เข้าฉายในไทยมาสัปดาห์กว่า ๆ แล้ว สำหรับ Tenet ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องแรกนับตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ทั้งโลกต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์โควิด-19 ผลงานเรื่องนี้ ผู้กำกับ Christopher Nolan บอกว่า เป็นหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มีภาพที่ปรากฏบนจอตระการตาที่สุดในชีวิตของเขา และจะกลายเป็นหนังที่ยอดเยี่ยมไม่น้อยไปกว่าผลงานเก่า ๆ ทั้งไตรภาค The Dark Knight (2005-2012), Inception (2010) และ Interstellar (2014) ซึ่งหลายคนคงจะได้พิสูจน์ด้วยตาตัวเองกันไปแล้วคนละรอบสองรอบ
Tenet ทำเงินเปิดตัวในสหรัฐอเมริกาเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และทำรายไป 20.2 ล้านเหรียญฯ รวมถึงทำรายได้ทั่วโลกไปแล้วจนถึงขณะนี้ราว 150 ล้านเหรียญฯ ซึ่งจากทุนสร้าง 200 ล้านเหรียญฯ (ยังไม่รวมค่าโปรโมต) และกับรายได้ประมาณนี้ก็สร้างความพอใจให้กับ Warner Brothers สตูดิโอเจ้าของหนังมาก เนื่องจากมองว่าการทำรายได้ของ Tenet จะเป็นเหมือนเป็นการวิ่งมาราธอน ที่ต้องทำรายได้ไปเรื่อย ๆ ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน (และจะยังไม่มีหนังฟอร์มยักษ์เรื่องใหม่เรื่องอื่นเข้าฉายเป็นคู่แข่งอีกเป็นเดือน) รายได้จึงไม่จำเป็นต้องหวือหวาหรือเปิดตัวแรงเหมือนตอนสถานการณ์ปกติ
วันนี้ What the Fact จึงขอนำเสนอ9 เรื่องลับที่เดาว่าหลายคนคง “ยังไม่รู้” เกี่ยวกับ Tenet หรือถ้าได้รู้แล้วก็จะได้ช่วยเติมเต็มเนื้อหาในของหนังในบางส่วนบางตอนให้สมบูรณ์มากขึ้นอีก เพราะหนังเรื่องนี้ของ Nolan ยังคงเต็มไปด้วยรายละเอียดที่ทำให้ได้ถก ได้พูดคุยกับไปอีกหลายปีเหมือนกับหนังเรื่องอื่น ๆ ของเขา (ถ้าส่วนไหนมีสปอยล์ จะใส่สีแดงไว้แบบนี้นะ)
ชื่อ Tenet แอบซ่อน “นัยยะ” อะไรไว้บ้าง?
T-E-N-E-T เป็นหนึ่งในคำ “Palindrome” ที่เป็นคำในภาษาละตินเก่าแก่ สามารถอ่านได้แบบเดียวกันไม่ว่าจะอ่านจากข้างหน้าหรือข้างหลัง (รวมถึงการออกเสียงด้วย) เป็นคำที่อยู่รวมกับอีก 5 คำ บน The Sator Square แผ่นหินคำ Palindrome ในรูปแบบสองมิติที่เก่าแก่ที่สุดโลก ถูกพบในซากปรักหักพังของนครปอมเปอี คาดว่าถูกเขียนขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 79 ซึ่งทั้ง 5 คำ ก็กลายมาเป็นกิมมิคที่ Nolan นำมาใช้อยู่หลายจุดภายในเรื่อง (หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 11 ของ Nolan ซึ่งเลข 11 ก็เป็นคำ Palindrome เช่นกัน)
- SATOR – ชื่อของตัวร้าย Andrei Sator ที่มีแผนทำลายโลก
- AREPO – ชื่อของศิลปินที่ทำภาพปลอม Goya
- TENET – ชื่อองค์กรที่ตัวเอกตั้งขึ้นเพื่อหยุดการทำลายโลก
- OPERA – สถานที่และชื่อภารกิจที่พระเอกเอกทำหน้าที่ตอนต้นเรื่อง
- ROTAS – ชื่อบริษัทเจ้าของฟรีพอร์ต สถานที่เก็บผลงานศิลปะ
(ต่อไปนี้จะเป็นการสปอยล์)
นอกจากนี้ในคำว่า T-E-N-E-T นั้นยังเป็นตัวอักษรของ คำว่า “Temporal Pincer Movement” อยู่ด้วย Temporal Pincer Movement อธิบายถึงการที่ใครคนหนึ่งเดินทางไปในอดีตเพื่อมอบข้อมูลให้ตัวเองในอดีตล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ในอนาคต และเพื่อให้คนในอดีตเดินไปถูกทางที่คนในอนาคตอยากให้เป็น คำว่า Pincer Movement เป็นศัพท์ทางทหาร (Pincer หมายถึงคีม) หรือก็คือ การโจมตีสองด้านพร้อมกัน เมื่อเติม Temporal (เกี่ยวกับเวลา) เข้าไปจึงหมายถึงเป็นการจู่โจมจากสองด้านของเวลา (ซึ่งเป็นจุดสำคัญของไคลแมกซ์ท้ายเรื่อง)
คำว่า T-E-N-E-T ยังเป็นตัวอักษรของคำว่า “Time Inversion” หรือการถอยกลับของเวลา และเป็นตัวอักษรของคำว่า “Entropy” คำอธิบายของสิ่งนี้ก็คือ ตามปกติแล้วเส้นเวลาจะเดินไปข้างหน้า แต่ภายในหนังคนในอนาคตอีกกลุ่มหนึ่งต้องการใช้เทคโนโลยีนี้ทำลายโลกในอดีต โดยวิธีการย้อน Entropy เพราะมนุษย์ในอดีต (หรือก็คือโลกเราตอนนี้) ทำลายโลกจนไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ โดยคนในอนาคตเชื่อว่าหากทำลายอดีตล้างมนุษย์ออกไปจะทำให้โลกในอนาคตไม่ถูกทำลายหรือเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ส่วนฉากรบท้ายเรื่องในกับสถานที่ Stalask-12 ฝ่ายพระเอก The Protagonist และกองกำลังองค์กร Tenet ได้ใช้ Temporal Pincer Movement ทำลายแผนคนร้าย Sator โดยแบ่งเป็นสองทีมคือทีมสีแดงกับทีมสีฟ้า ทีมสีแดงเดินหน้าตามเวลาปกติ ส่วนทีมสีฟ้าเดินตามเวลาย้อนศร ทั้งสองทีมมีเวลาแค่ 10 นาที (TEN ก็มีตัวอักษรที่สอดคล้องกับ T-E-N-E-T ชื่อเรื่อง )
Nolan ถูกใจ John David Washington จาก BlacKKKlansman และไม่รู้ว่าเป็นลูกชายของ Denzel
เมื่อมีการประกาศในตอนแรก ๆ ว่า นักแสดงนำของ Tenet จะเป็น John David Washington ที่มาประกบคู่กับ Robert Pattinson นั้น รายหลังไม่ต้องเป็นห่วงเพราะเป็นนักแสดงชื่อดังที่มีผลงานหนังฮิตและหนังขายการแสดงมาแล้วมากมาย แต่คนแรกละเป็นใคร? เมื่อคอหนังลองเซิร์ชชื่อดูก็จะพบว่า เขาคือลูกชายแท้ ๆ ของนักแสดงมากฝีมืออย่าง Denzel Washington แต่ก็ไม่รู้อะไรมากกว่านั้น จนกระทั่งเขาได้แสดงในหนังที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอย่าง BlacKkKlansman (2018) ประกบกับ Adam Driver
จริง ๆ แล้ว Washington คนลูกให้ความสนใจกับการเป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลมากกว่า แต่ถึงจุดหนึ่งที่เขาไปต่อไม่ได้กับงานในอาชีพนั้น เขาจึงเริ่มหันมาสนใจงานทางด้านการแสดง เขาเคยรับบทเป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลในซีรีส์ Ballers (2015-2019) ของ HBO และได้ร่วมจอกับนักแสดง Dwayne Johnson ผู้กำกับ Christopher Nolan เห็นเขาจากซีรีส์เรื่องนั้น แต่มาประทับใจจนอยากร่วมงานก็จากหนัง BlacKkKlansman โดยที่ไม่รู้มาก่อนว่าเขาคือลูกชายของ Denzel
ผมจำเรื่องที่เคยอ่านมาแล้วหลายปีก่อนว่า ตอนที่ Albert R. Broccoli ผู้อำนวยการสร้าง 007 เห็น Sean Connery ครั้งแรกและอยากชวนให้เขามาเล่นเป็น James Bond นั้น เขาบอกว่า เขาจับตาดู Connery เดินออกไปหลังจากจบการประชุม สิ่งที่เขาได้เห็นคือการเคลื่อนไหวเหมือนเสือดำ แต่เยื้องย่างอย่างสง่างามเหมือนกับแมว พบคิดว่าผมเห็นสิ่งนั้นในตัว Washington” Nolan อดเปรียบเทียบการทำงานของตัวเองกับหนังโปรดไม่ได้
ความเชื่อมโยงระหว่าง Tenet กับ Inception
ในทีแรกที่คอหนังได้เห็นตัวอย่างของ Tenet ค่อย ๆ ถูกปล่อยออกมา หลายคนก็รู้สึกว่าหนังน่าจะมีเนื้อหาและบรรยากาศกลับไปคล้ายหนังโจรกรรมคุณภาพขึ้นหิ้งของ Nolan ที่เป็นหนังในดวงใจที่เขาอยากจะสร้างมาตั้งแต่เข้าวงการเมื่อ 10 ปีก่อนอย่าง Inception (2010) ซึ่งสำหรับใครที่ได้ไปชมหนังแล้วก็คงจะได้เห็นจุดที่เหมือนกันนั่นคือการเป็นหนังโจรกรรมหรือหนังปล้น ภายใต้บรรยากาศของโลกที่ผิดปกติ และทั้งสองเรื่องก็มีกลิ่นอายของความเป็นหนัง James Bond 007 ที่เป็นหนึ่งในหนังโปรดของ Nolan ชนิดที่หลายคนบอกว่า ถ้า Nolan ได้ไปทำหนัง 007 ก็จะออกมาหน้าตาประมาณ 2 เรื่องนี้ (แม้ว่า Tenet จะมีกลิ่นที่ชัดกว่า เพราะเป็นการยับยั้งองค์กรร้ายที่จะก่อสงครามโลก)
อย่างไรก็ตาม Tenet นั้นมีการนำเสนอที่ซับซ้อนกว่า และแคร์คนดูน้อยกว่าเมื่อครั้ง Inception เห็นได้จากในหนังเมื่อ 10 ปีที่แล้ว Nolan ยังค่อย ๆ ใส่คำอธิบายให้กับตัวละครที่เพิ่งรู้จักโลกของ Inception เป็นครั้งแรก (ตัวละคร Ariadne ของ Ellen Page ) ซึ่งก็เป็นตัวแทนของคนดูไปด้วยในที ต่างจากตัวละคร The Protagonist ของ John David Washington ใน Tenet ที่แม้จะเพิ่งเข้าสู่การทำความเข้าใจในโลกแห่งวิถีการรับรู้ใหม่ แต่หนังใช้เวลาไม่นานในการอธิบาย (ซึ่งไม่ช่วยให้เข้าใจมากขึ้น) และก็ดูว่าตัวละครตัวนี้จะเก็ตเร็ว พร้อมกระโจนเข้าสู่ภารกิจได้เลยทันที
