ข่าวเศร้าของวงการบันเทิงโลกวันนี้คือการจากไปของนักแสดงอาวุโส Sir Sean Connery ผู้โด่งดังจากบทที่ถือเป็นหนึ่งในไอคอนอมตะของโลกอย่างแฟรนไชส์ James Bond 007 ซึ่งเขารับบทสายลับพยัคฆ์ร้ายนี้เป็นคนแรกเมื่อปี 1962 จนถึงปี 1983 Connery เสียชีวิตในวัย 90 ปีตามรายงานของ BBC ที่ยังไม่มีการรายงานว่าเสียชีวิตจากเหตุอะไร แต่พอจะคาดเดาได้ว่าเสียชีวิตด้วยโรคชรา เนื่องจาก Connery ไม่มีรายงานว่าเขาป่วยเป็นโรคพิเศษอะไรนับตั้งแต่อำลาวงการไปในปี 2003 ซึ่งเขาแสดงหนังไว้เป็นเรื่องสุดท้าย
นอกจากบท James Bond แล้ว เขาก็ยังเคยได้ร่วมงานในหนังฮิตอย่าง Indiana Jones and The Last Crusade (1989) ของ Steven Spielberg เคยได้รับรางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำจากหนังเรื่อง The Untouchables (1987) รวมถึงแสดงหนังแอ็กชันสุดฮิตของยุค 90s อย่าง The Rock (1996) ด้วย และนี่คือ 10 บทบาทที่น่าจดจำ ชวนหวนรำลึกถึงอีกหนึ่งนักแสดงมากฝีมือตลอดกาล (สำหรับเรื่องที่มีบน Netflix ตอนนี้ What the Fact ก็แปะลิงก์ให้กดไปชมกันไว้แล้ว)
JAMES BOND (1962-1983)
หลังจากเล่นหนังในบทตัวประกอบมาครบ 10 เรื่องพอดี (เรื่องแรกคือ Action of the Tiger (1957) ซึ่งเป็นงานกำกับของ Terrence Young เขาประทับใจในนิสัยของ Connery มากและให้สัญญากับ Connery ไว้ว่า ถ้ามีบทบาทดี ๆ จะติดต่อไปให้มาเล่น ต่อมา Young ก็คือผู้กำกับของ James Bond 3 ตอนแรกนั่นเอง) Sean Connery ก็ได้รับเลือกให้มาแสดงในบทบาทที่โด่งดังและเป็นที่จดจำที่สุดของเขาอย่างสายลับพยัคฆ์ร้าย James Bond 007
เขาเป็นชาวสก็อตแลนด์ เกิดมาในครอบครัวชนชั้นแรงงาน เคยต้องไปสมัครเป็นทหารเรือเพราะไม่มีจะกิน (ต่อมาประสบการณ์ที่เคยเป็นทหารเรือดันตรงกับปูมหลังของ James Bond ซึ่งทำให้เขาเล่นได้อย่างแนบเนียน) ต่อมาลองเข้าประกวด “มิสเตอร์ยูนิเวิร์ส” (หรือชายงามจักรวาล รางวัลที่อยู่คู่กับนางงามจักรวาลในสมัยนั้น ภายหลังรางวัลชายงามนี้ได้ยกเลิกไป) โดยได้รางวัลอันดับ 3 นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเข้าตาแมวมองและได้เริ่มเข้าสู่การแสดงจนได้ไปแสดงหนังของ Disney แต่ก็ยังไม่ดัง สุดท้ายภรรยาของเขาก็ได้บอกให้ลองไปทดสอบบทกับ 3 โปรดิวเซอร์และ Ian Fleming เจ้าของนิยาย James Bond ที่กำลังมองหาคนมารับบทนี้อยู่
ในเวลาน้ัน มีนักแสดงดังแห่งยุคมากมายที่เป็นที่หมายตาของทีมสร้าง (อย่างเช่น Christopher Lee ที่ต่อมากลายมาเป็นตัวร้ายของตอน The Man with the Golden Gun (1974)) แต่เนื่องจากทีมสร้างมีทุนสร้างแค่ 1 ล้านเหรียญฯ ซึ่งนับว่าน้อยมากในยุคนั้นจึงต้องหาดาราโนเนมมารับบท นักเขียน Fleming เมื่อได้พบกับ Connery แล้วเขาบอกว่า ชายคนนี้ไม่ตรงกับ Bond ในความคิดของเขาเลย แต่สิ่งที่ทำให้ทีมสร้างทุกคนตัดสินใจเลือก Connery ก็คือภรรยาของ Fleming ที่พูดขึ้นมากลางห้องประชุมเลยว่า “ผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์เป็นบ้า!”
หลังจากนั้น Dr. No (1962) หนังสายลับ 007 ตอนแรกก็ออกฉายและฮิตถล่มทลาย สร้างกำไรให้กับ Eon Production จนต้องเข็นหนัง 007 ออกมาทุกปีจนถึงภาค You Only Live Twice (1967) ที่ Connery บอกว่ารู้สึกอิ่มตัวแล้วและไม่ขอกลับมากับบทนี้อีก แต่เมื่อเปลี่ยน Bond เป็นนักแสดงคนใหม่อย่าง George Lazenby แล้วแฟน ๆ ไม่ชอบ ทีมสร้างจึงขอให้ Connery กลับมาอีกครั้งเป็นการส่งท้ายกับตอน Diamonds Are Forever (1971) แต่หลังจากนั้นเขาก็ยังได้หวนกลับมาเล่นบท James Bond ในหนังที่ไม่ได้สร้างโดย Eon Production อย่าง Never Say Never Again (1983) (ถอดพล็อตมาจากตอน Thunderball (1966) ที่เขานำแสดงเองไว้แบบเป๊ะ ๆ) หนังภาคนี้ไม่ถูกจัดอยู่ในสาระบบหลักของแฟรนไชส์ 007 ทั้ง 25 เรื่อง
ชวนอ่าน “10 หนังสายลับพยัคฆ์ร้าย James Bond 007 ที่ดีที่สุดตลอดกาล“
- นักแสดงคนอื่น: Ursula Andress, Joseph Wiseman, Jack Lord, Bernard Lee, Lois Maxwell, Daniela Bianchi, Pedro Armendáriz, Robert Shaw, Gert Fröbe, Honor Blackman
- ผู้กำกับ: Guy Hamilton, Terrence Young, Lewis Gilbert
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 67.7 / 789.4 ล้านเหรียญฯ
A BRIDGE TO FAR (1977)
หลังพ้นจากหนังชุด James Bond (นับที่ภาคสุดท้ายของ Eon Production ในปี 1971) Connery ก็เริ่มเข้าสู่หนังเรื่องอื่น ๆ ที่เป็นหนังฮิตระดับปานกลาง ทั้ง Murder on the Orient Express (1974) จากนิยายดังของ Agatha Christie ที่มีการรีเมกไปแล้วเมื่อ 3 ปีก่อน, The Man Who Would Be King (1975) แต่เรื่องที่ประสบความสำเร็จอย่างมากก็คือ A Bridge to Far ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการระดมทีมนักแสดงคุณภาพซึ่งยังเป็นวัยหนุ่มกันอยู่ในเวลานั้น ทั้ง Robert Redford, Anthony Hopkins, Laurence Olivier, Michael Caine และ Gene Hackman เรียกว่าเป็นนักแสดงที่ได้รางวัลออสการ์แล้วครบทุกคน (รวม Connery ด้วย)
A Bridge to Far เล่าเรื่องของปฏิบัติการ Market Garden ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่สัมพันธมิตรประสบความสำเร็จในการยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดี ในเดือนมิถุนายน 1944 และรุกคืบเข้าปลดปล่อยฝรั่งเศสได้เป็นที่เรียบร้อย แต่ปัญหาที่ตามมาคือเส้นทางส่งกำลังบำรุงที่ยาวขึ้น ความขัดแย้งระหว่างนายพลคนสำคัญสองนายคือ Montgomery ที่นำทัพอยู่ทางเหนือ และนายพล Patton ที่คุมกำลังทางใต้ และความปรารถนาที่หาทางเผด็จศึกโดยเร็วเพื่อให้ทหารได้กลับบ้านทันวันคริสมาสต์ ในเดือนกันยายน 1944 ทำให้นายพล Montgomery หารือกับนายพล Eisenhower เพื่อเปิดฉากการรุกเข้าไปในฮอลแลนด์ซึ่งต้องผ่านสะพานที่มาของชื่อเรื่อง
สะพานดังกล่าวยาวแค่ไม่กี่ร้อยเมตร แต่ห่างแค่เพียงเอื้อมมือมันก็คือแสนไกล เมื่อทั้งฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายเยอรมันต่างทุ่มเทกำลังพลสู่สนามรบเพื่อรักษาสะพานเอาไว้จนมีทหารทั้งสองฝ่ายล้มตายอย่างมากมาย หนังสร้างมาจากนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ขายดีที่เขียนโดย Cornelius Ryan นักเขียนชื่อดังของอังกฤษในยุคนั้น Sean Connery รับบทเป็น นายพล Roy Urquhart ทหารอังกฤษจากหน่วยการบินที่มีชื่อเสียงมากจากปฏิบัติการนี้ซึ่งมีตัวตนอยู่จริง
- นักแสดงคนอื่น: Robert Redford, Anthony Hopkins, Laurence Olivier, Michael Caine, Gene Hackman
- ผู้กำกับ: Richard Attenborough (Gandhi, Shadowlands, Chaplin)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 27 / 50 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 64% / 7.4/10
THE UNTOUCHABLES (1987)
ช่วงต้นยุค 80s นั้น Connery มีผลงานแสดงอยู่เรื่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้ฮิตเปรี้ยงปร้าง ทั้ง Outland (1981) ของผู้กำกับ Peter Hyams, Time Bandits (1981) ของผู้กำกับสุดแนว Terry Gilliam และ Highlander (1986) ที่มีภาค 2 ตามออกมาอย่าง Highlander II: The Quickening (1991) ซึ่ง Connery ก็กลับมาแสดงด้วย แต่ภาพยนตร์ที่เป็นความสำเร็จในการเล่นหนังคุณภาพก็คือ การมารับบท Jim Malone ในหนัง The Untouchables ซึ่งทำให้เขาคว้ารางวัลออสการ์นักแสดงสมทบชายไปครอง (และเป็นออสการ์ตัวเดียวของเขา) นอกจากนั้นก็ยังชนะรางวัลลูกโลกทองคำด้วย
The Untouchables เล่าเรื่องการต่อสู้ของตำรวจกลุ่มหนึ่งกับเจ้าพ่อมาเฟียผู้ครองเมืองชิคาโกนามว่า Al Capone (Robert De Niro) เขาท้าทายบ้านเมืองในยุคห้ามค้าขายสุราอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย เจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งจึงรวมตัวกันเพื่อโค่นล้มผู้ไม่มีใครกล้าแตะต้องให้ได้ นำทีมแสดงโดย Jim Malone (Sean Connery), Eliot Ness (Kevin Costner) และ George Stone (Andy Garcia) หนังสะท้อนให้เห็นถึงมิตรภาพนายตำรวจกลุ่มนี้ที่อุทิศตนเพื่อทำหน้าที่ต่อสู้กับอิทธิพลมืด ซึ่งแน่นอนว่าต้องแลกมาด้วยชีวิตของตัวเองและครอบครัวผู้อยู่เบื้องหลังของพวกเขาด้วย (ชมได้แล้วบน Netflix)
- นักแสดงคนอื่น: Kevin Costner, Robert De Niro, Andy Garcia, Patricia Clarkson
- ผู้กำกับ: Brian De Palma (Mission Impossible, Mission to Mars, Scarface, Carrie)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 25 / 76 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 82% / 7.9/10
- บทบาทบนเวทีออสการ์:
- ชนะ 1 สาขา (นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Sean Connery)
- เข้าชิง 3 สาขา (องค์ประกอบศิลป์ยอดเยี่ยม, ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม, เพลงประกอบยอดเยี่ยม)
FAMILY BUSINESS (1989)
ในปี 1989 เดียวกันนั้นเอง Sean Connery ต้องมารับบทเป็นพ่อของนักแสดงชื่อดังอย่าง Dustin Hoffman ในเรื่องนี้ และ Harrison Ford ในหนัง Indiana Jones ภาค 3 ซึ่งความจริงแล้วนักแสดงรุ่นน้องทั้งสองคนอายุห่างจาก Connery ราว ๆ หนึ่งรอบเท่านั้น Family Business อาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จทางรายได้มากนัก แต่ก็กำกับโดยผู้กำกับชั้นครูอย่าง Sidney Lumet จากหนัง Dog Day Afternoon (1975), Serpico (1973) และ Murder on the Orient Express (1974) ซึ่ง Connery เคยรับบทไว้ด้วย
หนังนีโอนัวร์เล่าวิถีชีวิตของชาวอเมริกันเรื่องนี้ เขียนบทภาพยนตร์โดย Vincent Patrick ที่อิงจากนวนิยายของเขาเอง เล่าเรื่องของ Jessie (Sean Connery) ชาวสก็อต-ไอริชที่อพยพมาอยู่นิวยอร์กของสหรัฐฯ ช่วงปี 1946 เขาทำงานเป็นหัวขโมยและอยากจะให้ลูกชายอย่าง Vito (Dustin Hoffman) เจริญรอยตาม แต่ Vito นั้น อยากจะทำอาชีพสุจริตและทิ้งการมีพ่อเป็นขโมยไว้ในอดีต ตอนนี้ Vito เองก็มีลูกชายวัยรุ่นชื่อ Adam (Matthew Broderick) แล้ว แต่ปู่ Jessie ก็ยังไม่หยุดความพยายามที่จะปั้นหลานของตัวเองให้ดำเนินธุรกิจครอบครัว (ในการเป็นขโมย) ต่อไป เรื่องราววุ่น ๆ ของคนต่างวัยทั้ง 3 คนจึงก่อตัวขึ้น ทำให้พวกเขาต้องเรียนรู้และเข้าใจกันและกันระหว่างปู่ลูกและหลาน
- นักแสดงคนอื่น: Dustin Hoffman, Matthew Broderick, BD Wong, Luis Guzmán
- ผู้กำกับ: Sidney Lumet (Before the Devil Knows You’re Dead, Dog Day Afternoon, Serpico, Murder on the Orient Express)
- รายรับรวมทั่วโลก: 12 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 38% / 5.8/10
INDIANA JONES AND THE LAST CRUSADE (1989)
อีกหนึ่งการโคจรมาเจอกันของดาราดังแห่งยุคอย่าง Ford และ Connery ที่ต้องมารับบทเป็นพ่อลูกกัน (พ่อชื่อ Henry Jones) ทั้งที่อายุจริงห่างกันแค่ 12 ปี ด้วยเหตุนี้ Connery ก็เกือบจะไม่รับเล่นบทนี้แล้ว พูดได้เลยว่าภาคนี้เป็นหนังผจญภัยแบบครอบครัวที่สนุกที่สุดในจำนวน 4 ภาค เพราะการได้พ่อของ Indiana Jones มาร่วมผจญภัยสร้างสีสันด้านความตลกได้เป็นอย่างดี มือระดับ Sean Connery ย่อมทำได้ดีอยู่แล้ว (หนังยังกลายเป็นหนังที่ทำรายได้สูงสุดในเครดิตของ Connery ด้วย)
หนังยังมีฉากต้นเรื่องนำแสดงโดยนักแสดงวัยรุ่นสุดฮอตตอนนั้นอย่าง River Phoenix ผู้ล่วงลับ เล่นเป็น Indy ตอนเด็ก บทของ Phoenix เป็นแรงบันดาลใจให้ Spielberg ทำซีรีส์ The Young Indiana Jones Chronicle (1992-1993) ด้วย โดยหนังเล่าเรื่องราวการเสาะหาจอกศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูที่เชื่อว่า ผู้ที่ดื่มน้ำจากจอกนี้จะทำให้เป็นอมตะ ซึ่ง Indy ต้องต่อสู้แย่งชิงไปมากับพวกนาซี ตอนกลางเรื่องยังมีฉากสุดฮาที่เขาต้องไปเจอกับ Adolf Hitler เผด็จการคนดังด้วย (ชมได้แล้วทาง Netflix)
ชวนอ่าน “รวมหนังพ่อมดแห่งฮอลลีวูด Steven Spielberg ใน Netflix และ Easter Egg ที่ซ่อนไว้ทุกเรื่อง“
- นักแสดงคนอื่น: Harrison Ford, John Rhys-Davies, Julian Glover, Alison Doody, River Phoenix
- ผู้กำกับ: Steven Spielberg (Jurassic Park, Jaws, E.T. the Extra-Terrestrail)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 48 / 474 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 88% / 8.2/10
THE HUNT FOR RED OCTOBER (1990)
หนังภาคแรกสุดที่เกี่ยวกับเรื่องราวของ Jack Ryan นักวิเคราะห์ CIA ผู้อยู่มาทุกยุค Ryan เป็นตัวละครเอกในผลงานนิยายแนวจารกรรมสายลับที่มีฉากหลังเป็นยุคสงครามเย็นของ Tom Clancy โดย Ryan มักมีเหตุให้ต้องไปลงภาคสนาม ออกปฏิบัติการ และตกเป็นสายลับจำเป็นแบบที่เขาไม่เต็มใจจะไป แต่เขาก็สามารถแก้วิกฤติแบบจวนเจียนจะยิงระเบิดใส่กันอยู่รอมร่อ ผู้รับบท Jack Ryan ใน The Hunt for Red October นี้คือ Alec Baldwin (จาก Mission Impossible ภาค 5 และ 6)
ในเรื่องเป็นยุทธภูมิการรบในโลกใต้ทะเล สงครามระหว่างเรือดำน้ำครั้งนั้นมี Marko Ramius (Sean Connery แต่งชุดทหารเรือ นั่งบนเรือดำน้ำเหมือนบทบาท 007 ตอนแรก ๆ ที่เขาเป็นผู้การ Bond) ผู้การเรือดำน้ำรัสเซียที่ต้องการแปรพักตร์ ขโมยเรือดำน้ำที่ดีที่สุดในเวลานั้นมาให้สหรัฐฯ โดยหวังจะขอลี้ภัย ตัวเขาและเหล่าทหารเป็นข้อแลกเปลี่ยน ในเรื่องนี้ Jack Ryan ได้โชว์บทบาทในการคาดเดา Marko เพราะทุกคนในฝั่งสหรัฐฯ หมายจะยิงเรือดำน้ำลำนี้ให้จมไปให้สิ้นเรื่อง เพราะกลัวจะเข้ามายิงขีปนาวุธใส่สหรัฐฯ หนังได้ชื่อไทยว่า “ล่าตุลาแดง” ได้รับการยอมรับให้เป็นหนังสงครามที่ต่อสู้ด้วยเรือดำน้ำที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของฮอลลีวูด (ชมได้แล้วทาง Netflix)
- นักแสดงคนอื่น: Alec Baldwin, Sam Neill, Stellan Skarsgård, Scott Glenn, James Earl Jones
- ผู้กำกับ: John McTiernan (Die Hard 1&3, Predator, The Thomas Crown Affair)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 30 / 200 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 89% / 7.6/10
- บทบาทบนเวทีออสการ์:
- ชนะ 1 สาขา (เอฟเฟกต์และตัดต่อซาวด์เอฟเฟกต์ยอดเยี่ยม)
- เข้าชิง 2 สาขา (ลำดับภาพยอดเยี่ยม, ผสมเสียงยอดเยี่ยม)
RISING SUN (1993)
เมื่อมาถึงยุค 90s Sean Connery ก็ปรับตัวมาอยู่ในหนังแฟนตาซีพีเรียดอย่าง First Knight (1995) รับบทเป็นกษัตริย์ Arthur ประกบ Richard Gere และให้เสียงพากย์เป็นมังกรตัวสุดท้ายใน Dragon Heart (1996) นอกจากนั้นเขาก็ยังมาอยู่ในหนังแอ็กชันสืบสวนสอบสวนที่เป็นหนังแนวฮิตของยุคนั้นด้วยเช่นกัน อย่าง Just Cause (1995) ที่ประกบ Lawrence Fishburne แต่เรื่องที่ประสบความสำเร็จมากสุด หนีไม่พ้นสองเรื่องอย่าง The Rock (1996) และเรื่องนี้ที่ประกบหนังแสดงแอ็กชันผิวดำแห่งยุคอย่าง Wesley Snipes ในบทคู่หูนักสืบ (มาในทำนองเดียวกับ Lethal Weapon และ Rush Hour)
หนังเล่าเรื่องราวของการพบศพที่ถูกข่มขืนของ Cheryl Lynn Austin ในบริษัท Nakamoto ทำให้ตำรวจอย่าง Webster “Web” Smith (Snipes) และอดีตตำรวจมือเก๋าที่เชี่ยวชาญคดีเกี่ยวกับคนญี่ปุ่นอย่าง John Connor (Connery) เข้ามาสืบสวนผู้บริหารของบริษัทญี่ปุ่นที่เชื่อว่าน่าจะอยู่เบื้องหลังการตายนี้ พวกเขาสงสัย Eddie Sakamura (Cary-Hiroyuki Tagawa) แฟนหนุ่มของ Cheryl ที่เป็นยากูซ่าแต่ทำไปทำมา เงื่อนงำกลับทำให้พวกเขาก็พบว่าคดีนี้อาจมีเอี่ยวจากนักธุรกิจใหญ่ที่จัดฉากเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้นมา ทั้งคู่จะต้องร่วมกันไขคดีให้สำเร็จให้ได้
- นักแสดงคนอื่น: Wesley Snipes, Harvey Keitel, Cary-Hiroyuki Tagawa, Kevin Anderson
- ผู้กำกับ: Philip Kaufman (Twisted, The Right Stuff, Quills)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 35 / 107 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 33% / 6.3/10
THE ROCK (1996)
หนังแอ็กชันฟอร์มดีที่แจ้งเกิดผู้กำกับ Michael Bay จาก Bad Boys (1995) อย่างจริงจัง ที่มาถึงเรื่องนี้ฉากระเบิดภูเขาเผากระท่อมกับการถ่ายทำฉากแอ็กชันอย่างหวือหวาและแปลกใหม่ ก็ทำให้หนังเรื่องนี้อยู่ในความทรงจำของแฟน ๆ ยุค 90s หลายคน หนังเป็นเรื่องราวของอดีตนายทหารนาวิกโยธินสหรัฐฯ พลจัตวาชื่อ Hummel (Ed Harris) ผู้ที่รู้สึกว่าประเทศได้ทอดทิ้งยอดทหารหาญอย่างเขาและลูกน้อง จึงตัดสินใจนำทีมหน่วยคอมมานโดเข้ายึดขีปนาวุธติดหัวรบอาวุธเคมีชีวภาพจากคลังแสงแห่งหนึ่ง เพื่อนำไปใช้ในการข่มขู่และสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวเมืองซานฟรานซิสโก แถมยังเรียกร้องเงินจำนวนมหาศาลเพื่อที่จะนำไปชดใช้ให้กับครอบครัวของทหารที่ได้สละชีวิตเพื่อชาติ
Hummel นำหัวรบไปติดตั้งเอาไว้ที่เรือนจำเก่าที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองนี้อย่างเรือนจำอัลคาทราซหรือรู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า “เดอะ ร็อค” หน่วยคอมมานโดกลุ่มนี้ยังได้จับตัวกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมที่แห่งนี้เอาไว้เป็นตัวประกันถึง 81 คนด้วย ฝั่ง FBI จึงต้องอาศัยความช่วยเหลือจากอดีตนักโทษมือเก๋า John Mason (Sean Connery) และเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเคมีชีวภาพจาก FBI อย่าง Stanley Goodspeed (Nicolas Cage) ที่จะเป็นผู้ปลดชนวนหัวรบของขีปนาวุธและนำทางหน่วยซีลของกองทัพเรือเข้าไปในเกาะแห่งนี้ ทั้ง Mason และ Goodspeed หนึ่งนักโทษหนึ่งตำรวจต่างไม่ไว้ใจกันและกันแต่ก็ต้องร่วมมือทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ
- นักแสดงคนอื่น: Nicolas Cage, Michael Biehn, Ed Harris, Claire Forlani
- ผู้กำกับ: Michael Bay (Armageddon, Pearl Harbor, Transformers)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 75 / 335 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 66% / 7.4/10
ENTRAPMENT (1999)
ช่วงปลายยุค 90s ถือเป็นช่วงขาลงและช่วงสุดท้ายในการแสดงหนังของ Connery แล้ว โดยหนังที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเขาในช่วงใกล้สหัสวรรษก็คือ Entrapment ที่ได้ประกบกับนักแสดงสุดสวย Catherine Zeta-Jones โดยเขาต้องมารับบทจอมโจรเฒ่านักโจรกรรมมากประสบการณ์ หนังที่มีชื่อไทยว่า “กับดักพยัคฆ์เหนือเมฆ” (มีคำว่าพยัคฆ์ติดตัวมาจากบท James Bond) ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ Mac นักโจรกรรมผลงานศิลปะผู้ยิ่งใหญ่ระดับโลกถูกใส่ร้าย เมื่อภาพอันประเมินค่ามิได้ถูกขโมยไปจากพิพิธภัณฑ์ในนิวยอร์ก หลักฐานทุกอย่างพุ่งเป้าไปว่าเขาเป็นคนทำ นักสืบสาวจากบริษัทประกันอย่าง Gin พยายามขอให้ทางบริษัทชะลอการจ่ายค่าประกันภาพที่หายไปถึง 24 ล้านเหรียญฯ โดยขอให้ส่งเธอไปตามล่านักโจรกรรมชั้นเซียนคนนี้เอง
Gin วางกับดักให้ Mac เข้ามาติดกับ แต่เขาก็พิสูจน์ให้เธอเห็นถึงความเหนือชั้นและหนีรอดออกมาได้ระหว่างที่เชือดเฉือนความสามารถของการเป็นนักจารกรรมชั้นยอด พวกเขาก็แอบพอใจซึ่งกันและกัน และร่วมกันโจรกรรมทรัพย์สินมูลค่าหลายพันล้านเหรียญฯ ช่วงรุ่งอรุณของสหัสวรรษใหม่ในที่สุด ฉากที่น่าจดจำของเรื่องนี้คือการเข้าไปขโมยของที่ตึกแฝดเปโตรนาสในเมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นตึกแฝดที่สูงที่สุดในโลกตอนนั้น และเพิ่งสร้างเสร็จหมาด ๆ เพื่อต้อนรับช่วงสหัสวรรษใหม่
- นักแสดงคนอื่น: Catherine Zeta-Jones, Will Patton, Ving Rhames, Kevin McNally
- ผู้กำกับ: Jon Amiel (Sommerby, Copycat, The Core)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 66 / 212 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 39% / 6.3/10
THE LEAGUE OF EXTRAORDINARY GENTLEMEN (2003)
ภาพยนตร์เรื่องท้ายสุดของ Sean Connery (ปฏิเสธบท Gandalf ใน The Lord of the Ring เพื่อมาเล่นเรื่องนี้) ที่จัดเต็มรวมพลังฮีโรจากศาสตร์มืด หวังจะเปิดแฟรนไชส์การมีภาคต่ออย่างเต็มที่ โดยหนังมีชื่อเขาคนเดียวเป็นชื่อขายของทีมนักแสดง โชคร้ายที่หนังฉายชนกันอย่างจังกับ Pirates of the Caribbean (2003) ภาคแรก และในตอนนั้นเองนักวิเคราะห์ก็เดากันว่า ฝั่งหนังโจรสลัดที่เป็นแนวอาถรรพ์ไม่เคยทำเงินน่าจะเจ๊ง และ The League น่าจะทำเงิน
แต่ปรากฏว่าเกมพลิก เพราะเรื่องหลังกลับไม่ประสบความสำเร็จ (ส่วน Pirates ก็มีภาคต่อมาถึงภาคที่ 5 แถมยังส่ง Johnny Depp เข้าชิงออสกาณ์ดารานำด้วย) แม้ว่าหนังจะไม่แย่ แต่ด้วยเหตุนี้ Connery จึงคิดว่า พลังดาราของเขาหมดลงแล้วและควรถึงเวลาเลิกเล่นหนังเสียที ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้รับแสดงเรื่องไหนอีกเลย (เคยมีข่าวลือว่า ทีมสร้าง James Bond จะให้เขามารับเชิญในภาค Skyfall (2015) แต่ตื๊อไม่สำเร็จ)
Sean Connery รับบทเป็น Allan Quatermain นักผจญภัยผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก เขาต้องกลายเป็นหัวหน้ากลุ่มของผู้วิเศษเพื่อปกป้องโลก ได้แก่ นักวิทยาศาสตร์สมองเพชร กัปตัน Nemo, Dracula สาว, มนุษย์ล่องหน, สายลับชาวอเมริกัน, มือสังหารผู้เป็นอมตะ Dorian Gray และอสุรกายผู้มีสองร่างในคนเดียวอย่าง Dt. Jekyll และ Mr. Hyde ทุกคนมีอดีตที่ลึกลับทั้งทางดีและร้าย โดยพวกเขาต้องทำงานร่วมกันเป็นทีม โดยสาร ไปในเรือดำน้ำของกัปตัน Nemo ที่ชื่อว่า “นอติลุส” เพื่อไปยับยั้งชายผู้บ้าคลั่งภายใต้หน้ากากที่ชื่อว่า Phantom ผู้วางแผนที่จะก่อวินาศกรรมในการประชุมของผู้นำระดับโลก ด้วยการวางระเบิดโดมิโนเพื่อทำให้ทั้งเมืองจมลงสู่ใต้น้ำ (ชมได้ที่ Netflix)
- นักแสดงคนอื่น: Shane West, Stuart Townsend, Tom Goodman-Hill, Peta Wilson, Richard Roxburgh
- ผู้กำกับ: Stephen Norrington (Blade)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 78 / 179 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 17% / 5.8/10
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส