สร้างความดีใจให้กับคอหนังทั่วประเทศหลังจากรัฐบาลและ ศบค. ได้ประกาศคลายมาตรการล็อกดาวน์ในเฟสที่ 3 ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ที่อนุญาตให้โรงหนังกลับมาเปิดให้บริการได้ (ภายใต้เงื่อนไขจำกัดจำนวนผู้ใช้บริการ 200 คน และให้นั่งคู่กันได้แต่ต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดการชม) เชื่อว่า คอหนังอาจจะอยากรู้ว่าในวันที่ 1 มิถุนายนที่จะถึงนี้จะมีหนังเรื่องไหนให้ได้ชมกันบ้าง ทางแฟนเพจของเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ และเอสเอฟ ซีนีมา ก็ได้ประกาศออกมาแล้วว่า หนังชุดแรกที่จะได้ชมตั้งแต่วันแรกของการเปิดโรงมีเรื่องอะไรบ้าง ซึ่ง What the Fact ได้รวบรวมรายชื่อและรายละเอียดความน่าสนใจของหนังชุดแรกนี้มาให้เลือกไปชมกันอีกครั้ง
Military Wives
- นักแสดง: Kristin Scott Thomas, Sharon Horgan, Emma Lowndes, Amy James-Kelly, Lara Rossi
- ผู้กำกับ: Peter Cattaneo (The Full Monty, The Rocker)
- ระดับความน่าดู: พอปคอร์น 9/10 ถัง (อ่านรีวิวฉบับเต็มเรื่องนี้ของ WTF กดเลย!)
- น่าดูยังไง?: นับเป็นงานคัมแบกคืนฟอร์มของ Peter Cattaneo กลับมาอยู่ในสปอตไลต์อีกครั้ง ทิ้งห่างจาก The Full Monty ในปี 1997 ที่หลายคนยังประทับใจไม่หายและก็แอบเห็นสูตรสำเร็จที่ผู้กำกับยังนำมาใช้โดยเฉพาะการรวมตัวกันของกลุ่มคนนอกสายตาที่มารวมตัวกันทำกิจกรรมเพื่อค้นพบคุณค่าในตัวเอง
- เมื่ออังกฤษส่งทหารไปประจำการที่อัฟกานิสถาน เหล่าแม่บ้านแห่งค่ายทหารจึงฟอร์มวงประสานเสียงเพื่อหวังใช้เวลาว่างในแต่ละวันไปกับกิจกรรมที่ทำให้พวกเธอเลิกกังวลถึงสามีในแนวหน้า โดยมีโต้โผหลักคือ “เคต”คุณเมียผู้พันเป๊ะทุกกระเบียดนิ้ว และ “ลิซ่า” คุณเมียจ่าหมาด ๆ ผู้มีพื้นฐานทางดนตรี ทั้งสองได้ฝึกซ้อมเหล่าบรรดาเมีย ๆ ของเหล่านักรบเพื่อร้องเพลงรักจากใจ พอโอกาสใหญ่มาถึง เมื่อพวกเธอได้โอกาสไปแสดงในวันรำลึกทหารผ่านศึกที่ถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ
Sonic the Hedgehog
- นักแสดง: Ben Schwartz, James Marsden, Jim Carrey
- ผู้กำกับ: Jeff Fowler
- ระดับความน่าดู: พอปคอร์น 9/10 ถัง (อ่านรีวิวฉบับเต็มเรื่องนี้ของ WTF กดเลย!)
- น่าดูยังไง?: เรื่องราวของเจ้าเม่นสายฟ้า “โซนิค” (ให้เสียงโดย Ben Schwartz จากหนัง Parks and Recreation) ที่มีพลังความเร็วระดับซูเปอร์โซนิค เขาผูกมิตรกับเพื่อนมนุษย์นายอำเภอนามว่า “ทอม วาชาวสกี้” (James Marsden จาก X-Men ไตรภาคแรกสุด) และต้องออกผจญภัยร่วมกันเมื่อ ดร.โรบอตนิค ตัวร้ายของเรื่อง (Jim Carrey ที่หายหน้าหายตาจากหนังใหญ่ไปนาน) พยายามไล่จับโซนิคเพื่อใช้พลังความเร็วของมันในการครอบครองโลก ตัวการ์ตูนสุดคลาสสิกจากวิดีโอเกมค่าย Sega ตัวนี้ ใช้เวลาเดินทางนานพอสมควรกว่าจะได้ขึ้นจอใหญ่ ซึ่งค่ายหนังอย่าง Paramount ก็ดูจะมั่นอกมั่นใจอย่างเต็มที่ว่าหนังจะปังแน่
- หลังจากเลื่อนกำหนดฉายเดิมในสหรัฐฯ จาก 8 พฤศจิกายนปีก่อน มาเป็นวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ปีนี้แทนเพื่อขอเวลาแก้เทคนิค CG ให้หน้าตาออกมาดูดีอย่างที่เห็นในตอนนี้ หนังกลายเป็นความสำเร็จด้วยการเป็นหนังแอนิเมชันที่สร้างจากเกมที่เปิดตัวสูงสุดเป็นอันดับ 1 (58 ล้านเหรียญฯ) และทำรายได้รวมทั่วโลกไปแล้ว 306 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้าง 85 ล้านเหรียญฯ แม้จะน้อยไปหน่อยเพราะโลกเข้าสู่สถานการณ์โควิดจนต้องปิดโรงหนังกันไป แต่ค่ายหนังก็พร้อมเดินหน้าโกยเงินใหม่กับภาค 2 ต่อแล้ว
Last Letter
- นักแสดง: ทาคาโกะ มัตสึ, ฮิโรเสะ ซึสึ, มาซาฮารุ ฟูกุยามา, นานะ โมริ
- ผู้กำกับ: ชุนจิ อิวาอิ
- ระดับความน่าดู: พอปคอร์น 9/10 ถัง (อ่านรีวิวฉบับเต็มเรื่องนี้ของ WTF กดเลย!)
- น่าดูยังไง?: จากเรื่องราวแสนเจ็บปวดในโลกเหงาของวัยรุ่นจาก All About Lili Chou Chou (2001) และ รักแสนเจ็บปวดของสองสาวจาก Hana and Alice (2004) และอีกหลากหลายเรื่องราวชีวิต ความรัก และ ความฝันวัยเยาว์ที่ผ่านการถ่ายทอดโดย ชุนจิ อิวาอิ ผู้กำกับหนังดรามาที่ผสานเทคนิคและการกำกับการแสดงสุดละเมียดเข้ากันได้อย่างลงตัวที่สุด และคงไม่ผิดหากจะบอกว่าเขาเป็นเหมือนช่างชำนาญการด้านวัยรุ่นที่สุด เพราะเรื่องราวที่เขาบอกเล่าส่วนใหญ่แทบหนีไม่พ้นการถ่ายทอดเรื่องราวของตัวละครในวัยมัธยมหรือกำลังตามหาความฝัน
- ด้วยหวังไปแจ้งข่าวร้ายให้เพื่อน ๆ แต่ “ยูริ” กลับถูกเข้าใจผิดว่าเธอคือ “มิซากิ” พี่สาวของเธอจนได้พบกับ “เคียวชิโระ” รุ่นพี่นักเขียนนิยายที่เป็นเหมือนรักแรกในวัยมัธยม แต่หลังจากคุยแชตในมือถือจนเกิดเรื่องเข้าใจผิดกับสามี “ยูริ” เลยเลือกสวมรอยเป็นพี่สาวส่งจดหมายไปคุยกับ “เคียวชิโระ” แทน แต่วันนึงเธอเผลอใส่ที่อยู่บ้านของมิซากิในปัจจุบันไปจนทำให้ “อายูมิ” (ฮิโรเสะ ซึสึเล่นเป็นคนเดียวกับมิซากิ) ลูกสาวของมิซากิ และ “ฟูกะ” ลูกสาวของเธอได้มีโอกาสสวมรอยแทน มิซากิ ส่งจดหมายไปหา เคียวชิโระ แล้วเรื่องราวรักสามเส้าที่ทั้งเจ็บปวดและงดงามในวัยมัธยมระหว่าง เคียวชิโระ ยูริ และ มิซากิ ก็ค่อย ๆ เปิดเผยออกมาและจะทำให้ทุกคนได้รู้ถึงความสวยงามของความทรงจำในรักครั้งแรก และความฝันในวัยเยาว์
The Invisible Man
- นักแสดง: Elisabeth Moss, Oliver Jackson-Cohen, Aldis Hodge, Storm Reid, Harriet Dyer
- ผู้กำกับ: Leigh Whannell (Insidious: Chapter 3, Upgrade)
- ระดับความน่าดู: พอปคอร์น 8/10 ถัง (อ่านรีวิวฉบับเต็มเรื่องนี้ของ WTF กดเลย!)