Washington เองก็เคยให้สัมภาษณ์ว่า Tenet นั้น “เป็นเหมือนญาติ” ของ Inception โดยเขามองว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเรื่องก็คือการจารกรรมความคิดของตัวละคร The Protagonist เช่นเดียวกับที่ตัวละคร Robert Fischer ของ Cillian Murphy โดนใน Inception
(ต่อไปนี้จะเป็นการสปอยล์)
The Protagonist นั้นถูกแนะนำให้รู้จักองค์กร Tenet ผ่านเจ้าหน้าที่ (รับบทโดย Martin Donovan) ซึ่งเจ้าหน้าที่คนนี้ไม่ได้เปิดเผยเรื่องการย้อนกลับของเวลาให้ The Protagonist รู้ ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ ตระหนักรู้ได้เองจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเรื่องว่า เขาเองนั่นแหละคือผู้ก่อกำเนิดองค์กร Tenet และวางแผนจัดการต่อสู้กับองค์กรร้ายมาตั้งแต่ต้น (แบบเวลาย้อนกลับหลัง) รวมถึงแผนการทดสอบการเข้าองค์กร Tenet ที่ทำเอาเขาเกือบตายตอนต้นเรื่อง ก็เป็นแผนการของ The Protagonist (ตัวเอง) จากในอนาคต
เป็นเหตุที่ว่า ทำไมการไม่รู้อะไรของ The Protagonist จึงกลายเป็นอาวุธอันสำคัญ เพราะเขาจะต้องค่อย ๆ เรียนรู้ตรรกะแบบย้อนกลับหลังทั้งหมดเอง อย่างที่ใครมาบอก (หรือตัวเองจากอนาคตหาทางบอก ก็ไม่ใช่วิธีที่เขาจะยอมรับได้ง่าย ๆ) ทั้งหมดนี้ก็เหมือนกันเพาะปลูกความคิดเข้าไปทีละน้อยแบบที่ Copp ทำใน Inception ไม่มีผิด
การถ่ายทำแบบ “ย้อนกลับ” ของนักแสดง
รวมถึงการกะพริบตา
(ต่อไปนี้จะเป็นการสปอยล์)
ไม่ใช่แค่การถ่ายทำในหลาย ๆ ฉากแอ็กชันที่ผู้กำกับ Nolan เลือกจะไม่ใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกและใช้การถ่ายทำด้วยของจริง (เครื่องบินชนตึกจริง เป็นต้น) เท่านั้น แต่การเล่นแบบถอยหลังกลับในมิติเวลาคู่ขนานภายในเรื่อง นักแสดงทั้งหลายก็ต้องฝึกการเล่นแบบถอยหลังกลับเช่นกัน (หมายถึง ไม่ได้ใช้วิธีถ่ายทำไปข้างหน้าตามปกติ แล้วมาใช้เทคนิคกรอภาพถอยหลัง)
Nolan ได้สั่งให้ Washington พระเอกของเรื่องไปฝึกทำการบ้านมาหลายอย่าง โดยเฉพาะการแสดงแบบย้อนกลับหลัง เพื่อให้การแสดงในฉากต่าง ๆ ที่อยู่ในมิติคู่ขนานออกมาเป็นธรรมชาติที่สุด แต่การจะถ่ายทำให้ง่ายที่สุดหน้ากองก็นำมาซึ่งการฝึกซ้อมการแสดงที่ยากที่สุดสำหรับเขา
การกะพริบตาเป็นสิ่งที่ยากที่สุด ผมได้รับโน้ตจาก Nolan บางอย่างเกี่ยวกับการกะพริบตาตอนที่เราอยู่ในโลกย้อนกลับ นอกจากนั้นผมก็ต้องไปฝึกพวกการโยน วิธีการรับหมัดหลบหมัดแบบย้อนกลับ การป้องกันกลายเป็นโจมตี การโจมตีกลายป้องกัน การที่จะเข้าใจแนวคิดและถ่ายทอดออกมาเป็นการแสดงสำหรับผมจึงต้องใช้เวลาสักพักเลยล่ะ” John David เล่า
ทุบสถิติทุนสร้างสูงสุดของหนังที่ไม่ใช้ Green Screen
ในบรรดาหนังที่ไม่ใช้ Green Screen หรือที่พูดง่าย ๆ ก็คือการขึงผ้าสีเขียวขนาดใหญ่เพื่อเอาไปใส่ฉากสถานที่ หรือสิ่งของต่าง ๆ ด้วยเทคนิคคอมพิวเตอร์กราฟิกในภายหลัง Tenet นั้นได้ถูกบันทึกไว้ว่า เป็นหนังฟอร์มยักษ์ที่ไม่ใช้เทคนิคนี้เลย ที่ใช้ทุนสร้างสูงสุดในโลกเป็นที่เรียบร้อย นอกจากนั้น หนังยังถูกจัดเป็น Original Film หรือหนังที่ไม่ได้ถูกดัดแปลงจากสื่ออื่นเช่น นิยายหรือหนังสือการ์ตูนที่มีทุนสร้างสูงที่สุดอีกด้วย
นอกจากนั้นทีมงานของเรื่องก็ยืนยันว่า นี่จะเป็นหนังที่จะเน้นการแสดงจริง ฉากปฎิบัติการที่เห็นในหนัง ก็เป็นการแสดงจริง ๆ โดยเหล่าสตันท์มืออาชืพและนักแสดงที่เล่นเองเป็นส่วนใหญ่ (John David Washington เล่นฉากสตันท์เองทั้งหมด) บางฉากของหนังจะเป็นการถ่ายทำแบบสองรอบที่ตัวโนแลนได้คิดค้นการถ่ายทำแบบให้นักแสดงถ่ายทำแบบเดินหน้าปกติและย้อนกลับมาถ่ายซ้ำอีกครั้งแบบให้นักแสดงย้อนกลับสิ่งที่ได้ถ่ายทำไปแล้วในรอบแรก
Tenet มีฉากที่ใช้ VFX หรือเทคนิคพิเศษที่เป็น CG น้อยกว่า 300 ช็อต ซึ่งน้อยกว่าที่หนังโรแมนติกบางเรื่องใช้ด้วยซ้ำ ดูจากฉากเครื่องบินพุ่งชนตึกก็ยังใช้เครื่องบินจริง ๆ เลย หากเทียบกับหนังเรื่องอื่นของ Nolan เอง อย่าง Interstellar (2014) ใช้ VFX ไปราว 850 ช็อต, Inception (2010) ราว 500 ช็อต และหนัง Batman Begins (2005) ราว 600 ช็อต ซึ่งปกติก็ถือว่าน้อยมากอยู่แล้ว เมื่อเทียบกับหนังฟอร์มยักษ์เรื่องอื่นที่อาจมีถึง 2,000 ช็อต ต่อเรื่อง แต่ Tenet ก็น้อยมากกว่านั้นไปอีก
Andrew Jackson คือผู้ควบคุมด้านเทคนิคพิเศษ เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องทางเลือกสำรอง เราต้องการให้ทุกอย่างอยู่จบแค่หน้ากองถ่ายหรือหลังกล้องให้มากที่สุด แต่ถ้าทำไม่ได้ Jackson จะเป็นคนบอกว่า เราจะมีตัวเลือกในการทำเอฟเฟกต์ต่าง ๆ เป็นอะไรบ้าง ผมชอบบอกให้ Andrew ออกจากงานนี้ไป เพราะเราไม่ค่อยได้ใช้เอฟเฟกต์ในหนัง แต่เขาช่วยงานในกองถ่ายเราได้เยอะมากจริง ๆ ครับ” Nolan กล่าว
หนังที่ตัดต่อยากที่สุดของ Nolan และของมือตัดต่อ
Nolan ได้เล่าให้ฟังถือวิธีการทำงานของเขา ซึ่งสำหรับเรื่องนี้ (และจริง ๆ ก็ทุกเรื่อง) จะต้องมีข่าวเล็ดรอดออกมาถึงความยาก ความเนียบและพิถีพิถันในการทำงานระดับสูงกว่าผู้กำกับคนอื่น ในเรื่องนี้ ปกติแล้ว Nolan จะใช้มือตัดต่อคู่บุญอย่าง Lee Smith ที่ทำงานร่วมกับเขามาตั้งแต่ Batman Begins (2005) จนถึง Dunkirk (2017) ซึ่งกับเรื่องหลังนี้ทำให้ Smith คว้ารางวัลออสการ์ไปเลย แต่สำหรับเรื่องล่าสุดอย่าง Tenet กลับติดคิวไปตัดต่อ 1917 (2019) ให้ผู้กำกับ Sam Mendes ผู้กำกับจึงต้องหาคนมาตัดต่อนั่นคือ Jennifer Lame เจ้าของผลงานอย่าง Manchester by the Sea (2016) และ Hereditary (2018)
(ต่อไปนี้จะเป็นการสปอยล์)
เธอต้องตัดต่อแบบสลับไปสลับมาตามการดำเนินเรื่องของหนัง ซึ่งกับคนที่ได้ไปชมหนังและรับรู้ว่าหนังมีทั้ง 2 ไทมน์ไลน์ที่ดำเนินเรื่องไปพร้อม ๆ กัน ขนาดคนดูยังงงขนาดนี้ คนตัดต่อจะงงขนาดไหน? แต่เมื่อได้ชมหนังแล้วคงต้องยอมรับว่า Tenet ได้กลายเป็นอีกหนึ่งผลงานมาสเตอร์พีซของทั้ง Nolan และ Lame ไปแล้วเรียบร้อย เตรียมมีบทบาทบนเวทีออสการ์ปีหน้า (ถ้างานจะจัด) แน่นอน
หนังที่ฉันตัดต่อมักจะใช้ตัวละครเป็นตัวขับเคลื่อนเรื่องราว ฉันเลยสนุกกับการตัดต่อกับฉากเงียบ ๆ มากกว่าพวกฉากแอ็กชัน แต่พอได้มาตัดต่อ Tenet ฉันเลยเริ่มคิดว่า จริง ๆ แล้ว ฉากแอ็กชันก็เป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนเรื่องราวไปข้างหน้าเหมือนกัน เมื่อ Chris เห็นฉันกลัวฉากแอ็กชันพวกนั้น เขาก็คอยย้ำว่า หนังเรื่องนี้มี “เรื่องราว” เป็นแรงขับเคลื่อนเสมอ” Lame เล่าให้ฟัง
ตัวละคร (ลับ) เชิญ
หนึ่งในนักแสดงนำโชคในหนังเกือบทุกเรื่องช่วงหลังของผู้กำกับ Christopher Nolan ก็คือปู่ Michale Caine ที่ในเรื่องนี้มารับบทรับเชิญเป็น Michael Crosby สายลับอังกฤษที่บอกทางให้ The Protagonist เข้าถึงตัววายร้าย Sator ซึ่งปรากฏตัวอยู่ในหนังราว 5 นาทีเท่านั้น (และฉากที่ปรากฏตัวก็คือการหนังบนโต๊ะในร้านอาหาร ที่ทำให้นึกถึงตอนที่ปู่เล่นเป็นพ่อบ้าน Alfred ในหนัง The Dark Knight Rises (2012) อีกต่างหาก) เมื่อย้อนกลับไปตอนต้นปีที่นักข่าวไปถามว่า ปู่รู้เรื่องอะไรบ้างเกี่ยวกับ Tenet Caine จึงตอบว่า ผมแทบไม่รู้อะไรเลย (เพราะเล่นอยู่แค่นี้นี่เอง!) ถึงอย่างนั้น ปู่ก็ออกมาทวีตเชียร์หนังกับเขาด้วย
อีกหนึ่งตัวละครที่ไม่ได้อยู่ในสื่อโปรโมตทั้งหมดของหนัง Tenet ทั้งโปสเตอร์และหนังตัวอย่างก่อนหนังจะเข้าฉายทั้งหมดเลย ก็คือตัวละคร Ives ของนักแสดงที่มีชื่อเสียงพอสมควรอย่าง Aaron Taylor-Johnson จาก Godzilla (2014) และ Avengers: Age of Ultron (2015) ซึ่งพอดูในหนังเข้าจริง ๆ ก็แทบจำไม่ได้จากการไว้หนวดและเคราเต็มหน้า
Ives โผล่เข้ามาเป็นตัวละครสำคัญของเรื่องช่วงองก์ 3 ไปจนถึงตอนสุดท้ายซึ่งก็เป็นไปได้ว่า หากปรากฏตัวตั้งแต่ในหนังตัวอย่าง แฟน ๆ ก็อาจจะพอเดาได้ถึงฉากจบที่เป็นการปฏิบัติการทางทหาร Nolan มักจะซ่อนตัวละครที่มีนักแสดงดังแบบลับ ๆ เอาไว้ให้คนดูเซอร์ไพรส์ในโรง เหมือนเมื่อตอน Matt Damon มาเล่นเป็นตัวร้ายใน Interstellar (2014) ตอนที่หนังเกือบจะจบแล้ว
ระหว่างถ่ายทำ Pattinson โกหก Nolan
เพื่อไปทดสอบบท Batman แต่โดน Nolan จับได้!
Robert Pattinson หนึ่งในผู้รับบทนำของเรื่อง ได้เปิดเผยว่า เขาเคยโกหกผู้กำกับตอนจะไปแคสต์บท The Batman ด้วยเหตุผลประหลาด ๆ ของเขาว่า
ก็เขาชอบมีความลับกับผม…Chris เป็นคนที่ชอบมีความลับกับทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับหนังของเขา ผมเลยจำเป็นต้องมีความลับเรื่องการจะไปทดสอบบท Batman บ้าง ตอนนั้นผมจะขอลา บอกเขาว่าเป็นเรื่องธุระด่วนของครอบครัว แต่ทันทีที่ผมบอกไปเขาพูดกลับมาว่า “นายกำลังจะไปออดิชันบท Batman ละสิ!”” Nolan น่าจะรู้เพราะเขาเป็นทีมที่ปรึกษาในการสร้างหนัง Batman ในฉบับหลังจากเขาให้กับ Warner Brothers อยู่แล้ว
Christopher Nolan นั้นเป็นผู้กำกับของไตรภาคที่โด่งดังที่สุดของ Batman อย่าง The Dark Knight (2005-2012) ซึ่งแน่นอนว่าผู้คนก็เฝ้ารอว่าในฉบับของผู้กำกับ Matt Reeves ที่ได้ Pattinson ไปนำแสดงนั้นก็น่าจะเข้มข้นและดาร์กสมการรอคอยไม่แพ้กัน
และหลังจากตัวอย่างแรกของ The Batman ได้ปล่อยออกมาให้ผู้ชมทั่วโลกได้เห็นช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา Noaln ก็ให้สัมภาษณ์ว่า เขาตื่นเต้นที่จะได้เห็น Robert Pattinson ในบทบาท Batman รวมถึงคิดว่าเขาจะตีความตัวละครนี้ให้ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมแน่นอน “ผมตื่นเต้นมากที่จะได้เห็นสิ่งที่เขาแสดงเป็นตัวละครตัวนี้“
เกร็ดน่ารู้อื่น ๆ ของหนัง Tenet
- หนังเรื่องนี้เป็นการร่วมงานของนักแสดงในแฟรนไชส์พ่อมดน้อย Harry Potter ถึง 3 คน ได้แก่ Cedric Diggory (Robert Pattinson), Fleur Delacour (Clémence Poésy) จากภาค 4 The Goblet of Fire (2005) และ Gilderoy Lockhart (Kenneth Branagh) ในภาค 2 The Chamber of Secrets (2002)
- เป็นหนังเรื่องที่ 3 ที่ Nolan ไม่ได้ใช้บริการผู้กำกับภาพคู่บุญอย่าง Wally Pfister แต่มาใช้ Hoyte Van Hoytema ซึ่งก็เรียกว่าเป็นผู้กำกับคู่บุญคนที่สองก็ได้ เพราะกำกับภาพ Interstellar (2014) และ Dunkirk (2017) มาแล้ว
- แม้ว่า Nolan จะชอบเซ็ตให้ตัวละครที่มีบทนำ มีบุคลิกบางอย่างคล้ายกับตัวเขาเช่นในบท Copp ของ Leonardo DiCaprio ใน Inception (2010) แต่ตัวละคร Neil ของ Robert Pattinson ในเรื่องนี้ได้รับต้นแบบแรงบันดาลใจมาจาก Christopher Hitchens นักเขียนและนักข่าวชื่อดัง
- Pattinson บอกว่า เขาใช้เวลานัดพูดคุยกับ Nolan ครั้งแรกเพื่อคุยเรื่องบทในหนังเรื่องนี้นานถึง 3 ชั่วโมง แต่จู่ ๆ การสนทนาที่ลื่นไหลก็จบลงอย่างกะทันหันเมื่อ Pattinson เกิดน้ำตาลตกและอยากกินช็อกโกแลตที่วางอยู่ตรงหน้า เขาจึงขอ Nolan กิน แล้ว Nolan ก็จบการสนทนาแบบดื้อ ๆ จน Pattinson คิดว่าตัวเองคงไปทำอะไรให้ผู้กำกับดังไม่พอใจ และพลาดบทใน Tenet ไปแล้วแน่ ๆ
- Pattinson คิดว่าในเรื่องนี้ไม่น่ามีฉากถ่ายด้วยรถเยอะ เขาจึงฝึกขับรถเพื่อแสดงหนังแค่วันเดียว แต่กลายเป็นว่าฉากสำคัญอย่างฉากไล่ล่าภายในเรื่องที่ถ่ายทำที่ประเทศเอสโตเนียนั้น เป็นฉากขับรถแถมยังต้องขับแบบถอยหลังด้วย
- Nolan วางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า จะให้ตัวละครหลักของเรื่องเป็นนักแสดงไม่ดัง แต่จะให้มีนักแสดงดัง ๆ รายล้อมรอบพระเอก เขาและ Emma Thomas ภรรยา (เป็นผู้อำนวยการสร้างให้หนังของ Nolan มาทุกเรื่อง) จึงเลือกใช้บริการ Casting Director หรือหัวหน้าผู้คัดเลือกนักแสดงเป็น John Papsidera ที่เคยคัดเลือกนักแสดงให้เขาในหนัง Memento (2000)
- Tom Cruise นักแสดงแถวหน้าระดับโลกเป็นอีกคนหนึ่งที่ตื่นเต้นกับการได้ชม Tenet ถึงขนาดใช้เวลาพักจากกองถ่ายทำหนัง Mission Impossible ภาค 7 ซึ่งตอนที่ Tenet เข้าฉายวันแรกนั้น กองถ่ายอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ สวมใส่หน้ากากอนามัยเข้าไปชมในโรงหนัง Cruise ทวีตว่า “หนังยิ่งใหญ่ในโรงที่ยิ่งใหญ่ ผมรักหนังเรื่องนี้” นัยหนึ่งเพื่อช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง แต่สื่ออย่าง The Guardian ก็ยังติดตลกพาดหัวข้อข่าวนี้ของป๋า Cruise ว่า “Tom Cruse เล่นฉากเสี่ยงตายอีกครั้ง เมื่อไปดูหนัง Tenet ในโรงที่คนเต็มโรง” ตามแบบฉบับของเขาที่ชอบเล่นฉากสตันท์ด้วยตัวเอง
- แม้จะมีคนเชียร์ให้ผู้ชมกลับไปดูหนังในโรงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยธุรกิจโรงหนังที่คอใกล้จะขาดเต็มที อีกฝั่งหนึ่งก็มีคนออกมาส่งเสียงไม่เชียร์ให้คนกลับเข้าโรงหนังด้วยเหมือนกัน Scott Derrickson ผู้กำกับ Doctor Strange (2016) ได้ออกมาทวีตข้อความ เตือนชาวสหรัฐฯ ว่าอย่าเพิ่งไปดูหนัง Tenet ในโรงภาพยนตร์เพราะมันยังเวลาที่ปลอดภัย นอกจากนี้ เขายังรีทวิตของข้อความของผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งว่า “ถ้าคุณไปดูหนังในโรงภาพยนตร์ตอนนี้ เท่ากับคุณกำลังยืดวิกฤตนี้ออกไปแบบเห็นแก่ตัว“
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส