Our score
4.7[รีวิว] Fantasy Island : หวีดสยองเอาฮา แต่ไปไม่สุด
จุดเด่น
- มีเส้นเรื่องหลักที่สามารถต่อยอดไปได้หลายแนวชวนติดตาม
- เป็นหนังสยองขวัญที่ฉีกออกมาจากขนบเดิม มีความพยายามใส่ comedy เข้ามา
จุดสังเกต
- เล่าเรื่องเยิ่นเย้อเกินไป ไม่กระชับ
- ขาดความต่อเนื่องและสมเหตุสมผลในองค์สุดท้าย
-
ตรรกะ ความสมเหตุสมผล ของบทภาพยนตร์
4.0
-
ความสมบูรณ์ของงานสร้าง
5.0
-
คุณภาพนักแสดง
4.0
-
ความสนุก บ้าระห่ำตามแนวหนัง
6.0
-
ความคุ้มค่าตั๋ว
4.5
ช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ Blumhouse สถาปนาตัวเองเป็นแบรนด์ค่ายหนังสยองขวัญทุนต่ำที่มักสร้างเซอร์ไพรส์ให้คอหนังมาแล้วหลายเรื่อง แถมยังน่าจับตามองจากโมเดลธุรกิจที่จับคอนเซปต์ชัด มาในแนวม้ามืดที่ ‘มีของ’ ตั้งแต่พลอตและการนำเสนอหนังหวีด ๆ ในมุมที่แหวก ๆ ชวนหายใจไม่ทั่วท้องและหักมุมปัง ๆ จนสร้างตัวพารวย ไม่ว่าจะเป็น Paranormal Activity, Insidious หรือ Sinister จวบจนมารับทำหนังให้ Universal Pictures ก็ต่อยอดงานแฟรนไชส์ รวมทั้งความประทับใจในงานช่วงหลัง ๆ อย่าง Get Out หรือ Spilt
ล่าสุดปีนี้ Fantasy Island หรือในชื่อไทย ‘เกาะสวรรค์ เกมนรก’ อีกหนึ่งงานจากสตูดิโอ Blumhouse ก็ได้ฤกษ์เข้าฉายในบ้านเรา หลังเลื่อนมาตั้งแต่ช่วงสงกรานต์จากพิษโควิด ซึ่งก่อนหน้านี้ Blumhouse ก็ประเดิมปีหนูไปแล้วกับ The Invisible Man ที่ฟีดแบ็ก ‘ปังเวอร์’
Fantasy Island เล่าเรื่องราวของเกาะลึกลับแห่งหนึ่งที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘เกาะสวรรค์’ ซึ่งดลบันดาลให้ผู้โชคดีจากการชนะเกมชิงรางวัลกลุ่มหนึ่งที่ได้เดินทางมาพักผ่อนยังเกาะนี้ สุขสมหวังกับสิ่งปรารถนาได้ 1 ข้อ เพียงแต่ความสมหวังในจินตนาการนั้น กลับมีราคาค่างวดที่ต้องจ่ายแพงถึงชีวิต (อ้าว! แล้วจะขอเพื่อ!?) โดย Fantasy Island นั้นเคยทำออกมาเป็นซีรีส์แล้วถึง 7 ซีซันตั้งแต่ยุค 70s ก่อนจะถูกมาทำเวอร์ชันจอเงิน
จากแนวทางของเนื้อเรื่อง ก็มีทรงมีกลิ่นที่คาดเดาได้ถึงความเป็น survival movies อยู่แล้ว แต่ทว่าหนังเดินเรื่องออกมาค่อนข้าง สะเปะสะปะ ยืดยาด จนหลุดจากเส้นเรื่องหลักเป็นระยะ ทำไปทำมาจากที่คาดว่าจะได้เห็นความหวีดสยองวิ่งไล่ล่ากันในเกาะโลกีย์ หนังกลับออกทะเลไปหาปลาซะไกล จนคนดูหน้าเริ่มยับเพราะหาวไปหลายรอบ ดู ๆ ไปเริ่มเคลิ้มจนเกือบเชื่อว่าเป็น Jumanji ไหลไปไหลมาชักได้กลิ่น Hacksaw Ridge เพลินสักนิดชักเหมือน American Pie บรรยากาศระเบิดภูเขา เผากระท่อม ถ้ามีปิ้งไก่กินก็เป็นหนังอาหลองแล้ว
เมื่อความไม่ลงตัวตั้งแต่เส้นเรื่องยิบย่อยพาออกทะเล รวมทั้งแคสต์นักแสดงขาด ๆ เกิน ๆ ระหว่างทางมันก็จะมีโมเมนต์ awkward ของการคลี่คลายและให้เหตุผลการกระทำอยู่เพียบตามฉบับหนังเกรดบี จริง ๆ ตัวเรื่องมีพลอตน่าสนใจและเหมือนจะขมวดปมได้ดี แถมแอบหักมุมหน่อย ๆ แต่ดันใส่ message มาผิดที่ผิดทางมาก ยืดเรื่องพาคนดูทัวร์รอบเกาะจนน้ำลายยืด พี่แกเล่าปูมันทุกเรื่อง จับทุกประเด็นยิ่งกว่าสรยุทธ์ ทำเอาหนังที่ฟอร์มมาเร็วเคลมเร็วกระชับ เดินเรื่องไว ชวนสะดุ้งพอเป็นหอมปากหอมคอ กลับล่อไปเกือบ 2 ชม
นอกจาก performance ของนักแสดง ไดอะล็อกในเรื่องก็ยังชวนอึดอัด ขาดความเป็นธรรมชาติ ชวนให้ ‘อิหยังวะ?’ อยู่หลายครั้ง คนที่พอไปวัดไปวามีเพียง Lucy Hale (ลูซี่ เฮล) กับ Maggie Q (แม็กกี้ คิว) เท่านั้นที่ส่งอารมณ์ผ่านสีหน้าแววตาได้ดี แต่จุดที่หนังพังคงหนีไม่พ้นช่วงคลี่คลายปม ความเชื่อมโยงเหตุการณ์ของแต่ละคนมันแทบจะไม่ปะติดปะต่อกัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ขยี้ ดราม่ามาซะเครียด ซีเรียส แต่เมื่อถึงจุดเฉลย ปมต่าง ๆ กลับรู้สึกขำมากกว่าจะเชื่อ ซึ่งหาก mood and tone ของหนังเจตนาให้เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็ทำได้ไม่ลงตัวเลย
ปกติแล้ว ด้วยหน้าหนัง ความคาดหวังคนดูหลัก ๆ คือเรื่องความบันเทิง แม้ว่ามันจะโฉ่งฉ่างมีช่องโหว่เยอะ อย่างน้อยต้องจัดจ้าน ยุคนี้ต้องชัดเจน แต่ Fantasy Island ก็ดันไม่ตอบโจทย์ในจุดที่มันควรจะขาย กลับกลายเป็นนำวัตถุดิบดี ๆ จากยุค 70s มาแล้วดึงโทนของหนังออกมาได้ไม่สุด