- น่าดูยังไง?: “เซซิเลีย แคส” ที่มีแฟนหนุ่มที่ดูภายนอกออกจะเพรียบพร้อม เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ปราดเปรื่องและร่ำรวย แต่ลึก ๆ แล้วเป็นคนมีนิสัยรุนแรง ที่ทั้งทำร้ายร่างกายเธออย่างเจ็บแสบ เธอหนีมาจากเขาได้ในที่สุด ต่อมาเซซิเลียพบว่าแฟนของเธอฆ่าตัวตายและทิ้งทรัพย์สมบัติจำนวนมากให้เธออย่างเป็นปริศนา เธอฉุกคิดว่านั่นอาจเป็นแผนการร้ายบางอย่าง แล้วความระทึกขวัญสั่นประสานก็เกิดขึ้น เมื่อเธอรู้สึกว่าเธอถูกติดตามอย่างลับ ๆ โดยอะไรบางอย่างที่เธอมองไม่เห็นตัว ขณะที่ทุกคนรอบตัวก็คิดว่าเธอเสียสติ เธอจึงจำเป็นพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเธอไม่ได้คิดไปเอง
- หนังทุนสร้าง 9 ล้านเหรียญฯ แต่ก็กำไรไปหลายเท่าตัวตั้งแต่เข้าฉายได้เกือบ 3 สัปดาห์ก่อนโลกจะเข้าสู่ช่วงโควิด โดยทำรายได้จากการฉายโรงไป 122 ล้านเหรียญฯ และยังไม่นับการขายแบบ VDO ออนดีมานด์ ที่ Universal ตัดใจขายแบบออนไลนด์ทันทีเป็นเรื่องแรก ๆ แซงหน้าหนังของค่ายอื่น ๆ ทั้งหมด หนังได้รับคำวิจารณ์ค่อนข้างดี ใครที่ยังไม่ได้ชมก็น่าจะกลับไปดูในโรงกับโอกาสนี้
Birds of Prey
- นักแสดง: Margot Robbie, Ewan McGregor, Mary Elizabeth Winstead, Jurnee Smollett-Bell, Bojan Novakovic, Ali Wong
- ผู้กำกับ: Cathy Yans (Dead Pigs)
- ระดับความน่าดู: พอปคอร์น 7/10 ถัง (อ่านรีวิวฉบับเต็มเรื่องนี้ของ WTF กดเลย!)
- น่าดูยังไง?: ทิศทางใหม่ของหนังที่สร้างตัวละครจาก DC ให้เป็นเอกเทศแยกจากกันมากขึ้น ในตอนต้นควินน์ถูกโจ๊กเกอร์หักอก เธอกลับไปยังโรงงานสารเคมี สถานที่ที่โจ๊กเกอร์สร้างเธอขึ้นมาในภาค Suicide Squad หลังจากนั้นเธอก็ทำลายมันทิ้ง (มีการยืนยันแล้วว่า โจ๊กเกอร์ของ Jared Leto จะไม่มาปรากฎตัวในเรื่องอย่างแน่นอน) เมืองก็อตแธมดูแตกต่างและเต็มไปด้วยสีสันมากกว่าที่เคยเห็นมาในเรื่องไหน ๆ เหตุผลก็เพราะหนังจะเล่าผ่านมุมมองของ ฮาร์ลีย์ ควินน์ ที่มองทุกอย่างแบบ “คัลเลอร์ฟูล” แต่ก็ใช่ว่าสิ่งที่เธอเล่าออกมานั้น จะตรงกับโลกแห่งความจริงทั้งหมด
- นักวิจารณ์ที่ได้ชมกลุ่มแรกที่ชมบอกว่า หนังจะแอ็กชันถึงอกถึงใจในระดับ John Wick ภาคผู้หญิงกันเลยทีเดียว แต่พอออกฉายมาได้สักพักกลับไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมกลุ่มทั่วไปมากนัก และก็ทำให้ค่าย Warner ต้องเสียเซลฟ์กับรายได้ที่น้อยเกินไปของหนัง ที่ทำรายรับทั่วโลกไปแค่ 201 จากทุนสร้าง 84 ล้านเหรียญฯ ส่วนหนึ่งก็เพราะชื่อหนังที่ตั้งตอนแรกที่ไม่รู้ว่าสื่อถึงฮาร์ลีย์ ควินน์ จาก Suicide Squad (2016) ด้วย แต่ Warner ก็ยังไม่หมดศรัทธา เพราะควินน์ของ Margot Robbie จะกลับมาอีกครั้งใน The Suicide Squad (2021) ภาคต่อกึ่งรีเมก
1917
- นักแสดง: Colin Firth, Benedict Cumberbatch, Dean-Charles Chapman, George MacKay, Daniel Mays, Pip Carter
- ผู้กำกับ: Sam Mendes (American Beauty, Skyfall, Road to Perdition, Revolutionary Road)
- ระดับความน่าดู: พอปคอร์น 9/10 ถัง (อ่านรีวิวฉบับเต็มเรื่องนี้ของ WTF กดเลย!)
- น่าดูยังไง?: ผลงานของผู้กำกับและตากล้องตัวท็อปของวงการ ผู้กำกับก็คือ Sam Mendes ผู้ชนะรางวัลออสการ์จากหนัง American Beauty และกำกับหนัง 007 ที่ทำรายได้มากที่สุดอย่าง Skyfall ส่วนฝั่งผู้กำกับภาพวัย 70 อย่าง Roger Deakins นั้น ก็เคยร่วมงานกับ Mendes มาตั้งแต่ Skyfall รวมถึงหนังฟอร์มยักษ์ที่ภาพสวยจับใจหลายเรื่องเช่น Blade Runner 2049, Sicario, In Time, True Grit และ No Country for Old Men หนังถูกวางตัวเป็นม้ามืดตัวเก็งออสการ์ แต่ก็พ่ายให้กับ Parasite คว้าไป 3 สาขาคือ ถ่ายภาพยอดเยี่ยม (Deakins) วิชวลเอฟเฟกต์ยอดเยี่ยม และผสมเสียงยอดเยี่ยม ทำรายได้รวมทั่วโลกไป 368 จากทุนสร้าง 95 ล้านเหรียญฯ
- หนังนำเสนอเรื่องตลอด 2 ชั่วโมงแบบภาพ Long-Take (ปลอม ๆ เพราะใช้การตัดต่อที่แนบเนียน) Deakins ใช้กล้อง Alexa Mini LF รุ่นใหม่ล่าสุดที่สนองตอบการถ่ายภาพที่ลื่นไหล ละเอียด และงดงามแบบที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อนจากกล้องตัวไหน หนังบอกเล่าเรื่องราวของทหารยศน้อยสองนายที่ติดอยู่กลางสนามรบของสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 6 เมษายน 1917 พวกเขาต้องนำจดหมายไปส่งให้ถึงนายพลเพื่อยับยั้งการเดินทัพเข้าไปติดกับดักของข้าศึก ระหว่างนั้นพวกเขาต้องผ่านพื้นที่น่าสะพรึง ภาพชวนเวทนา และสถาการณ์บีบคั้นต่าง ๆ มากมายจากสงคราม หนังได้ชื่อว่าเป็นหนังสงครามที่ให้ภาพสมจริงระดับเดียวกับ Saving Private Ryan (1997)
Bloodshot
- นักแสดง: Vin Diesel, Guy Pearce, Toby Kebbell, Eiza González, Sam Heughan
- ผู้กำกับ: Dave Wilson
- ระดับความน่าดู: พอปคอร์น 7/10 ถัง (อ่านรีวิวฉบับเต็มเรื่องนี้ของ WTF ได้ที่นี่)
- น่าดูยังไง?: Vin Diesel ขอกระโดดเข้าสู่หนังซูเปอร์ฮีโรอีกเรื่อง เพื่อหวังเปิดแฟรนไชส์ใหม่ให้กับตัวเองในหนัง Bloodshot เล่าเรื่องราวของ “เรย์ แกริสัน” นักฆ่าที่เข้าโครงการคุ้มกันพยาน แต่ถูกหักหลังและนำตัวไปทดลองในการสร้างสุดยอดนักฆ่าขององค์กรลับ ทำให้เขาสูญเสียความจำไปทั้งหมด และกลายเป็น Bloodshot ผู้ที่มีพลังซ่อมแซมตัวเอง สามารถแปลงตัวเองเป็นใครก็ได้ และยังเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ องค์กรลับจะล้างสมองเขาก่อนไปทำภารกิจด้วยการใส่หน้าเป้าหมายเข้าไปในความทรงจำของเรย์ กำกับโดย Dave Wilson ผู้กำกับที่มาจากสายงานเทคนิคพิเศษ และเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Blur Studio กับ Tim Miller (Terminator: Dark Fate, Deadpool) โดยจะกำกับจากบทของ Eric Heisserer (Arrival, Lights Out) อุ่นเครื่องรอเจอพ่อ Vin ก่อน Fast & Furious ภาค 9
Brahms: The Boy 2
- นักแสดง: Katie Holmes, Owain Yeoman, Christopher Convery, Ralph Ineson
- ผู้กำกับ: William Brent Bell (The Boy, The Devil Inside, Stay Alive)
- ระดับความน่าดู: พอปคอร์น 6/10 ถัง (อ่านรีวิวฉบับเต็มเรื่องนี้ของ WTF ได้ที่นี่)
- น่าดูยังไง?: ภาคแรกเล่าเรื่องราวของพี่เลี้ยงเด็กได้รับว่าจ้างให้มาดูแลลูกชายของคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งในคฤหาสน์โบราณแสนสยองขวัญ เธอพบความจริงว่าลูกของทั้งคู่คือ ตุ๊กตาแทนตัวลูกชายชื่อ “บราห์ม” ที่ตายไปนานแล้ว ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังรับงานเป็นพี่เลี้ยงตุ๊กตา เพราะได้เงินดี แต่ต่อมาเธอก็ได้พบความสยอง เมื่อตุ๊กตาบราห์มตัวนั้นขยับได้
- ส่วนภาค 2 บอกเล่าเรื่องราวของอีกครอบครัวหนึ่งที่ย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์เดิมของภาคแรก แล้วลูกชายของครอบครัว (รับบทโดย Christopher Convery จากซีรีส์ Stranger Things) ก็ได้ไปพบตุ๊กตาบราห์มและกลายเป็นเพื่อนกัน แต่ในเมื่อผู้ชมได้รู้เบื้องหลังของตุ๊กตาสยองกันมาตั้งแต่ภาคแรก ก็ต้องมาร่วมกันลุ้นว่า ลูกชายและครอบครัวนี้จะรอดพ้นจากตุ๊กตาผีนี้ไปได้อีหรอบไหนกัน?
My Spy
- นักแสดง: Dave Bautista, Chloe Coleman, Ken Jeong, Greg Bryk
- ผู้กำกับ: Peter Segal (50 First Dates, Get Smart, The Longest Yard)
- ระดับความน่าดู: พอปคอร์น 8/10 ถัง (อ่านรีวิวฉบับเต็มเรื่องนี้ของ WTF กดเลย!)
- น่าดูยังไง?: หากคุณชอบหนังที่นักบู๊ตัวบึ้กต้องมากลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กน้อยตัวแสบ อย่าง The Kindergarten Cop, Game Plan, The Pacifier ที่ Arnold Schwarzenegger, Dwayne Johnson, Vin Diesel เคยรับบทมาก่อนแล้วตามลำดับ ก็น่าชอบเรื่องนี้ด้วยไม่ยาก นักแสดงที่ผันตัวมาจากการเป็นหนังมวยปล้ำอย่าง Dave Bautista รับบทเป็น “เจเจ” สายลับผู้แข็งกร้าว แต่กลับไปไม่เป็นเมื่อต้องมารับมือกกับเด็กหญิงเก้าขวบที่ฉลาด น่ารัก และมีเสน่ห์อย่าง “โซฟี” (รับบทโดย Chloe Coleman จากซีรีส์ Big Little Lies) เจเจเป็นซีไอเอบ้างานที่ไปเฝ้าติดตามพ่อแม่ของโซฟี แต่ถูกเธอจับได้ และขู่ที่จะแฉเขา เขาจึงจำใจต้องยอมทำตามคำสั่งของเธอ ระหว่างนั้นเขาก็ได้เรียนรู้การมีจิตใจที่โอนโยนลง และโซฟีก็ได้เรียนรู้การเป็นสายลับรุ่นจิ๋วไปในขณะเดียวกัน
พี่นาค 2
- นักแสดง: วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์, วิทวัส รัตนบุญบารมี (เอม ตามใจตุ๊ด-เจ้าของช่อง YouTube ชื่อดัง), คุณพัทธ์ พิเชษฐ์วรวุฒิ, อธิวัตน์ แสงเทียน, ภูริพรรธน์ เวชวงศาเตชาวัชร์, ธามไท แพลงศิลป์, พีรวิชญ์ อรรถชิตสถาพร
- ผู้กำกับ: ภณธฤต โชติกฤษฎาโสภณ (มอญซ่อนผี)
- ระดับความน่าดู: พอปคอร์น 7/10 ถัง (อ่านรีวิวฉบับเต็มเรื่องนี้ของ WTF กดเลย!)
- น่าดูยังไง?: หนังภาคต่อ 1 ปีจากภาคที่แล้ว ที่ทำรายได้ในกรุงเทพและเชียงใหม่ไปกว่า 50 ล้านบาท และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากประเทศเพื่อนบ้าน ภาค 2 เล่าเรื่องเกี่ยวกับ “พระบอลลูนและพระเฟิร์ส” ต้องแอบสึกแบบลับ ๆ ปล่อยให้ “พระโหน่ง” อยู่รับ ใช้ศาสนากับสองคู่หู “เณรน้อตและอ๊อด” ต่อไปในวัดที่มีตำนานความสยอง มีคำร่ำลือกันว่า คนที่มาบวชที่นี่ต่างต้องตายตอนเป็นนาคและไม่เคยมีใครบวชเป็นพระได้เลย เพราะความเฮี้ยนของผีพี่นาคที่ตามหลอกหลอนผู้ที่จะมาบวชจนบวชไม่สำเร็จ แต่แล้วบอลลูนและเฟิร์สก็ต้องย้อนกลับมาที่วัดในสภาพร่อแร่ปางตาย ขอกลับมาบวชซ้ำรอบสองเพื่อหวังล้างคำสาปที่วัดแห่งนี้ไม่มีใครเคยได้สึก ซึ่งก็ต้องมาลุ้นกันว่าจะสึกได้สำเร็จหรือไม่ หนังทำรายได้ในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ไปก่อนปิดช่วงโควิด-19 ที่ 35 ล้านบาท (น้อยกว่าภาคแรก)
Low Season สุขสันต์วันโสด
- นักแสดง: มาริโอ เมาเร่อ, พลอยไพลิน ตั้งประภาพร, กิดาการ ฉัตรแก้วมณี, อัครินทร์ อัครนิธิเมธ, ศรีพรรณ ชื่นชมบูรณ์, ศกลรัตน์ วรอุไร, ณฉัตร จันทพันธ์, นาคร ศิลาชัย, ศุภกร กิจสุวรรณ
- ผู้กำกับ: นฤบดี เวชกรรม (สาระแนห้าวเป้ง, สาระแนสิบล้อ, สาระแนเห็นผี)
- ระดับความน่าดู: พอปคอร์น 8/10 ถัง (อ่านรีวิวฉบับเต็มเรื่องนี้ของ WTF ได้ที่นี่)
- น่าดูยังไง?: “หลิน” สาววัยรุ่นที่โสดด้วยเหตุผลที่แปลกกว่าชาวบ้าน เพราะว่าเห็นผี! จนโดยผู้ชายเท เธอจึงจัดทริปลุยเดี่ยวไปรักษาแผลใจ ถึง กิ่วแม่ปาน จังหวัดเชียงใหม่ ที่นั่นเธอได้เจอกับ “พุธ” บิวตี้บล็อกเกอร์ (?) และนักเขียนบทหนังที่ไอเดียตันและรักคุดมาเหมือนกัน โพรเจกต์หนังเรื่องใหม่จะต้องได้คนเห็นผีมาช่วยออกไอเดียพอดิบพอดี พุธและหลินได้ไปรวมตัวกับโฮมเสตย์แห่ง “คนโสด” ที่มาดามแผลใจและมาเที่ยวให้อุ่นในเมืองหนาวเพื่อคลายเหงา
- หนังรักอารมณ์ดีของพระเอกพันล้าน “มาริโอ เมาเร่อ” ที่เคยฝากผลงานหนังรักอย่างสิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารักกับค่ายสหมงคลฟิล์มเดียวกันนี้มาแล้ว ส่วนนางเอกก็เป็นการประเดิมผลงานการแสดงครั้งแรกของพลอยไพลิน ตั้งประภาพร เจ้าของเพจชื่อดัง “พลอยเรียนจบแล้วไปทำอะไรต่อ?” ซึ่งทีมงานใช้เวลาแคสติงนักแสดงมารับบทนี้ถึง 2 ปีเลยทีเดียว หนังทำรายได้ก่อนปิดช่วงโควิดไปเยอะพอสมควรเทียบกับหนังรักของไทยที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จนักช่วงหลัง ๆ ที่ 38 ล้านบาท
Classic Again จดหมาย สายฝน ร่มวิเศษ
- นักแสดง: รัญชน์รวี เอื้อกูลวราวัตร, ฐิติภูมิ เตชะอภัยคุณ, สุทธิรักษ์ ทรัพย์วิจิตร, ชนนิกานต์ เนตรจุ้ย
- ผู้กำกับ: ธัชพงศ์ ศุภศรี
- ระดับความน่าดู: พอปคอร์น 7/10 ถัง (อ่านรีวิวฉบับเต็มเรื่องนี้ของ WTF ได้ที่นี่)
- น่าดูยังไง?: จากผลงานสุดแสนตราตรึงฉบับเกาหลีปี 2003 ของผู้กำกับกวักแจยง เรื่อง The Classic หรือชื่อไทยว่า “คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต” ที่แจ้งเกิดซนเยจิน (ที่กำลังดังในตอนนี้จากซีรีส์ Crash Landing on You) นำมาสู่หนังไทยฉบับปี 2020 บอกเล่าเรื่องราวแบบเดียวกัน เมื่อ” โบต้า” (รัญชน์รวี เอื้อกูลวราวัตร นักแสดงจากละครช่อง 3) นักศึกษาสาวที่แอบหลงรัก “นน” (สุทธิรักษ์ ทรัพย์วิจิตร) อยู่ข้างเดียว เพราะเพื่อนสนิทของเธออย่าง “ป๊อปปี้” (ชนนิกานต์ เนตรจุ้ย) ก็กำลังมีใจให้นนอยู่เช่นกัน วันหนึ่งโบต้าได้พบกับกล่องใบเก่าที่ “ดาหลา” (รัญชน์รวี เอื้อกูลวราวัตร) แม่ของเธอได้เก็บจดหมายที่บรรจุความทรงจำรักครั้งแรกของเธอกับ ขจร (นิว-ฐิติภูมิ เตชะอภัยคุณ นักแสดงดังจากซีรีส์ Dark Blue Kids จูบสุดท้ายเพื่อนายคนเดียว) ที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่โบต้ากำลังเผชิญอยู่จนน่าตกใจ
- ความรักสามเส้าของคนสองรุ่นกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่โบต้าได้ย้อนกลับไปเรียนรู้ความสวยงาม ความเจ็บปวด และการยอมเสียสละเพื่อความรักของคนรุ่นก่อน และกลายเป็นบทเรียนสำคัญที่เธอต้องกลับมาตอบคำถามตัวเองให้ได้ว่าจะตัดสินใจอย่างไรกับความสัมพันธ์อันแสนซับซ้อนที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเธอในตอนนี้ หนังทำรายได้ก่อนปิดโควิดไปไม่เยอะที่ 3 ล้านบาท ยังไงก็กลับไปเชียร์หนังไทยกันอีกรอบได้นะ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส