[รีวิวซีรีส์] Into The Night: ไอเดียที่น่าสนใจ ผสมการสร้างตัวละครทุกตัวให้น่ารำคาญ

Release Date

01/05/2020

Into The Night

พลอตที่ดี ต้องการรายละเอียดที่ไม่เลี้ยวลงทะเล

[รีวิวซีรีส์] Into The Night: ไอเดียที่น่าสนใจ ผสมการสร้างตัวละครทุกตัวให้น่ารำคาญ
Our score
5.5

Into The Night

พลอตดี แต่ตัวละครชวนยี้

จุดเด่น

  1. พลอตและไอเดียตั้งต้นน่าสนใจ
  2. มีความเป็นซีรีส์นานาชาติ

จุดสังเกต

  1. การพัฒนาเรื่องราว และการสร้างตัวละครจัดว่าไร้เหตุผล พยายามยัดเยียดให้เดินตามโครงเรื่องจนขาดความน่าเชื่อถือ
  • ไอเดีย พลอต

    8.5

  • การสร้างตัวละคร

    1.5

  • ความสนุก เพลิดเพลิน

    6.5

เรื่องย่อ ทหารจากนาโต้คนหนึ่งแย่งปืนเจ้าหน้าที่สนามบินแล้วบังคับให้เครื่องบินที่เพิ่งเปิดให้ผู้โดยสารขึ้นได้ไม่กี่คนออกบินทันที เขาสติแตกบังคับให้บินไปทิศตะวันตกเพื่อหนีเวลากลางวัน และบอกว่ากำลังช่วยชีวิตทุกคนบนเครื่องอยู่ เพราะตอนนี้เกิดเหตุการณ์ประหลาดที่ใครก็ตามที่ถูกดวงอาทิตย์สาดส่องจะต้องตายทันที!

Play video

เรื่องย่อข้างต้นคงทำให้ใครที่อ่านน่าจะสนใจซีรีส์พลอตไซไฟเจ๋ง ๆ แบบนี้ได้ไม่ยาก ลองนึกภาพว่าถ้าแสงอาทิตย์ทำให้คนตายได้แล้วคุณอยู่บนเครื่องบินที่ต้องบินหนีไปทางตะวันตกเรื่อย ๆ โดยคำนวณเวลาและปริมาณน้ำมันเพื่อแวะเติมและหนีช่วงเช้าไปเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันก็ได้แต่ดูข่าวว่าผู้คนที่อยู่บนพื้นก็ทยอยตายลงเรื่อย ๆ ไล่จากฝั่งเอเชียมาแบบว่าถึงจะหลบในอาคารไม่โดนแสงโดยตรงก็ยังไม่รอด นี่คงเป็นอวสานโลกแบบไม่ต้องสงสัย คือแค่ไอเดียเรื่องก็น่าสนุกแล้วล่ะ

โดยนี่เป็นซีรีส์สัญชาติเบลเยียม ที่มีความนานาชาติมากเพราะตัวละครจากต่างที่จำเป็นต้องใช้ภาษาสื่อสารกันหลากหลายมากทั้งฝรั่งเศสที่เป็นภาษาหลักของเรื่อง แล้วยังมีภาษาอังกฤษ อิตาลี รัสเซีย อาหรับ ตุรกี โปแลนด์ ใช้เล่นได้อีก ความโชคดีคือเราได้อ่านซับไทยทั้งหมดโดยไม่ต้องสนใจว่าตัวละครพูดภาษาอะไรกัน และในแต่ละตอนจะใช้ชื่อตัวละครเป็นชื่อตอนเพื่อขยายปมในตัวละครตัวนั้น ซึ่งทั้งไอเดียทั้งคอนเซ็ปต์ตัวละครนานาชาติเป็นตัวตั้งต้นที่น่าสนใจให้น่าจะทำซีรีส์ออริจินัลเน็ตฟลิกซ์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก ยิ่งได้ครีเอเตอร์ที่ผลงานดีอย่าง เจสัน จอร์จ ที่เคยอำนวยการผลิตซีรีส์ดี ๆ อย่างซีรีส์ญี่ปุ่น The Naked Director และซีรีส์เจ้าพ่อยาเสพติด Narcos มาคุมการผลิตและเขียนบทด้วยตนเองแบบนี้ด้วยก็ไม่แปลกที่ใคร ๆ ก็คงพูดถึงซีรีส์นี้

Into the Night

ทว่าส่วนผสมตั้งต้นดี ๆ ที่ว่ามาก็มายับเยินจากปัญหาการสร้างตัวละครที่ทุกตัวเหมือนคนมีอาการทางจิต อารมณ์กับตรรกะเหตุผลเปลี่ยนเป็นว่าเล่นแทบทุกนาที และเป็นกับทุกตัวละครหลัก จนเราไม่สามารถคาดเดาหรือยึดสายตาตัวละครไหนแทนตัวเราในการติดตามเรื่องได้เลย ปัญหาที่ว่ามานี้เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนแรกยันตอนที่ 6 อันเป็นตอนสุดท้ายของซีซันแรก โดยที่ชื่อตอนที่เอามาจากตัวละครก็ไม่ได้เป็นว่าตัวละครนั้นจะเป็นพระเอกหรือเปลี่ยนมุมมองเป็นตัวละครนั้นในแต่ละตอนแต่อย่างใด เพียงเพิ่มฉากภูมิหลังตัวละครนั้นเข้ามานิดหน่อยแล้วก็เล่าเรื่องปกติต่อไปแบบเสียของมากที่อุตส่าห์ตั้งชื่อตอนเป็นตัวละคร และกับความยาวแต่ละตอนแค่ 40 นาทีโดยประมาณที่แค่เหตุการณ์ก็ขับเคลื่อนเรื่องได้มากพอแล้ว ก็ไม่แน่ใจว่าจำเป็นต้องใส่การเปลี่ยนแปลงตัวละครไปมามากมายขนาดนี้ทำไมเช่นกัน พูดแบบนี้ก็จะหาว่าอคติในการรับชมมากเกินไปต้องขอยกตัวอย่างพอให้เห็นภาพนิดหน่อย

ตัวละคร ซิลวี่ อดีตทหารที่เพิ่งสูญเสียแฟนจากโรคร้ายเธอเอาเถ้ากระดูกของเขามาขึ้นเครื่องเพื่อไปโรยกระดูก ซึ่งเธอน่าจะเป็นตัวละครที่แทนสายตาผู้ชมมากสุดแล้วทั้งบทที่ชงให้เธอทั้งซีซันและชื่อเธอที่เป็นชื่อตอนแรกด้วย แต่แค่ฉากแรกเมื่อเธอตกอยู่ในสถานการณ์มีคนถือปืนบุกขึ้นเครื่องมาและร้องขอให้ใครก็ได้ที่เคยขับเครื่องบินมาช่วยนักบินอีกคนขับ เธอก็รีบเสนอตัวเพราะเคยขับเฮลิคอปเตอร์มาก่อนทันทีแบบไม่ลังเล แต่พอเข้าไปห้องนักบินได้สักพักเธอก็เพิ่งนึกได้ว่า เฮ้ยอย่าไปยอมมันสิ ให้มันยิงฉันเลย แต่นักบินอย่าเอาเครื่องขึ้นนะ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความไม่แน่นอนของคาแรกเตอร์ตัวละครอย่างซิลวี่เท่านั้น ยิ่งฉากหลัง ๆ ที่นักบินมีปัญหาและซิลวี่ต้องเลือก 2 ตัวละครมาช่วยจับนักบิน เธอก็ใช้ตรรกะที่ดีของเธอเลือกคู่กัดที่เพิ่งมีปัญหาขนาดไล่ให้อีกคนลงจากเครื่องไปตายมาช่วยกัน ซึ่งหนึ่งในคนนั้นเป็นชายแก่ ๆ ดูอ่อนแอเกินจะมาจับใครได้ และทั้งที่บนเครื่องมีผู้ชายตัวใหญ่ ๆ ไม่มีปัญหากันให้เลือกอีกมาก แต่ซิลวี่ก็ไม่เลือกครับ และคู่ที่มีปัญหากันนี้ก็รีบมาช่วยกันแบบไม่มีแง่งอนกันด้วย ร่วมมือกันดีมาก เราก็คิดว่าเออดีจะฆ่ากันเมื่อไม่กี่นาทีก่อนตอนนี้รักกันดีละจะได้ร่วมมือร่วมใจกันทั้งเครื่องเสียที แต่ป่าวครับ เขาก็ร่วมมือกันตามบทแค่ฉากนี้ล่ะ แล้วก็กลับไปมีปัญหากันต่อ (จ้ะ เอาที่สบายใจเลย)

Into the Night

ต่อมาก็ตัวผู้พันแทรันซิโอที่สติแตกยึดเครื่องตั้งแต่ตอนแรก เขาให้เหตุผลว่าดวงอาทิตย์กำลังจะฆ่าทุกคนแต่ไม่มีใครเชื่อเขา เขาเลยต้องเอาปืนมาขู่ให้เอาเครื่องหนีก่อนเรื่องอื่นว่ากันทีหลัง แต่พอต่อมาเมื่อทุกตัวละครรู้แล้วว่าเรื่องที่แทรันซิโอพูดเป็นจริง ในภาวะที่ผู้ชมคิดว่าศัตรูเชิงคอนเซ็ปต์อย่างปรากฏการณ์ธรรมชาติมันรับมือยากขนาดนี้คนที่ช่วยทุกคนไว้และน่าจะมีข้อมูลมากสุดสมควรจะเป็นผู้นำที่บอกว่าควรจะเอายังไงต่อไป สิ่งที่แทรันซิโอเลือกคือเขาขอปืนที่โดนแย่งไปคืนและใช้มันขู่ทุกคนต่อไป ไม่พอเมื่อนักบินคนเดียวของเครื่องอย่าง มาธิว ตัดสินใจทางเทคนิคเรื่องการแวะพักและจุดหมายตามปริมาณน้ำมัน แทรันซิโอก็ใช้ตรรกะว่าเราควรโหวตกันแบบประชาธิปไตยในทุกเรื่องสิแม้แต่เรื่องเทคนิคการบินที่เขาเองก็ไม่มีความรู้ และเพื่อการสร้างมิติตัวละครให้สับสนพอ ๆ กันทุกตัวคนเขียนบทก็ให้แทรันซิโอประกาศกร้าวเรื่องปืนในมือเขาต่อ เป็นนักประชาธิปไตยแบบฟาสซิสต์ที่ผู้ชมต้องเข้าใจตรรกะเขาเอาเอง และจากว่าที่ผู้นำกลุ่มในซีรีส์ปกติเขาก็พัฒนาตัวเป็นตัวสร้างปัญหาอีกตัว

Into the Night

จริง ๆ มันก็น่าสนใจดี ถ้ามันจะมีตัวปัญหาสักตัวบนเครื่อง ทว่าขอโทษเถอะ ในซีรีส์ที่ทุกตัวละครพยายามสร้างปัญหาและหาเรื่องทะเลาะกันทุกอย่างราวกับว่าการเหม็นขี้หน้าทุกคนคือเรื่องใหญ่ที่สุด และไอ้ดวงอาทิตย์ที่กำลังทำมนุษยชาติสูญพันธุ์อยู่ด้านนอกนั้นไม่มีความสำคัญแต่อย่างใดอีกต่อไป ผู้ชมคงได้แต่ภาวนาให้คนเขียนบทช่วยเลิกพัฒนากลุ่มตัวละครแบบงี่เง่า ช่วยสร้างตัวละครที่เรายึดเป็นแก่นให้ติดตามดี ๆ ตรระกะเป้าหมายบุคลิกภาพของตัวเองแบบนิ่ง ๆ ได้สักตัวทีเถอะ แต่ก็นะจนจบซีซันเราก็แค่ต้องทนไอ้ตัวละครกลุ่มนี้ต่อไปแบบ อะไรของพวกเอ็งครับ ไปเรื่อย ๆ ตลอดเรื่อง

Into the Night

ปัญหาทั้งหมดเกิดจากอะไร จากการพิจารณาแล้วก็น่าจะมาจากการที่คนเขียนบทอยากให้เรื่องเดินไปตามเหตุการณ์ที่คิดวางไว้ทั้งหมดแล้ว ตอนนี้ตัวละครต้องทำแบบนี้เพื่อแบบนี้ และคนเขียนบทก็มีอีกโจทย์ที่ต้องทำไปพร้อมกันคือพัฒนาความขัดแย้งของตัวละครทุกตัวให้มีปมมีคอนฟลิกต์ห้ามร่วมมือกันง่าย ๆ ให้เรื่องน่าสนใจมีมิติของตัวละครอยู่ตลอด แต่ทั้งเหตุการณ์และการพัฒนาตัวละครมันไปด้วยกันไม่ได้ ตัวละครเลยมีความคิดแกว่งไปแกว่งมาปมในใจก็จะมี ทะเลาะก็ต้องทะเลาะ แต่พอถึงฉากนี้ต้องทำแบบนี้ให้เรื่องมันเดินต่อไปได้ ซึ่งที่ว่ามามันเป็นปัจจัยที่ทำลายตัวซีรีส์เองลงเรื่อย ๆ ดูจนจบก็ไม่มีตัวละครไหนที่รู้สึกผูกพันหรือเชียร์เลย

สรุป สิ่งที่ดีที่สุดในเรื่องนี้ก็คงเป็นไอเดียตั้งต้นที่ดี ซึ่งก็เป็นอย่างเดียวจริง ๆ ที่ทำให้ดูได้จนจบซีซันแรกว่าเรื่องมันจะสรุปไอเดียตัวเองอย่างไร และใครชอบดราม่าที่ตัวละครทุกตัวทะเลาะกันตลอดเรื่องแบบไม่ต้องมีเหตุผลนำมาก่อนแต่อย่างใดก็น่าจะชอบเรื่องนี้

Into the Night

 

 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส