ส่วนมากจะแพร่กระจายด้วยการไอหรือจาม
- จำนวนคนตาย: 858 ราย จากผู้ป่วยติดเชื้อรวม 2,494 คน
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส