Release Date
05/11/2020
ความยาว
123 นาที
Our score
9.0The Outpost
จุดเด่น
- เป็นหนังสงครามที่ไล่เรียงที่มาที่ไปชี้ปัญหาแบบวิเคราะห์ได้เนียนตาได้คิดตามมาก ๆ
- การแสดงของตัวละครหลักทำได้สมจริง ยิ่ง คาเล็บ แลนดี โจนส์ นี่คือดีจริง สร้างซีนของตัวเองท่ามกลางตัวละครหลักครึ่งร้อยได้รอด ผู้กำกับก็เฉลี่ยบทได้เก่งดี
- โพรดักชันในส่วนแอ็กชันสงครามคือมันมากสมจริงมากทั้งงานภาพงานผสมเสียง อัดยาว ๆ ไม่ยั้งแบบโคตรสะใจ สนุกสุด
จุดสังเกต
- ตัวละครเยอะ แถมมีความพยายามจะเน้นทุกตัว ลำบากคนดูนี่ล่ะที่จำไม่ไหว ยิ่งช่วงแรก ๆ คุยเยอะด้วย แต่พอผ่านไปเริ่มผูกพันกับบางตัวละครได้ก็เริ่มต่อติดมากขึ้น กลายเป็นชอบซะงั้น
-
บท
9.5
-
โพรดักชัน
9.5
-
การแสดง
8.5
-
ความสนุกตามแนวหนัง
9.0
-
ความคุ้มค่าการรับชม
8.5
เรื่องย่อ จากเรื่องจริงสุดเหลือเชื่อของภารกิจเสี่ยงตายในอัฟกานิสถาน เมื่อทหารจำนวน 54 คน ถูกล้อมด้วยกองกำลังตาลีบันกว่า 400 คน ในเขตแดนที่ไม่มีทางออกและอันตรายที่สุดในโลก หนทางเดียวที่จะรอด คือต้องสู้ และฝ่ายุทธภูมิล้อมตายนี้ไปให้ได้!
“นักวิเคราะห์ต่างเรียกค่ายนี้ว่า ค่ายมรณะ เพราะจะไม่มีใครรอดไปจากค่ายนี้ได้” เรียกว่าจั่วหัวได้อย่างน่าสนใจ พร้อมกับข้อความ “สร้างจากเรื่องจริง” ที่กลายเป็นคำการตลาดที่ได้ผลสำหรับหนังแนวโศกนาฏกรรมสงครามไปเสียแล้ว
ซึ่งตัวหนังก็พัฒนาบทมาจากหนังสือชื่อ The Outpost: An Untold Story of American Valor เขียนโดยหัวหน้าผู้สื่อข่าวของ CNN อย่าง เจก แทปเปอร์ ที่เล่าถึงวีรกรรมนรกแตกของ 53 ทหารอเมริกัน (และทหารลัตเวียอีก 2 นาย) ใน สมรภูมิแกมเดช (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น สงครามค่ายคีตติ้ง) ที่ปฏิบัติการกลางดงเหล่าผู้ก่อการร้ายตาลีบันถึงในซอกเขาชนบทของอัฟกานิสถาน โดยความช่วยเหลือที่ใกล้ที่สุดต้องรอคอยกันกว่า 2 ชั่วโมง และที่สำคัญชัยภูมิที่ตั้งค่ายก็แหกตำรากลยุทธ์ทุกเล่ม เพราะเล่นตั้งอยู่กลางแอ่งกระทะที่โอบล้อมจากภูเขาสูงทุกด้าน เรียกว่าเชิญชวนให้ปิดประตูตีแมวได้เลย
ผู้กำกับ ร็อด ลูรี อาจยังไม่มีผลงานชิ้นโบว์แดงที่ทำให้คุ้นหูนัก แต่ก็ไม่ใช่มือใหม่เสียทีเดียว เพราะเขาก็ช่ำชองกับการเป็นนักเล่าเรื่องราวแบบเครียด ๆ หนัก ๆ ทั้งดราม่าทหาร การต่อสู้ หรือการเมือง อยู่เสมอ ซึ่งนี่ก็เป็นโพรเจกต์ที่คอสงครามต่างเฝ้ารอให้ได้ขึ้นจอเงินอยู่เสมอ ไม่ต่างจากปฏิบัติการเรดวิงที่เคยกลายเป็นหนังชื่อดังอย่าง Lone Survivor (2013) ของผู้กำกับ ปีเตอร์ เบิร์ก มาแล้ว
ทว่าในแง่ซีนโชกเลือดและโศกนาฏกรรมแล้ว สมรภูมิแกมเดชจัดว่าโหดกว่าเรดวิงมาก เพราะเป็นการล้อมสังหารทหารอเมริกันเพียง 50 กว่าคน โดยกองกำลังตาลีบันกว่า 400 คนที่ได้เปรียบทั้งจำนวนคนและทั้งเชิงพื้นที่กว่ามาก
ด้วยความที่หนังได้การรีเสิร์ชที่ดีจากหนังสือเป็นทุนอยู่แล้ว ประกอบกับความต้องการอุทิศคารวะทหารหาญทุกนายที่สละชีพไปในค่ายแห่งนี้ จึงจำเป็นต้องเล่าย้อนกันไปตั้งแต่ต้นตอปัญหา สมัยที่ ผู้กองคีตติ้ง (ออแลนโด้ บลูม) ดำเนินการสันติภาพโดยเข้าเจรจากับหัวหน้าเผ่าต่าง ๆ ให้วางอาวุธ โดยแลกกับการช่วยเหลือเงินทุนเพื่อการพัฒนาด้านการศึกษาและสาธารณูปโภคแก่ชาวบ้าน เรื่อยมาจนเกิดการเปลี่ยนแปลงผู้นำค่ายและทำให้ข้อตกลงของคีตติ้งถูกเมินเฉย
และจากการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างตัวบุคคล เช่นผู้สั่งการ ตลอดจนเหตุผลด้านการเมืองใด ๆ หนังก็ค่อย ๆ ให้เราซึมซับเมฆร้ายที่ตั้งเค้าก่อนเกิดพายุทีละน้อย ๆ จากหนทางสันติภาพและการได้ยุบค่ายกลับบ้าน ก็แปรเปลี่ยนเป็นการดันทุรัง และโศกนาฏกรรมในที่สุด
ซึ่งที่ว่านี้หนังจึงต้องใช้เวลาปูที่มาที่ไปเกือบครึ่งเรื่อง ซึ่งเป็นทั้งข้อดีคือได้ข้อมูลมาก (ในระดับที่เกือบข้ามเส้นไปเป็นหนังสารคดี) เพื่อให้ผู้ชมตัดสินความถูกผิดกันเอง โดยผู้กำกับก็ใช้จุดแข็งของเซ็ตติ้งมรณะกลางดงศัตรูกับกระสุนที่ไม่รู้จะยิงมาตอนไหน ได้ชวนให้อกสั่นขวัญแขวนอยู่เป็นระยะ ซึ่งถือว่าทำได้ดี (ถ้าคุณไม่ได้รังเกียจช่วงดราม่ายาว ๆ ในหนังสงครามแอ็กชัน) ..ว่ากันตามตรงจากไม่ค่อยชอบในตอนแรก เมื่อถึงจุดหนึ่ง กลายเป็นชอบวิธีการเล่าตรงนี้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น เหมือนได้ศึกษาปัญหาไปพร้อมกัน
ส่วนข้อเสียที่ตามมาคือ.. จะด้วยเพราะความเคารพอย่างสุดซึ้งหรืออย่างไรไม่ทราบได้ แต่ที่แน่ ๆ คือไม่สงสารคนดูเลย เพราะตั้งแต่เปิดเรื่องมาจนถึงจุดนี้หนังก็แวะเวียนให้ได้รู้จักทหารทั้ง 55 นายในค่าย (อเมริกัน 53 ลัตเวีย 2) แบบขึ้นชื่อให้รายคน! ทุกคน! ซึ่งยอมรับว่าปวดกบาลมากในการต้องจดจำหน้าตาและชื่อบางคนเพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ชัดเจนขึ้น และเมื่อถึงจุดหนึ่ง ๆ ความรู้สึกช่างมันก็บังเกิดขึ้น และขอเลือกจำแค่ตัวหลัก ๆ ที่หน้าขึ้นโปสเตอร์อย่าง ผู้กองคีตติ้ง, จ่าโรเมชา (สก็อตต์ อีสต์วูด) และ พลทหารคาร์เตอร์ (คาเล็บ แลนดี โจนส์) พอ ซึ่งก็เป็นแนวทางที่ดีครับ แนะนำเลย
หนังเข้าช่วงแอ็กชันที่รอคอยจริงจังในครึ่งเรื่องหลัง แต่มาแล้วก็สาดกันยาว ๆ แบบไม่เว้นจังหวะหายใจ จำนวนนาทียิ่งนาน ความมันยิ่งมากตาม และสถานการณ์ในเรื่องก็ยิ่งบีบหัวใจ จนต้องจิกเบาะ ทั้งงานภาพที่วิ่งสู้ฟัดข้างตัวละครฝ่าควันระเบิดและห่ากระสุนราวกับเราไปอยู่ตรงนั้นด้วย ยิ่งผสมกับการเล่นเสียงห่าปืนกล ปืนใหญ่ จากรอบทิศทาง ดั่งเพชรฆาตที่ค่อย ๆ ล้อมเราเข้ามา ต้องบอกว่าคุ้มค่ามากกับการดูปูเรื่องมากว่าชั่วโมง เพราะได้เห็นทุกปัญหาที่ทิ้งไว้ระเบิดขึ้นมาเป็นหายนะในทุกหย่อมหญ้าของค่ายคีตติ้ง คือสนุกมาก ไม่มีอะไรให้ติติงเลย
สรุปแล้วนี่เป็นหนังสงครามที่ให้ข้อมูลแน่นมาก ได้ศึกษาทั้งแง่ตัวคนในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่ไปอยู่ในสงคราม ไปจนถึงได้วิเคราะห์ระบบการบริหารจัดการที่น่าจะเป็นบทเรียนชั้นดี แล้วสายแอ็กชันก็สะใจคุ้มค่าทุกนาทีในชั่วโมงหลังได้เต็มเหยียดยาว ๆ แบบโคตรลุ้นโคตรมัน แน่นอนถึงจะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องจริงมันจบไม่สวย แต่ให้ตั้งการ์ดกันเจ็บไว้แค่ไหนก็อดไม่ไหวจริง ๆ ที่เห็นตัวละครหลายตัวที่ผูกพันมาตลอดเรื่องต้องตาย สงครามไม่ได้ให้อะไรที่สร้างสรรค์กับมนุษย์เลยจริง ๆ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส