“ผมไม่รู้ว่าผมจะไปทำอะไรแล้ว ถ้าไม่ใช่เดินหน้าทำเพลงต่อไป”

ย้อนกลับไปในเดือนพฤศจิกายนเมื่อปีก่อน โอลิเวอร์ ไซกส์ ฟรอนต์แมนหนุ่มแห่งวงเมทัลคอร์ยอดนิยม‘Bring Me The Horizon’ ได้ให้สัมภาษณ์กับ NME ว่า “เราจะไม่ทำอัลบั้มอีกแล้ว ไม่แน่อาจจะตลอดไปเลย” เปล่าเลยพวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะเกษียณความร็อกก่อนกำหนด หากแต่มีความตั้งใจที่ทำงานเพลงออกมาเป็น EP. มากกว่า หลังจากที่ปล่อยอัลบั้มเต็มชุดล่าสุดออกมาในปี 2019 ใช้ชื่อว่า ‘amo’ (เป็นภาษาโปรตุเกสแปลว่า ‘รัก) ซึ่งทำให้แฟน ๆ เหวอไปพอสมควรกับกลิ่นอายทางดนตรีที่เปลี่ยนแปลงไป มีความเดือดระอุที่ลดลง หวานขึ้น และมีการผสมผสานแนวดนตรีที่หลากหลาย ตั้งแต่ฮาร์ดร็อก เรฟ อาร์ต-พอป และได้ศิลปินที่เชี่ยวชาญการอิเล็กทรอนิกส์ อย่าง Grimes และ สายเดือดอย่าง Dani Filth นักร้องนำวงโกธิก-ร็อกสุดเก๋า Cradle of Filth มาร่วมทัพด้วยเรียกได้ว่าเป็นการก้าวเดินครั้งสำคัญหลังจากลงสู่สมรภูมิร็อกมาร่วม 15 ปี

ถึงแม้ไซกส์และวงจะภูมิใจกับผลงานในอัลบั้มนี้แต่ในมุมหนึ่ง พวกเขาก็เริ่มมีความรู้สึกที่อยากจะปรับทิศทาง “บางทีมันอาจเป็นเพราะเราบังคับตัวเองให้ทำอัลบั้มซึ่งไม่ได้ยืนอยู่บนอะไรที่เราทำได้ง่าย ๆ เราไม่สามารถทำอะไรแบบนี้ได้อีก คุณใช้เวลาร่วมปีในการบันทึกเสียง แต่ผู้คนใช้เวลา 45 นาทีในการฟังมันแล้วพวกเขาก็บอกว่า ‘โอเค,แล้วไงต่อล่ะ?  มันเหมือนกับการดูซีรีส์ทางเน็ตฟลิกส์ คุณดู 8 เอพิโซดรวดมันก็จบลงแค่นั้น ไม่มีอะไรแล้ว”

จากนั้น BMTH ก็เลยเดินหน้าต่อในทิศทางที่ตั้งใจด้วยการปล่อยซิงเกิลใหม่ ๆ ออกมา ไม่ว่าจะเป็น ‘Ludens’ ที่เป็นเพลงประกอบเกมสุดล้ำจากฮิเดโอะ โคจิมะ ‘Death Stranding’ ‘Parasite Eve’ (ที่ชื่อเพลงก็มาจากเกมเหมือนกัน)  หรือแม้กระทั่งในช่วงที่ประสบกับปัญหาวิกฤษติโควิด -19 ก็ตาม พวกเขาก็ยังคงหาวิธีสื่อสารกันแบบ ‘Social Distancing’ จนสามารถทำเพลงออกมาได้จนมีซิงเกิลตามออกมาอีกอย่าง ‘Obey’ ที่ feat. กับ Yungblud รวมไปถึง ‘Teardrops’ ที่เหมือนเป็นการคารวะต่อวงร็อกรุ่นเก๋าอย่าง Linkin Park ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลในที่สุดก็ได้ถูกรวมเอาไว้ใน EP. อัลบั้มชุดใหม่ที่ใช้ชื่อว่า ‘Post Human: Survival Horror’ ซึ่งพวกเขาตั้งใจให้เป็น EP. แรกในซีรีส์ EP. ที่มีชื่อว่า ‘Post Human’

สำหรับโพรเจกต์ใหม่นี้ BMTH รู้สึกตื่นเต้นกับการเป็นอิสระจากการทำงานในรูปแบบของอัลบั้ม “เราต้องการลดความจริงจังกับงานเพลงของเราลงบ้าง เพลงบางเพลงที่เราเขียนเมื่อเร็ว ๆ นี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการไม่คิดอะไรมากและทำในสิ่งที่มาจากกึ๋นของเรา และบางทีมันอาจจะได้รับการตอบรับที่ดีกว่าเพลงที่เราใช้เวลาทำมันนาน ๆ ก็ได้”

ในโพรเจกต์ ‘Post Human’ BMTH ให้ความสำคัญกับ ‘การเดินทาง’ มากกว่า ‘จุดหมาย’ การเขียนเพลงและบันทึกเสียงในช่วงล็อกดาวน์  สมาชิกวงแต่ละคนใช้ชีวิตห่างกัน ติดต่อสัมพันธ์และทำงานร่วมกันผ่าน Zoom และ FaceTime ซึ่งก็เข้ากันได้ดีกับลุคของวงที่มีความเป็น ‘ไซเบอร์พังก์-เมทัล’ และผลลัพธ์ที่ออกมาก็คืองานเพลงใน EP. ชุดนี้มีความเรียลไทม์กับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่กับผู้คน สังคมและโลกใบนี้ มันสะท้อนให้เห็นถึงความช็อก ความหวาดกลัว ความวุ่นวายและสับสนในวิถีแห่งปี 2020 ที่แท้จริง

“ผมเชื่อว่าเราสามารถเป็นบางสิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่มนุษย์กำลังเป็นอยู่ ณ ขณะนี้”

งานเพลงทั้ง 9 ใน ‘Post Human : Survival Horror’ จึงมีความเป็นเพลงพอปวันสิ้นโลกที่มีเมโลดี้แบบบอยแบนด์ เป็นเสมือนบทบันทึกของการต่อสู้ในโลกยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้กับโรคร้าย ผู้นำฉ้อฉล ผู้คน สังคม หรือการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดในสมรภูมิแห่งชีวิต ไซกส์กล่าวว่าเพลงทั้ง 9 เพลงเป็นเสมือนการชุมนุมเพื่อต่อต้านความไม่เท่าเทียมกันและภัยจากสิ่งแวดล้อมซึ่งมีมาโดยตลอด และมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะเพิกเฉยท่ามกลางความวุ่นวายของวิกฤตไวรัสโคโรนา “เรากำลังพยายามทำให้ผู้คนโกรธและหัวเสียให้มากที่สุดเพื่อตระหนักว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเลวร้ายทั้งหลายบนโลกใบนี้ มันรู้สึกเหมือนเรากำลังเข้าใกล้บางสิ่งบางอย่าง กำลังรับมือกับวัฒนธรรมของเราและวิธีที่เราจ้องจะทำลายกัน ผมเชื่อว่าเราสามารถเป็นบางสิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่มนุษย์กำลังเป็นอยู่ ณ ขณะนี้”

Ludens

“How do I form a connection when we can’t even shake hands?”

Ludens คือสัมผัสแรกจาก BMTH ที่ปล่อยออกมาให้เราได้ฟังเมื่อปีก่อน บทเพลงอิเล็กทรอนิกร็อกอันเร่าร้อนที่เป็นซาวด์แทร็กประกอบเกม ‘Death Stranding’ เกมเชิงปรัชญาจากฮิเดโอะ โคจิมะผู้ได้รับฉายาว่าเทพแห่งวงการเกม เนื้อเพลงคม ๆ จากในเพลงนี้อย่างท่อนที่ร้องว่า “How do I form a connection when we can’t even shake hands?” ได้สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิต ‘Social Distancing’ ในยุคโควิดได้เป็นอย่างดี ทั้ง ๆ ที่เนื้อร้องนี้มาก่อนกาลเสียอีก

หลายคอมเมนต์จึงพร้อมใจกับยกย่องว่าเพลงนี้ควรเรียกว่า ‘2020’ เพราะมันรวบเกือบทุกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกเราในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นการประท้วง  การสวมใส่หน้ากาก หรือแม้กระทั่งเนื้อหาของมัน ซึ่งไซกส์ได้กล่าวเอาไว้ว่า  มีการอ้างอิงเล็กน้อยในวิดีโอเช่น มีคนที่ประท้วง และ Mat Nicholls (มือกลอง) สวมหน้ากากซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญทั้งหมด ตอนนั้นผมคิดว่าผมกำลังร้องเพลงเกี่ยวกับบางสิ่งที่ห่างไกลออกไปหลายปี แต่ผมไม่รู้ว่าเลยว่ามันคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่เดือนต่อมา”

Parasite Eve

“When we forget the infection , will we remember the lesson?

บทเพลงนี้คือซิงเกิลที่ปล่อยเป็นลำดับต่อมา มันเริ่มเป็นรูปเป็นร่างตั้งแต่ปีก่อนเมื่อ ไซกส์ได้อ่านเรื่องเกี่ยวกับ Superbug หรือ เชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยาต้านแบคทีเรียหลายชนิดในคราวเดียวกันของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากในโลกยุคใหม่ที่เชื้อโรคร้ายกำลังพัฒนาตัวอย่างรวดเร็วและยากที่จะรับมือกับมัน จนมาสู่บทเพลงที่สื่อไปถึงโรคร้ายที่สามารถแพร่กระจายได้ทางอากาศ ชวนให้คิดถึงความหวาดกลัวที่พวกเรามีต่อโควิดว่ามันจะเป็นเชื้อแบบแอร์บอร์นที่แพร่ทางอากาศได้หรือไม่

“‘Parasite Eve’ เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาใหม่ที่มนุษยชาติกำลังต้องเผชิญ” ไซกส์ได้เล่าถึงเพลงนี้  “ผมเริ่มมีความกังวลว่านี่อาจเป็นอนาคตของเรา ผมเขียนเพลงนี้ไว้ก่อนที่จะมีวิกฤติโควิด และเราได้พูดคุยกันมากมายว่าเราควรปล่อยมันหรือไม่ เรากังวลว่ามันจะโอเคไหม ท่อนร้องที่ว่า ‘When we forget the infection / Will we remember the lesson?’  (เมื่อเราลืมการติดเชื้อ / เราจะจำบทเรียนได้หรือไม่) เดิมคือ ‘If we survive the infection…’ (ถ้าเรารอดจากการติดเชื้อ…) ท่อนร้องนั้นมันทำให้ผมสั่นเลยในตอนแรก เพราะในความเป็นจริงมีคนจำนวนมากที่เสียชีวิตจากติดเชื้อโควิด”

BMTH ได้ไอเดียในการทำเพลงนี้ด้วยการแต่งมันขึ้นมาและทำเหมือนกับเป็นวิดีโอเกมเกมหนึ่ง ที่มีความแฟนตาซีและมีเรื่องเล่าของมัน (ชื่อของเพลงก็มาจากเกม Survival Horror ผสมผสานกับแนว Action RPG ชื่อดังในอดีต) “แล้วเราก็ได้ข้อสรุปกันว่า ‘ผู้คนต้องการสิ่งนี้จริง ๆ’ เพื่อให้มีประสบการณ์ของการได้ระบายออก ได้ปลดปล่อย ด้วยเสียงดนตรีและค่อย ๆ ทำความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป ถึงแม้ว่ามันจะมีความมืดหม่นอยู่ก็ตาม นั่นทำให้สิ่งที่เราอยากทำกับอัลบั้มนี้เป็นจริงขึ้นมา และเรารู้ว่าส่วนที่เหลือของอัลบั้มจะไปในทางไหน

ผลลัพธ์ที่ออกมาคือบทเพลงอันทรงพลัง ที่เติมแต่งไว้ด้วยเสียงไซเรน เสียงจาม และ เสียงของไซบอร์กสร้างความรู้สึกความผันผวนแกว่งไกวไปมา เริ่มต้นท่วงทำนองด้วยความแผ่วเบาราวเสียงกระซิบไปสู่ความกระหึ่มกร้าวเป็นภาพสะท้อนของความสับสนวุ่นวายภายในปี 2020 ได้เป็นอย่างดี

“มันจะช่วยผู้คนให้ผ่านพ้นช่วงเวลาอันหม่นมืดนี้ไปได้ และนี่แหละคือสิ่งที่ดนตรีร็อกเป็น”

Dear Diary

“The sky is falling, it’s fucking boring

ทรานซ์สุดเดือดผสมเดธคอร์กระหน่ำโหด กลองรัวเร็วราวกับปืนกลท่ามกลางสงครามอันบ้าคลั่ง นี่แหละคือความสาแก่ใจที่แฟนเพลงเดนตายของ BMTH ถวิลหา  BMTH เลือกเพลงนี้มาเป็นแทร็กเปิด EP. เหมือนจะเป็นการบอกว่านี่ไงละโว่ยที่พวกเอ็งต้องการ เหมือนเป็นการปลดปล่อยจากอารมณ์เซ็งจากในช่วงโควิดที่ทุกคนต้องถูกล็อกดาวน์อยู่กับบ้าน Every channel is the same, it’s sending me insane

เพลงนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกม Resident Evil ด้วย อย่าง Diary ในเนื้อหาของเพลงนี้ก็มีเรฟมาจากไดอารีที่พบในแมนชัน สเปนเซอร์ที่รู้จักกันในชื่อว่า ‘Keeper’s Diary’ ซึ่งในไดอารีเล่มนี้ได้เขียนขึ้นโดยนักวิจัยเป็นการบรรยายถึงลักษณะของการติดเชื้อ ที-ไวรัส แต่ในช่วงท้ายของไดอารีผู้เขียนได้ติดเชื้อจนถึงจุดที่กำลังจะคลั่งแล้วจึงจดคำสุดท้ายลงไปว่า  “Itchy. Tasty.” (คันโว้ย อร่อยว่ะ) บรื๋อส์ !! ซึ่งอาการคันและอยากอาหารนี้จะมาปรากฏในท่อนร้องที่ 2 ที่ร้องว่า

“Dear diary, I feel itchy like there’s bugs under my skin

The dog’s gone rabid, shut the fuck up, doing my head in

I keep fading in and out, I don’t know where I’ve been

I feel so hungry, what the hell is happening?

Teardrops

“The emptiness is heavier than you think

ในส่วนของดนตรีบทเพลงนี้เป็นเสมือนการคารวะต่อวงดนตรีรุ่นพี่ผู้เป็นหนึ่งในผู้ถางทางของวงการดนตรีนู-เมทัล ‘Linkin Park’ องค์ประกอบดนตรีลีลานี่ชวนให้คิดถึงงานเพลงของ Linkin Park จริง ๆ (ถ้ามีแรปสักหน่อยนี่ใช่เลย) ส่วนในด้านเนื้อหา เพลงนี้มีที่มาจากการที่ไซกส์รู้สึกว่าคนเราทุกวันนี้กำลังจะถูกทำให้ชาชินหรือทึบทื่อไปกับข่าวโศกนาฏกรรมรายวันทั้งหลายที่เรารูดลงมาเห็นตามหน้าฟีด “เราปล่อยให้มันสร้างความสะเทือนขวัญให้กับชีวิตของเราในแต่ละวันได้ยังไง จนเหมือนเราเสพติดมันไปแล้ว”

ไซกส์กล่าวถึงเพลงนี้ไว้ว่า “‘Teardrops’ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่เราได้รับความบอบช้ำจากการยอมจำนน ไม่ว่าสื่อจะตั้งใจให้เป็นแบบนั้นหรือไม่ ความตายก็ถูกทำให้กลายเป็นแค่เรื่องสถิติ เราได้รับข่าวร้ายมากมายในช่วงปีที่แล้ว มันบ้าบอสิ้นดี ที่มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นทุกวี่วันแต่เราทำเหมือนกับเดินละเมอผ่านมันไปซะอย่างงั้น”

Obey

Whatever you do, just don’t wake up and smell the corruption

Obey คือบทเพลงที่ปลุกเร้าให้เราลุกขึ้นมาสู่กับอำนาจที่กดขี่เราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ทำให้เราอยู่กับสิ่งเหล่านี้ด้วยความเคยชินและความรู้สึกที่ว่า “อย่าไปสนใจอะไรมาก ใช้ชีวิตของเราต่อไปแล้วเราจะไม่ต้องเจอกับปัญหาอะไรทั้งนั้น” แต่ในความเป็นจริงแล้วมีเพียงแต่พวกเราเท่านั้นที่จะลุกขึ้นมาสู้และทวงสิทธิอันชอบธรรม อย่างท่าทีของทรัมป์ในช่วงที่มีการประท้วง Black Lives Matter ก็เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจที่ทำให้ BMTH เขียนเพลงนี้ขึ้นมา “‘ถ้าคุณทำเรื่องวุ่นวายเราจะออกมาทำให้มันถูกต้อง’ มันเป็นเหมือนเสียงเอ็กโค่ที่ก้องสะท้อนในสิ่งที่ทรัมป์ออกมาพูดตลอดช่วงที่มีการประท้วง Black Lives Matter ซึ่งดูเหมือนเขาจะสนับสนุนกลุ่มฝ่ายขวา มันคือฝันร้าย มันพยายามที่จะสื่อถึงความคิดที่ว่าเรากำลังถูกบังคับให้ต้องยอมแพ้”

ความพิเศษอีกอย่างของบทเพลงนี้คือการได้ Yungblud พอปพังก์หนุ่มจาก Doncaster มาร่วมแจมด้วย เป็นสัญญาณแรกของ EP. นี้ที่จะมีศิลปินชวนว้าวมาร่วมแจมอีก สำหรับ Yungblud แล้ว เขาเป็นร็อกสตาร์ที่มีความบ้า กล้า ซ่าในแบบฉบับของตัวเองที่ช่วยเติมสีสันให้กับงานของ BMTH ได้เป็นอย่างดี อย่างใน MV เพลงนี้ที่ไซกส์กับ Yungblud มาขี่หุ่นยักษ์สู้กันแบบในหนังญี่ปุ่นนั่นก็เท่ขนาด ไซกส์นั้นเป็นปลื้มกับ Yungblud มากเลยทีเดียว “ผมรักเขา เขาทำให้ห้องมันสว่างไสวขึ้น เขาเป็นเหมือนขั้วตรงข้ามกับผมเลย ผมหวังว่าผมจะมีความมั่นใจในแบบที่เขามี มันเหมือนกับจะส่งต่อมาให้เราได้เลยและนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเด็ก ๆ ถึงชื่นชมเขา เป็นผู้คนในแบบที่ใช้ชีวิตแบบไม่ต้องละอายและเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง ไม่สบยอมให้กับอะไรหรือเล่นตามกฎใด ๆ ทั้งนั้น”

Itch For The Cure (When Will We Be Free?)

“’Cause you keep asking yourself / When will we be free?”

เป็นอีกเพลงที่เหมือนจะคารวะ Linkin Park ด้วยการตั้งชื่อล้อกับเพลง Cure For The Itch” ที่เป็นเหมือนเพลงโชว์ของโจ ฮาห์นจากอัลบั้ม Hybrid Theory เพลงนี้ก็เลยถูกวางไว้เป็น interlude นำไปสู่เพลงต่อมานั่นก็คือ ‘Kingslayer’ ที่ feat. กับ BABYMETAL นั่นเอง

Kingslayer

“Get the fuck up, wake the fuck up

Wipe the system and back the fuck up

อีกการ collaboration สุดว้าวจากอัลบั้มนี้ก็คือ การร่วมงานกันกับไอดอลสาวสายเมทัลจากแดนอาทิตย์อุทัย ‘BABYMETAL’ จนออกมาเป็นบทเพลงเมทัลที่มีความพอปใสในเนื้อเสียงอาโนเนะในแบบญี่ปุ่นมาผสมอยู่ด้วย ไซกส์บอกว่าเพลงนี้เป็นเสมือนบทกวีสำหรับคนที่ “เต็มใจทำในสิ่งที่ถูกต้องแม้ว่าจะผิดกฎหมายก็ตาม” เรื่องนี้ก็มีที่มาจากทรัมป์และเหตุสืบเนื่องจาก Black Lives Matter อีกเหมือนกัน จากการที่ทรัมป์สนับสนุนฝ่ายขวาด้วยการออกมาบอกว่าเหตุรุนแรงที่เมืองชาร์ล็อตส์วิลล์ ระหว่างกลุ่มชาตินิยมขวาจัดและผู้ยึดถือแนวคิดคนผิวขาวเป็นใหญ่ กับ กลุ่มผู้ชุมนุมฝ่ายซ้ายจัดที่ต่อต้านฟาสซิสต์ หรือ “แอนติฟา” นั้นเกิดขึ้นเพราะว่าฝ่ายหลังเป็นผู้เริ่มใช้กำลังก่อน “การที่ทรัมป์ประณามขบวนการต่อต้านฟาสซิสต์ (แอนติฟา) และเรียกพวกเขาว่าองค์กรก่อการร้ายนั้นเป็นเรื่องบ้าบอสิ้นดี โดยพื้นฐานแล้วก็เหมือนกับการที่เขาประกาศตัวว่าเขาเป็นพวกฟาสซิสม์นั่นแหละ”

ในด้านงานดนตรี BMTH ไม่เคยกลัวที่จะโอบกอดความพอปเข้ากับความร็อกจากการร่วมงานกับ BABYMETAL ซึ่งถึงแม้จะมีความเมทัลแต่ก็ไม่ได้เป็นเมทัลจ๋าแบบกลุ่มแฟนเพลง BMTH แน่นอน “เราอยากทำอะไรบางอย่างกับพวกเธอมานานแล้ว เรามีความสัมพันธ์พิเศษกับพวกเธอแม้ว่าเราจะไม่ได้พูดภาษาเดียวกัน เราไม่ได้ออกไปเที่ยวหรือสนทนากัน แต่เมื่อคุณได้เห็นพวกเธอมันทำให้คุณมีความสุขจริง ๆ พวกเธอเข้ากันได้ดีกับแนวคิดของงานชุดนี้ที่เราอยากจะให้มันมีความ ‘ไซเบอร์พังก์” มันฟังดูแล้วเหมือนกับตัวอย่างหนังอนิเมะทางทีวีเลย”

ส่วนชื่อเพลงนั้นก็มีที่มาจากเกม (อีกแล้ว) ซึ่งคำว่า  ‘Kingslayer’ เป็นคำที่มาจากเกม ‘Call of Duty’ ในเวลาที่เราฆ่าผู้เล่นตัวท็อปของฝ่ายตรงข้ามได้เราจะได้รับเหรียญรางวัล ‘KIngslayer’ นั่นเอง

1X1

I don’t know what hurts the most, holding on or letting go

Nova Twins เป็นวงร็อกดูโอที่เป็นที่ชื่นชอบของไซกส์ ที่บทเพลงของพวกเขาเป็นเสมือนซาวด์แทร็กประกอบชีวิตของไซกส์ในช่วงล็อกดาวน์  เนื้อหาของเพลง “ 1×1” พูดถึงความรู้สึกผิดของมนุษยชาติที่ตระหนักได้ว่าพวกเขาทำลายสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นหรือแม้แต่คนอื่น ๆ เนื่องจากความแตกต่างทางจริยธรรม ศาสนา เพศวิถี หรือว่าความแตกต่างทางเพศ รวมไปถึงการพยายามดิ้นรนหลีกหนีจากประวัติศาสตร์อันเลวร้ายทั้งในเชิงสังคมที่เรามีร่วมกันหรือความดำมืดในชีวิตของแต่คนที่คอยสร้างความรู้สึกผิดขึ้นมาในหัวใจของเรา “ฉันไม่รู้ว่าอะไรเจ็บปวดที่สุดระหว่าง เหนี่ยวรั้งมันไว้หรือปล่อยมันไป การรือฟื้นความทรงจำขึ้นมา พวกมันกำลังฆ่าฉันให้ตายไปทีละนิด ๆ”

One Day The Only Butterflies Left Will Be In Your Chest As You March To Your Death

“I thought we had a future, but we ain’t got a chance in hell

ชื่อเพลงย้าวยาวเพลงนี้ได้ Amy Lee จากวงโกธิกร็อกชื่อดัง Evanescence เจ้าของบทเพลงดังในอดีต ‘Bring Me To Life’ มาร่วมแจมด้วย แต่สาเหตุของการได้ร่วมงานกันนั้นสุดฮา เพราะว่ามีที่มาจากการฟ้องร้องกันเรื่องลิขสิทธิ์เพลง ซึ่งไซกส์ได้เล่าว่า “ในเพลง Nihilist Blues (จากอัลบั้ม ‘amo’) เราเอาท่อนหนึ่งในเพลงของพวกเขามา มันเป็นไปโดยจิตใต้สำนึกนะ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นเราก็เหมือนกับว่า “เราจะไม่ไปโต้แย้งอะไรเลย” หลังจากที่วงตกลงที่จะแบ่งเครดิตการแต่งเพลงกับลีผู้จัดการวงของ Evanescence ก็ได้ติดต่อกลับว่า ‘‘เอมีชอบวงของคุณจริง ๆ นะและเธออยากจะร่วมงานกับพวกคุณ’ นั่นล่ะแสงเงินทอประกายเลยล่ะ”

แนวคิดของเพลงก็เท่มากคือมีการเปรียบเปรยเหมือนไซกส์นั้นเป็นตัวแทนของมนุษยชาติ ส่วนเอมีนั้นเป็นแม่แห่งธรรมชาติทั้งมวล “แนวคิดของเพลงคือผมนั้นเป็นมนุษย์ ส่วนเอมีนั้นเป็นมารดาแห่งธรรมชาติ และ มันเป็นอะไรที่เพอร์เฟกต์มากที่ได้ตัวแม่แห่งวงการร็อกมาร้องเพลงนี้” เนื้อหาของเพลงนั้นเป็นเหมือนการให้กำลังใจเปรียบเปรยสถานการณ์ว่าหากโลกนี้กำลังจะจบสิ้น สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือพยายามและหาสิ่งใหม่ให้กับชีวิตของเรา มันเหมาะมากที่จะใช้เป็นเพลงจบ EP. ที่มีชื่อว่า ‘Survival Horror’ สุดท้ายแล้วเราก็ต้องเป็นผู้รอดชีวิต และใช้ชีวิตอย่างมีหวังและลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างเพื่อวันข้างหน้าต่อไป

ฟัง Ep. อัลบั้ม ‘Post Human : Survival Horror’ จาก Bring Me The Horizon ได้แล้ววันนี้

Apple Music / Spotify

Source

NME

The Guardian

genius.com 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส