ปี 2020 ที่จบลงไปแล้วและต้องพูดว่าหนังของปีนี้มีน้อยเรื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้หนังเลื่อนออกไปหมด นิตยสารและสื่ออย่าง The Hollywood Reporter ได้ติดต่อไปยังสมาชิกของสถาบันด้านภาพยนตร์และโทรทัศน์ของฮอลลีวูดหรือพูดง่าย ๆ ก็คือเหล่าทีมนักสร้างหนังของฮอลลีวูดเพื่อให้ช่วยกันเลือกโหวตหนังโปรดในดวงใจของพวกเขา ซึ่งจาก 3,500 คนทั่ววงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์อเมริกัน นี่คือ 20 อันดับแรกที่พวกเขาชอบมากที่สุด ลองไปดูว่าจะตรงกับหนังโปรดของชาว What the Fact กี่เรื่อง?

อันดับ 20 The King’s Speech (2010)

ภาพยนตร์ที่คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แถมในปีนั้นคู่แข่งก็ยังเป็นหนังสายแข็งอย่าง The Social Network (2010) ของ David Fincher (ติดอยู่ในลิสต์ 20 เรื่องนี้ดวย) ที่ได้รับแรงเชียร์จากรางวัลเล็ก ๆ ที่ประกาศก่อนหน้ามากกว่า ในฐานะที่เป็นหนังเรื่องราวอเมริกันจ๋าของผู้ก่อตั้ง Facebook เทียบกับหนังพีเรียดที่ดูเชย ๆ ของกษัตริย์อังกฤษติดอ่าง แต่สุดท้ายด้วยความยอดเยี่ยมของนักแสดงและเรื่องราวที่น่าเอาใจช่วยของตัวละคร The King’s Speech ก็คว้าออสการ์ไปได้ถึง 4 จาก 12 สาขาที่เข้าชิง

หนังเป็นเรื่องราวของพระเจ้า George ที่ 6 พระบิดาของสมเด็จพระราชินี Elizabeth ที่ 2 ภายหลังกษัตริย์ Edward ที่ 8 พี่ชายสละราชสมบัติ พระองค์จึงต้องขึ้นครองราชย์แทนอย่างไม่ได้เตรียมใจนัก โดยเฉพาะปัญหาอาการพูดติดอ่างซึ่งนำมาสู่ความกังวลว่าจะไม่เหมาะสมในการทำหน้าที่เป็นกษัตริย์ที่ดี George ได้รับความช่วยเหลือจาก Lionel Logue นักบำบัดอาการบกพร่องทางการพูดจนเกิดเป็นมิตรภาพระหว่างกัน และจากความช่วยเหลือของภรรยา Elizabeth พระมารดาของพระราชินี Elizabeth ที่ 2 เขาจึงสามารถเอาชนะปัญหาอาการนี้ได้ในที่สุด

หนังจะเล่าเหตุการณ์ลากยาวตั้งแต่ครั้งพระเจ้า George ที่ 5 (Michael Gambon) พระราชบิดาของพระเจ้า George ที่ 6 สวรรคต พร้อมกับการสละโอกาสครองราชย์บัลลังก์ของกษัตริย์ Edward ที่ 8 (Guy Pearce) ส่งผลให้พระเจ้า George ที่ 6 หรือ Bertie ขึ้นครองราชย์ต่อ แถมในช่วงนั้นประเทศก็จวนเจียนจะเข้าสู่สงคราม นายกรัฐมนตรี Winston Churchill (Timothy Spall) และประชาชนจึงต้องการสุนทรพจน์ที่ยอดเยี่ยมจากผู้นำที่เข้มแข็งอย่างพระองค์

  • นักแสดง: Colin Firth, Geoffrey Rush, Helena Bonham Carter, Guy Pearce, Michael Gambon, Derek Jacobi, Timothy Spall
  • ผู้กำกับ: Tom Hooper (Les Misérables, The Danish Girl, The Damned United)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 15 / 427 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 94% / 8/10
  • บทบาทบนเวทีออสการ์:
    • ชนะ 4 สาขารางวัล (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Colin Firth), ผู้กำกับยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม)
    • เข้าชิง 8 สาขารางวัล (นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Geoffrey Rush),นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (Helena Bonham Carter), ถ่ายภาพยอดเยี่ยม, ลำดับภาพยอดเยี่ยม, องค์ประกอบศิลป์ยอดเยี่ยม, ออกแบบเครื่องแต่งกายอดเยี่ยม, ผสมเสียงยอดเยี่ยม, เพลงประกอบยอดเยี่ยม)

ชวนอ่านบทความที่เกี่ยวกับหนัง The King’s Speech

10 หนังราชวงศ์อังกฤษ “สุดปัง” ที่คอซีรีส์ The Crown ต้องหาดูสักครั้ง

อันดับ 19 Call Me By Your Name (2017)

หนังก้าวผ่านวัยผ่านความสัมพันธ์ของเพศเดียวกันเรื่องนี้ ใช้เวลาเป็น 10 ปี กว่าผู้สร้างจะได้เริ่มการถ่ายทำ เพราะสตูดิโอหลายแห่งบอกผ่านจากการเป็นหนังของไบเซ็กชวลและแถมยังไม่มีความขัดแย้งอะไรในเรื่อง นอกจากความหมกมุ่นฮอร์โมนพลุ่งพล่านของพระเอกวัยแตกหนุ่ม ทีมงานนานาชาติของหนังประกอบไปด้วยชาวอิตาเลียน ฝรั่งเศส อังกฤษ และไทย (ผู้กำกับภาพ-สยมภู มุกดีพร้อม ที่เคยกำกับภาพ “สัตว์ประหลาด” ของอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ซึ่งก็เป็นเรื่องราวของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศเช่นกัน) สุดท้ายหนังได้รับคำชมว่าเป็นหนังแสนละมุนที่งดงามที่สุดเรื่องหนึ่ง

ดัดแปลงมาจากนิยายโรแมนติกของ André Aciman ที่พูดถึงเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่าง Elio เด็กหนุ่มวัย 17 เชื้อสายอเมริกันอิตาเลียน-ยิว กับ Oliver นักศึกษาหนุ่มชาวอเมริกันวัย 24 ปี ขณะมาช่วยงานคุณพ่อของ Elio ช่วงปิดภาคฤดูร้อนในช่วงยุค 80s หนังปูแบ็กกราวนด์ในด้านอ่อนโยนของเด็กหนุ่มที่ดูภายนอกเหมือนจะมีเสน่ห์ไปในเชิงเพลย์บอย แต่ความอ่อนโยนนั้นถูกขยายออกจนประตูอีกบานเปิดออก ตัวตนอีกด้านหนึ่งของเขาเผยออกมา เจือปนกับความอยากรู้อยากเห็นและความสับสนในการค้นหาตัวเองแบบฉบับหนัง Coming (out) of Age

  • นักแสดง: Armie Hammer, Timothée Chalamet, Michael Stuhlbarg, Amira Casar
  • ผู้กำกับ: Luca Guadagnino (Suspiria, A Bigger Splash, I Am Love)
  • ทุนสร้าง / รายรับรวมทั่วโลก: 4.5 / 41 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score / iMDB Rating: 95% / 7.9/10
  • รางวัลบนเวทีออสการ์:
    • ชนะ 1 สาขา (บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม)
    • เข้าชิง 3 สาขา (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Timothée Chalamet), เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม)

ชวนอ่านบทความที่เกี่ยวกับหนัง Call Me by Your Name

หนัง LGBTQ+ ตลอด 20 ปี…ที่ควรค่าแก่การหามาดูสักครั้งในชีวิต

อันดับ 18 Once Upon a Time…in Hollywood (2019)

ผลงานลำดับที่ 9 ของผู้กำกับสุดแนวที่มีเอกลักษณ์ในสไตล์ของตัวเองทุกเรื่องอย่าง Quentin Tarantino ที่ยิ่งเก๋าเกมขึ้นทุกทีกับหนังทุกเรื่องที่เขาทำ ยิ่งกับเรื่องนี้ที่ได้นักแสดงชั้นเยี่ยมอย่าง Leonardo DiCaprio, Brad Pitt สองนักแสดงนำชายแถวหน้าของวงการตลอด 30 ปีมานี้ สมทบด้วย Margot Robbie ก็ยิ่งทำให้หนังพรีเมียมเข้าไปใหญ่ นอกจากนั้นแล้ว หนังเล่าถึงความหลังที่ยังคิดถึงของอุตสาหกรรมการสร้างภาพยนตร์ในปลายยุค 60s วิถีชีวิตนักแสดง และเหตุโศกนาฎกรรมสะเทือนขวัญ ซึ่งหนังแนว Nostalgia ถวิลหาความทรงจำของฮอลลีวูดก็กลายเป็นหนังอีกแนวที่นิยมสร้างกันในทศวรรษนี้ เช่น Argo (2012) เป็นต้น) (อ่านรีวิวเรื่องนี้ ของ WTF)

นี่เป็นครั้งแรกที่หนัง Tarantino ทำหนังที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริง (ที่ถ้าใครได้ดูก็จะรู้ว่าส่วนแฟนตาซีหลุดโลกที่ไม่ใช่เรื่องจริงจากเหตุการณ์จริงก็มีอยู่เพียบ) หนังเล่าเรื่องในบรรยากาศ ยุคทองของฮอลลีวูด ปี 1969 โดยนิยามแนวทางของหนังไว้ว่า “หนังหลายเส้นเรื่องที่ฉายภาพเทพนิยายยุคใหม่ ในห้วงเวลาสุดท้ายของยุคทองฮอลลีวูด”

เส้นเรื่องหลักของหนังจะติดตาม Rick Dalton พระเอกจากหนังทีวีแนวคาวบอยที่กำลังหมดความนิยม และหนีตายดิ้นรนหางานเพื่อให้ได้มีชื่อเสียงต่อไป อีกเส้นเรื่องคือความสัมพันธ์ของเขากับ Cliff Booth สตันท์แมนคู่บุญที่ติดสอยห้อยตามดั่งพี่น้อง และเส้นเรื่องสุดท้ายคือ การที่พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านที่รั้วติดกับผู้กำกับดังแห่งยุคอย่าง Roman Polanski และแฟนสาวที่เป็นดาราดัง Sharon Tate ถ้าใครติดตามเรื่องราวโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นจริงก็จะทราบดีว่า เธอถูกฆาตกรรมอย่างน่าสยดสยองขณะตั้งครรภ์ โดยฝีมือกลุ่มฮิปปี้คลั่งลัทธิของ Charles Mansonเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 1969 อันเป็นปีฉากหลังของหนังด้วย

  • นักแสดง: Leonardo DiCaprio, Brad Pitt, Margot Robbie, Dakota Fanning, Al Pacino, Emile Hirsch, Timothy Olyphant
  • ผู้กำกับ: Quentin Tarantino (Kill Bill, Pulp Fiction, Inglourious Basterds)
  • ทุนสร้าง / รายรับรวมทั่วโลก: 90 / 374 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score / iMDB Rating: 85% / 7.6/10
  • รางวัลบนเวทีออสการ์:
    • ชนะ 2 สาขา (นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Brad Pitt), องค์ประกอบศิลป์ยอดเยี่ยม)
    • เข้าชิง 8 สาขา (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Leonardo DiCapriot), ผู้กำกับยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ถ่ายภาพยอดเยี่ยม, ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม, ผสมเสียงยอดเยี่ยม, ตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม)

ชวนอ่านบทความที่เกี่ยวกับหนัง Once Upon a Time…in Hollywood

อันดับ 17 Wonder Woman (2017)

เป็นเวลานานหลายสิบปีที่เรื่องราวของ Wonder Woman ไม่เคยได้ปรากฏบนจอภาพยนตร์เลย ต่างกับฝั่งฮีโรดีซีฝ่ายชายอย่าง Superman และ Batman ที่รีบูตรีเมกกันมาหลายรอบ จนกระทั่งแผนการสร้างหนัง Justice League (2017) เกิดขึ้น หนังแยกเดี่ยวที่แนะนำตัว Diana Prince หรือ Wonder Woman จึงเกิดขึ้น และได้อดีตนางงามอิสราเอลอย่าง Gal Gadot มารับบทนี้

แต่หนังก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่หนังแนะนำตัว เพราะยังครบถ้วนสมบูรณ์ด้วยความบันเทิงและแฝงดราม่าความรักระหว่าง Diana และคนรักอย่าง Steve Trevor เอาไว้ได้อย่างลงตัว ผลลัพธ์สุดท้ายจึงกลายเป็นความสำเร็จอย่างที่พูดได้เต็มปากครั้งแรกของ DC Universe และหนังก็ได้กลายเป็นหนังซูเปอร์ฮีโรหญิงที่ทำรายได้สูงที่สุดในโลก (ก่อนจะถูกโค่นโดย Captain Marvel (2019) ที่ทั้งหมดต้องชื่นชมผู้กำกับหญิงเก่ง Patty Jenkins ที่กลับมากำกับภาค 2 และจะไปกำกับ Gal Gadot ในหนัง Cleopatra อีกด้วย

ในภาคแรกนี้เล่าเรื่องราวก่อนที่เธอจะเป็น Wonder Woman Diana เจ้าหญิงแห่งชนเผ่าแอมะซอน ผู้ถูกฝึกฝนมาให้เป็นนักรบอันกล้าแกร่ง เธอเติบโตมาในเกาะสวรรค์ที่ซ่อนเร้นอยู่กลางทะเล เมื่อนักบินชาวอเมริกันทำเครื่องบินตกที่ชายหาดบนเกาะของพวกเธอ และเล่าเรื่องราวสงครามความขัดแย้งอันรุนแรงของโลกภายนอก Diana จึงด้ไปจากบ้านเกิดเพราะเชื่อว่าเธอจะหยุดภัยคุกคามให้กับโลกได้ เมื่อได้ต่อสู้ร่วมกับทหารหาญเพื่อหยุดสงคราม เธอจึงได้ค้นพบศักยภาพที่ซ่อนเร้นและโชคชะตะของเธอหลังจากนั้น

  • นักแสดง: Gal Gadot, Chris Pine, Connie Nielsen, Robin Wright, Danny Huston, David Thewlis
  • ผู้กำกับ: Patty Jenkins (Wonder Woman 1984, Monster)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 149 / 821 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 93% / 7.4/10

ชวนอ่านบทความที่เกี่ยวกับหนัง Wonder Woman และ Wonder Woman 1984

อันดับ 16 The Hunger Games (2012)

จุดเริ่มต้นของหนังวัยรุ่นในบรรยากาศหลังโลกล่มสลายอันเป็นการต่อยอดกลุ่มผู้ชมจากหนังแฟรนไชส์ที่สร้างนิยายสุดฮิตอย่าง Harry Potter และแวมไพร์ Twilight ที่พูดได้ว่า Hunger Games ก็เทียบชั้นความสำเร็จด้านรายได้จากทั้งหมด 4 ภาคเช่นเดียวกับ 2 แฟรนไชส์แรก แต่หลังจากนั้นหนังแนวนี้ก็ไม่ได้ทำเงินถล่มทลายอีกเลย (เป็นต้นว่า Divergent (2014-2016) หรือ The Maze Runner (2014-2018)) หนังที่ดัดแปลงจากนิยายของ Suzanne Collins แจ้งเกิดนักแสดง Jennifer Lawrence ให้กลายเป็นนักแสดงแถวหน้าและคว้าออสการ์นำหญิงในปีเดียวกันนั้นเลยจาก Silver Linings Playbook  แฟรนไชส์นี้ทำรายได้ทั่วโลกไปเกือบ 3,000 ล้านเหรีญฯ จากทุนสร้างแค่เกือบ 500 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น โดยมีภาค 2 Catching Fire (2013) ทำรายได้มากที่สุด

เรื่องราวในภาคแรกที่เป็นเหมือนการเกริ่นและปูเรื่องก่อนภาคต่อ ๆ ไป เน้นเรื่องราวไปที่การแข็งขันเกมล่าเกมที่เอาคนไปแข่งเอาชีวิตรอดและมีการถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์ในรูปแบบของรายการเรียลลิตี้ เรื่องราวเกิดขึ้นที่พาเน็มที่แบ่งออก 13 เขตปกครอง มีแคปปิตอลเป็นเมืองหลวง แคปปิตอลกดขี่ทั้ง 13 เขตมาโดยตลอด จนทำให้เขต 13 ก่อกบฏ แคปปิตอลไหวตัวได้ทันและทำลายเขต 13 ทิ้งจนไม่เหลือซาก และเพื่อเป็นตอกย้ำให้ประชากรอีก 12 เขตทราบถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นหากคิดก่อกบฏ แคปปิตอลจึงจัดการแข่งขัน The Hunger Games ขึ้น โดยทั้ง 12 เขต ต้องจับสลากเลือกบรรณาการชายหญิงอายุ 12-18 ปี ในวันเก็บเกี่ยวมาอย่างละคนเพื่อลงแข่ง และทั้ง 24 คน จาก 12 เขต ต้องฆ่ากันเองจนกว่าจะเหลือผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว

Katniss Everdeen เด็กสาววัย 16 ปี อาศัยอยู่ในเขต 12 ที่แร้นแค้น เธอเป็นเสาหลักให้ครอบครัวนับตั้งแต่พ่อตาย คอยหาอาหารประทังแม่กับน้องสาว ในวันเก็บเกี่ยวก่อนเกมล่าชีวิตครั้งที่ 74 Primrose Everdeen น้องสาวของเธอถูกจับชื่อให้ไปเป็นบรรณาการหญิงของเขต 12 Katniss จึงขออาสาไปแข่งแทนน้องสาว และบรรณาการชายของเขต 12 ก็ตกเป็นของ Peeta Mellark ลูกชายร้านขนมปังที่เคยช่วยชีวิตแคตนิสไว้ในตอนที่เธอเกือบจะอดตาย สุดท้ายพวกเขาก็กลายเป็นดาวเด่นของการแข่งขันที่ผู้ชมต่างลุ้นให้รักกัน

  • นักแสดง: Jennifer Lawrence, Josh Hutcherson, Liam Hemsworth, Woody Harrelson, Donald Sutherland, Elizabeth Banks, Stanley Tucci, Wes Bentley
  • ผู้กำกับ: Gary Ross (Seabiscuit, Ocean’s Eight, Pleasantville)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 78 / 694 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 84% / 7.2/10

(อ่านต่อหน้าถัดไป)

อันดับ 15 Bohemian Rhapsody (2018)

คงไม่มีใครคาดคิดว่าหนังที่สร้างจากเรื่องราวของ Freddie Mercury นักร้องนำวง Queen จะทำรายได้ยืนระยะกว่า 4 เดือน (ถ้าเป็นหนังยุค 90s จะถือเป็นเรื่องปกติ) และเกือบจะเป็นหนังพันล้านเหรียญฯ ชีวิตของ Freddie นั้นเต็มไปด้วยสีสันและความดราม่าซึ่งเป็นวัตถุดิบชั้นดีอยู่แล้ว (ยังไม่เคยมีใครนำเรื่องของเขามาสร้างเป็นหนัง หลังจากเขาเสียชีวิตไปเมื่อปี 1992) บวกกับการแสดงอันยอดเยี่ยมของ Rami Malek ที่โค่นตัวเต็งทุกคนในปีนั้นขึ้นรับรางวัลออสการ์นำชายในปีนั้น และหลังจากเรื่องนี้หนังของนักดนตรีก็ทยอยสร้างกันออกมาอีกเยอะในขณะนี้ ทั้งเรื่องของ Michael Jackson, Whitney Houston และ Bee Gees

Bohemian Rhapsody คือเพลงจากอัลบั้ม A Night at the Opera (1975) ซึ่งเป็นเพลงแจ้งเกิดของ Queen อันเนื่องมาจากความแหกขนบในการนำสไตล์เพลง Opera มาใส่สไตล์ร็อกแอนด์โรลและกับความยาว 6 นาทีจนค่ายเพลง EMI ไม่ยอมให้ออก เพราะกลัวว่าคลื่นวิทยุในยุคนั้นจะไม่ยอมเปิดเพลงที่ยาวกว่า 3 นาที เพลงนี้ยังเป็นเพลงเปิดใน 20 นาทีของการแสดง Concert ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วของวง Queen นั่นคือ Concert ระดมทุนช่วยเหลือคนยากไร้ในทวีปแอฟริกา Live Aid 1985 ซึ่งเป็นฉาก Climax ของเรื่องที่ตราตรึงคนดูไว้ได้อย่างตื่นตัน หนังวางศูนย์กลางของการเล่าไว้ที่ชีวิตของ Freddie Mercury หรือชื่อเดิมคือ Farrokh จากครอบครัวชนชาติ Zanzibar (ปัจจุบันคือส่วนหนึ่งของประเทศ Tanzania) ที่มาอยู่ที่ประเทศอังกฤษ และผู้คนแวดล้อมเขาในช่วงชีวิตต่างๆ ซึ่งจุดพีคก็คือความสัมพันธ์ของเขากับภรรยาคนแรกที่เป็นผู้หญิงก่อนจะค่อย ๆ ยอมรับตัวเองและเปิดเผยว่าเขาเป็นรักร่วมเพศ (อ่านรีวิวเรื่องนี้ของ WTF)

หนังที่มีเบื้องหลังการสร้างเป็นหนังเจ้าปัญหาอีกเรื่องของวงการเรื่องนี้ กลายเป็นบทพิสูจน์ว่า ถึงแม้จะมีปัญหาก็ยังสร้างออกมาได้ดี เมื่อ Bryan Singer ผู้กำกับมีกระแสข่าวว่าเขากระทบกระทั่งกับ Rami อย่างรุนแรงในกองถ่าย บวกกับช่วงกระแสข่าว #MeToo ที่มีนักแสดงชายคนหนึ่งออกมาเปิดเผยว่า เคยถูก Bryan ล่วงละเมิดทางเพศเมื่อตอนเป็นเด็ก จน Singer ทิ้งกองถ่ายบินกลับสหรัฐอเมริกากันดื้อ ๆ เป็นเหตุให้ Fox ค่ายหนังประกาศปลดเขาอย่างเป็นทางการ เป็นกรณีแรกๆ ของฮอลลีวูด เพราะปกติค่ายหนังมักจะปิดข่าวทำนองนี้แม้จะเกิดปัญหาขึ้นจริง

  • นักแสดง: Rami Malek, Aidan Gillen, Mike Myers, Ben Hardy, Lucy Boynton, Tom Hollander
  • ผู้กำกับ: Bryan Singer (X-Men: Days of Future Past, X-Men, Superman Returns, Valkyrie)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 52 / 903 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 60% / 8/10
  • บทบาทบนเวทีออสการ์:
    • ชนะ 4 สาขา (นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Rami Malek), ลำดับภาพยอดเยี่ยม, ผสมเสียงยอดเยี่ยม, ตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม)
    • เข้าชิง 1 สาขา (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม)

ชวนอ่านบทความที่เกี่ยวกับหนัง Bohemian Rhapsody

อันดับ 14 Hidden Figures (2016)

สร้างจากเรื่องจริง เมื่อหญิงสาวผิวดำผู้ด้อยชั้นกว่าทั้งเพศและเผ่าพันธุ์เจิดจรัสท่ามกลางทศวรรษ 1960s ที่การเหยียดสีผิวรุนแรงที่สุด ตัวละครหลักทั้ง 3 คนเป็นนักคณิตกรผู้คำนวณสูตรให้จรวดอวกาศของสหรัฐอเมริกาเดินทางรอบโลกได้ทัดเทียมกับของสหภาพโซเวียต ในห้วงเวลาแห่งการบุกเบิกอาณาจักรอวกาศของมนุษยชาติ พวกเธอต้องใช้วิริยะอุตสาหะหลายเท่าตัวมากกว่าชายผิวขาว เพื่อจะพิสูจน์ความสามารถให้องค์การนาซ่ายอมรับในฝีมือ (อ่านรีวิวเรื่องนี้ของ WTF)

หนังกลายเป็นความสำเร็จทางรายได้และเวทีรางวัล เพราะหนังก็สะท้อนให้เห็นถึงการเหยียดคนผิวดำที่พ่วงความเป็นสตรีเพศเข้าไปอีกได้อย่างสมจริง อย่างเช่น ฉากที่พวกเธอต้องวิ่งออกไปเข้าห้องน้ำของคนผิวดำที่ตั้งอยู่นอกตัวอาคารขององค์การนาซ่า เพราะในยุคนั้นคนผิวขาวยังไม่ยอมรวมใช้ห้องน้ำเดียวกันกับคนผิวดำ Hidden Figures ดัดแปลงมาจากนิยายที่อ้างอิงจากเรื่องจริงในชื่อเดียวกัน เขียนโดย Margot Lee Shetterly เป็นนิยายที่เพิ่งตีพิมพ์เมื่อปี 2016 และขึ้นอันดับ 1 ของนิวยอร์กไทม์เบสต์เซลเลอร์ และตัวมาร์โกต์ เองก็มาเป็นผู้อำนวยการสร้างร่วมของเรื่องนี้ โดยเธอไปทราบเรื่องราวของ 3 สาวแห่งนาซ่านี้จากพ่อเธอที่เคยทำงานอยู่นาซ่า แล้วก็รู้สึกทึ่งว่าทำไมเรื่องราวดีงามของทั้ง 3 คนนี้จึงไม่เคยถูกพูดถึงเลย

  • นักแสดง: Taraji P. Henson, Octavia Spencer, Janelle Monáe, Kevin Costner, Mahershala Ali, Kirsten Dunst
  • ผู้กำกับ: Theodore Melfi (St. Vincent)
  • ทุนสร้าง/รายร้บรวมทั่วโลก: 25 / 235 ล้านเหรีญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 92% / 7.8/10
  • รางวัลบนเวทีออสการ์: เข้าชิง 3 สาขา (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (Octavia Spencer), บทภาพยตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม)

ชวนอ่านบทความที่เกี่ยวกับหนัง Hidden Figures

รวมหนังตีแผ่การเหยียดสีผิว #BlackLivesMatter ที่ดูแล้วจะเข้าใจและเสียน้ำตาให้ “คนผิวดำ”

อันดับ 13 Mad Max: Fury Road (2015)

ในทีแรกที่มีการประกาศสร้าง Mad Max: Fury Road ที่นับว่าเป็นภาคต่อภาคที่ 4 (ผู้กำกับบอกชัดว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่การรีบูตหรือรีเมกใด ๆ) คอหนังที่เกิดไม่ทันภาคแรกถึงภาค 3 ช่วงปี 1979-1985 ก็คงคิดว่า นี่คือหนังแอ็กชันในบรรยากาศหลังวันโลกแตกเรื่องหนึ่ง ส่วนใครที่เกิดทันก็อาจตั้งคำถามว่า Tom Hardy จะมารับบท Max ต่อจาก Mel Gibson ได้ดีแค่ไหน แต่ระดับ George Miller ที่ทำหนังน้อย แต่เมื่อทำเรื่องไหนก็จัดเต็มจัดใหญ่ ท้ายที่สุดด้วยความเยี่ยมของหนังจึงพาหนังซัมเมอร์ที่ออกฉายเพื่อความบันเทิงเข้าชิงออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยม รวมถึงกวาดรางวัลด้านเทคนิคกลับไปเกือบหมด

หนังเล่าเรื่องของ Furiosa ที่ต้องคอยปกป้องกลุ่มผู้หญิงที่ถูกจับเอาไปเป็นเจ้าสาวทาสของ Immortan Joe ตัวร้ายของเรื่อง (นักแสดงผู้รับบทนี้อย่าง Hugh Keays-Byrne เพิ่งจะเสียชีวิตไปเร็ว ๆ นี้) โดยพวกเธอจะต้องฝ่าทะเลทรายแสนโหด ดิบ เถื่อน เพื่อไปยังบ้านเกิดของเธอ แต่มันไม่ง่ายเลยที่ต้องผจญกับกองทัพคนเถื่อนที่ยึดครองทะเลทรายแห่งนั้นอยู่ และ Joe ก็ยังนำกองทัพรถแสนน่ากลัวออกมาไล่ล่าเพื่อทวงสิ่งที่ขโมยไปจากมัน Mad Max เกิดมาติดอยู่ระหว่างเรื่องราวนี้และกลายเป็นฮีโรจำเป็นที่จะต้องช่วย Furiosa และสาว ๆ กลุ่มนี้ให้รอดชีวิต

หนังเรื่องนี้ก็มีปมปัญหาดราม่าอยู่เหมือนกัน เมื่อบริษัทสร้างหนังของ Miller ฟ้อง Warner Brothers บริษัทผู้สร้างต่อศาลสูงของประเทศออสเตรเลียเรื่องเงินโบนัส 7 ล้านเหรียญที่ Warner ไม่ยอมจ่ายให้ ตามข้อตกลงในสัญญาที่ระบุว่า หากมีการคำนวณค่าใช้จ่ายสุทธิในการสร้างหนังออกมาแล้วไม่เกิน 157 ล้านเหรียญฯ แล้ว บริษัทของ Miller จะได้เงินโบนัสนี้ แต่ Warner ให้เหตุผลว่าหนังใช้งบเกินไปเยอะ ขณะที่ทาง Miller โต้กลับว่า การที่หนังใช้งบเกินมาจากการตัดสินใจของ Warner เองที่ทำให้ทำให้งบบานปลายและต้องเพิ่มค่าใช้จ่าย แต่จนถึงปัจจุบันได้มีการไกล่เกลี่ยไปแล้ว และทั้งคู่ก็เดินทาง หน้าสร้างหนังภาคแยกเรื่องราวของ Furiosa ในวัยสาวโดยได้ Anya Taylor-Johnson มารับบทเรียบร้อย

Mad Max: Fury Road (2015)
Mad Max: Fury Road (2015)
  • นักแสดง: Tom Hardy, Charlize Theron, Nicholas Hoult, Hugh Keays-Byrne, Zoë Kravitz, Rosie Huntington-Whiteley
  • ผู้กำกับ: George Miller (Mad Max 1-3, Babe: Pig in the City, Happy Feet 1-2)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 150 / 375 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 97% / 8.1/10
  • บทบาทบนเวทีออสการ์:
    • ชนะ 6 สาขา (องค์ประกอบศิลป์ยอดเยี่ยม, ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม, แต่งหน้าทำผมยอดเยี่ยม, ลำดับภาพยอดเยี่ยม, ผสมเสียงยอดเยี่ยม, ตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม)
    • เข้าชิง 4 สาขา (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม, ถ่ายภาพยอดเยี่ยม, วิชวลเอฟเฟกต์ยอดเยี่ยม)

ชวนอ่านบทความที่เกี่ยวกับหนัง Mad Max: Fury Road

อันดับ 12 The Social Network (2010)

ปี 2011 เป็นปีที่โหดหินของหนังที่เข้าชิงออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (มีทั้ง The King’s Speech และ Inception ที่ิติดอยู่ในลิสต์นี้ด้วย รวมถึง Black Swan และ True Grit) แต่หนังที่ถูกวางให้เป็นตัวเก็งมาแต่แรกก่อนจะชวดไปก็คือผลงานของสุดยอดผู้กำกับ David Fincher ที่จะเล่าถึงชีวิตของผู้ก่อตั้ง Mark Zuckerberg นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยที่สุดคนหนึ่งของโลก ในช่วงที่เขาได้ค้นพบการสร้างแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียสุดฮิตอย่าง Facebook ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และผ่านความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ทั้งกับเพื่อนร่วมคิดค้น หุ้นส่วน กับคนรัก แต่สุดท้ายเขาก็ประสบความสำเร็จ (อย่างโดดเดี่ยว)

แม้ว่าวัตถุดิบอ้างอิงจะยึดจากหนังสือชื่อ “The Accidental Billionaire” ซึ่งเขียนขึ้นจากปากคำของ Eduardo Saverin (บทของ Andrew Garfield ที่เป็นศัตรูคนเคยรักของ Mark Zuckerberg) แต่เดิมทีนั้นทางทีมงานก็เคยพยายามติดต่อขอข้อมูลอ้างอิงจาก Facebook แต่พอเจอเงื่อนไขกลับมาว่า ห้ามให้เรื่องราวเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และห้ามเอ่ยคำว่า Facebook ในหนังด้วย ทำให้ทีมสร้างขอล้มเลิกการเจรจาทันที

และแม้ว่า Mark Zuckerberg จะไม่เอื้อเฟื้อข้อมูลใด ๆ กับทีมสร้างเลย แต่เขาก็ตัดสินใจขนพนักงานทุกคนในบริษัทไปชมหนังเรื่องนี้ด้วยกัน และปฏิกิริยาของเขาก็คือไม่ชอบหนังซึ่งบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเขาไม่ตรงกับความเป็นจริง เช่น การถูกสาวทิ้งตอนต้นเรื่อง รวมถึงการสร้างเฟซบุ๊กเพียงเพราะอยากได้เข้ากลุ่มคนดังและชนะใจหญิง แต่สิ่งเดียวที่ถูกใจ Zuckerberg ก็คือเสื้อผ้าที่ Jesse Eisenberg ใส่ ทุกชิ้นที่เห็นในหนังล้วนเป็นเสื้อผ้าที่เขาเคยมีทั้งนั้น

  • นักแสดง: Jesse Eisenberg, Rooney Mara, Andrew Garfield, Armie Hammer, Justin Timberlake, Dakota Johnson
  • ผู้กำกับ: David Fincher (Mank, Gone Girl, Se7en, Fight Club)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 40 / 224 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 96% / 7.7/10
  • บทบาทบนเวทีออสการ์:
    • ชนะ 3 สาขา (บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม,ลำดับภาพยอดเยี่ยม, เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม)
    • เข้าชิง 5 สาขา (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Jesse Eisenberg), ผู้กำกับยอดเยี่ยม, ถ่ายภาพยอดเยี่ยม, ผสมเสียงยอดเยี่ยม)

อันดับ 11 Birdman or (The Unexpected Virtue of Ignorance) (2014)

ปี 2014 เป็นอีกปีที่หนังเข้าชิงออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมนั้น จัดได้ว่ามีความหลากหลายด้านการนำเสนอและเทคนิคแพรวพราว อย่างเรื่องนี้ที่คว้ารางวัลไปได้ในที่สุด หรือ Boyhood ที่เป็นตัวเก็งขับเคี่ยวกันมาตลอด (เรื่องนี้ใช้เวลาถ่ายทำจริงตามอายุของนักแสดงคือ 11 ปี!), The Grand Budapest Hotel, Whiplash, The Theory of Everything, The Imitation Game ซึ่งแต่ละเรื่องคือความยอดเยี่ยมในสไตล์ของตัวเองทั้งสิ้น แต่ที่ Birdman กวาดรางวัลใหญ่ ๆ ไปได้หมดก็เพราะการโชว์เทคนิคถ่าย Long-take (แบบปลอม ๆ) ตลอดทั้งเรื่องจนหนังแทบจะเป็นการแสดงละครเวทีที่เรียกร้องการแสดง “สด” ชนิดห้ามผิดจากนักแสดงทุกคน

Riggan เป็นดาราระดับโลกที่เคยประสบความสำเร็จกับบทซูเปอร์ฮีโร Birdman แต่ตอนนี้ตกอับและได้โอกาสอีกครั้งที่จะกอบกู้อาชีพกับครอบครัวด้วยการรับบทนำในละครเวทีบรอดเวย์เรื่องหนึ่ง แต่ในคืนที่จะแสดงรอบปฐมทัศน์นั้น ตัวละครมนุษย์นกเจ้ากรรมนายเวรของเขาก็ปรากฏตัวขึ้น เพื่อเตือนให้นึกถึงวันที่เคยรุ่งโรจน์ เขาต้องพยายามคุมสติและต่อสู้กับจิตใจเพื่อให้การแสดงรอบเปิดปฐมทัศน์ของละครเวทีเล็กๆ เรื่องนี้ผ่านไปให้ได้

หนังยังเป็นการคัมแบ็กวงการแสดงอย่างยิ่งใหญ่ของ Michael Keaton กับบท Riggan ที่แซะชีวิตจริงของตัวเองซึ่งเคยรับบทฮีโร Batman ในอดีตและดังอยู่เรื่องเดียวก่อนจะแป้กมาตลอดหลังจากนั้น ซึ่งหนังทำให้คนดูเอาใจช่วยทั้ง Riggan และ Keaton ที่พักหลังได้หนังดี ๆ เล่นขึ้นอีกเยอะหลังจากเรื่องนี้ ทั้งหนังออสการ์ Spotlight (2015), The Founder (2016) หนังชีวประวัติผู้ก่อตั้ง McDonalds, Spider-Man: Homecoming (2017) ในบทวายร้ายมนุษย์นก Vulture (ก็ยังไม่พ้นบทมนุษย์ที่มีปีกอยู่นั่นเอง)

  • นักแสดง: Michael Keaton, Edward Norton, Emma Stone, Naomi Watts, Bill Camp, Zach Galifianakis, Andrea Riseborough
  • ผู้กำกับ: Alejandro G. Iñárritu (The Revenant, Babel, Biutiful)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 18 / 103 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 91% / 7.7/10
  • บทบาทบนเวทีออสการ์:
    • ชนะ 4 สาขา (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม, ถ่ายภาพยอดเยี่ยม)
    • เข้าชิง 4 สาขา (นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Michael Keaton), นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Edward Norton), นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (Emma Stone), ผสมเสียงยอดเยี่ยม, ตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม)

(อ่านต่อหน้าถัดไป)

อันดับ 10 Bridesmaids (2011)

หนังตลกเพียว ๆ เรื่องเดียวใน 20 เรื่องนี้ที่ถูกจัดอันดับ แต่ Bridemaids ก็เป็นความสำเร็จระดับปรากฏการณ์จริง ๆ ตอนที่เข้าฉาย เพราะหนังได้แจ้งเกิดนักแสดงตลกที่มีหนังฮิตอีกหลายเรื่องตามมาอย่าง Melissa McCarthy, Kristen Wiig (เจ้าของเครดิตเขียนบทเรื่องนี้ที่ได้เข้าชิงออสการ์ด้วย) , Rebel Wilson และยังทำให้ Rose Byrne กลับมาดังอีกครั้งด้วย รวมถึงหนังก็ได้แจ้งเกิดให้ผู้กำกับหนังตลก Paul Feig กลายเป็นผู้กำกับแถวหน้า มีโอกาสได้สร้างหนังดัง ๆ อีกหลายเรื่อง ทั้ง The Heat (2013), Spy (2015) และ Ghostbusters (2016) ฉบับรีเมก

หนังเล่าเรื่องราวป่วน ๆ ของแก๊งเพื่อนเจ้าสาว เมื่อ Lillian กำลังจะแต่งงาน เธอชวนเพื่อนสนิท อย่าง Annie และ Helen ร่วมด้วยเพื่อนสาวคนอื่น ๆ อีก 3 คนมาเป็นเพื่อนเจ้าสาว แต่ต้องเกิดศึกเบา ๆ ระหว่าง Annie และ Helen ทั้งคู่พยายามชิงตำแหน่งความเป็นเพื่อนซี้สุดของ Lillian ความวายป่วงจึงเกิดขึ้นหลังจากนั้น Bridemaids เน้นเรื่องราวของ Annie สาวโสดที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ทั้งเรื่องความรัก เรื่องงาน การเงิน ขณะที่ Helen นั้นเพียบพร้อมอย่างกับเจ้าหญิง Helen เข้ามาทำให้ Annie รู้สึกว่ากำลังถูกแย่งเพื่อนไป หนังจึงสร้างสถานการณ์สุดตลกขึ้นมาจากความพยายามที่พังพินาศของ Annie ในการแย่งเพื่อนสนิทกลับมาให้ได้ ซ้อนทับไว้ด้วยเส้นเรื่องชีวิตของเธอที่เปี่ยมแรงบันดาลใจ

  • นักแสดง: Kristen Wiig, Rose Byrne, Melissa McCarthy, Maya Rudolph, Rebel Wilson, Jon Hamm
  • ผู้กำกับ: Paul Feig (The Heat, Spy, Ghostbusters)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 32 / 288 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 90% / 6.8/10
  • บทบาทบนเวทีออสการ์: เข้าชิง 2 สาขา (นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (Melissa McCarthy), บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม)

อันดับ 9 Argo (2012)

หลังจากสร้างชื่อให้ตัวเองด้านการกำกับภาพยนตร์จาก Gone Baby Gone (2006) และ The Town (2010) นักแสดงที่ผันตัวมารับงานกำกับด้วยอย่าง Ben Affleck ก็มีผลงานหนังที่ยอดเยี่ยมที่สุดออกมาอย่าง Argo (2012) ที่ท้ายที่สุดแล้ว หนังสามารถคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์มาได้ (แต่ Ben Affleck กลับไม่ได้แม้แต่เข้าชิงรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม ซึ่งเขาก็ขึ้นไปแซะกรรมการนิดหน่อยตอนที่ขึ้นไปรับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในฐานะของหนึ่งในผู้อำนวยการสร้าง)

หนังเรื่องนี้ได้คำโปรยว่า “เป็นเรื่องจริงที่ว่าด้วยการสร้างหนังปลอม” สร้างจากเหตุการณ์จริงในปี 1979 ที่เกิดสถานการณ์จับตัวประกันชาวอเมริกันขึ้นในประเทศอิหร่าน มีการบุกสถานทูต และชาวอเมริกัน 52 คนถูกจับเป็นตัวประกัน โดยมี 6 คนที่หนีรอดไปหลบในสถานทูตแคนาดาได้ Ben Affleck รับบทเป็นเจ้าหน้าที่ซีไอเอที่ต้องเข้าไปช่วยเหลือพาพวกเขาหนีออกจากอิหร่าน ด้วยการปลอมตัวเป็นทีมสร้างหนังไซไฟปลอม ๆ เกรดบีของแคนาดาชื่อเรื่องว่า Argo เบื้องหลังภารกิจนี้ถูกเก็บงำมาหลายสิบปีจนกระทั่งกลายเป็นบทความในนิตยสาร Wired ซึ่งโดนใจ Affleck มากจนเอามาสร้างเป็นหนังในที่สุด

  • นักแสดง: Ben Affleck, John Goodman, Alan Arkin, Bryan Cranston, Kyle Chandle, Chris Messina, Clea DuVall
  • ผู้กำกับ: Ben Affleck (Gone Baby Gone, The Town, Live by Night)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 44 / 232 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 96% / 7.7/10
  • บทบาทบนเวทีออสการ์:
    • ชนะ 3 สาขา (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ลำดับภาพยอดเยี่ยม)
    • เข้าชิง 4 สาขา (นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Alan Arkin), เพลงประกอบยอดเยี่ยม, ผสมเสียงยอดเยี่ยม, ตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม)

ชวนอ่านบทความที่เกี่ยวกับหนัง Argo

อ้าวเห้ย…ไม่เหมือนที่ดูกันไปนี่หว่า? เมื่อหนังประวัติศาสตร์เหล่านี้ ไม่ได้สร้างจากเรื่องจริง!

อันดับ 8 Harry Potter and the Deathly Hallows Part I (2010)

หนังแฟนตาซีในจักรวาลพ่อมดที่สร้างจากวรรณกรรมที่โด่งดังที่สุดของยุคต้น 2000s อยู่คู่กับผู้อ่านและคอหนังวัยรุ่นที่เติบโตมาด้วยกันกับหนังสือและหนังภาคแรกเมื่อปี 2001 จนกระทั่งภาคสุดท้ายในปี 2011 (และ Warner Brothers กับ J.K. Rowling ก็ยังหากินกันต่อมาจนถึง Fantastic Beasts ในปัจจุบันที่บอกว่าจะมีทั้งหมด 5 ภาคด้วยกัน) แต่สำหรับภาคที่หลายคนชื่นชมกันมากที่สุด ก็คือภาคที่เรียกกันเล่น ๆ ว่า 7.1 นี้เอง เพราะหนังได้ฉีกออกจากขนบความเป็นหนังแฟนตาซีกลายเป็นหนัง Road Trip หนังเล่าเรื่องราวของเหล่าตัวเอกของเรื่อง ทั้ง Harry, Ron และ Hermione ที่ต้องออกไปตามหาฮอร์ครักซ์ให้ครบ 7 ชิ้นเพื่อทำลายวิญญาณของตัวร้าย Lord Voldemort ที่กระจายวิญญาณฝากไปไว้ในฮอร์ครักซ์ชิ้นต่าง ๆ

และทุกครั้งที่พวกเขาทำลายสิ่งของเหล่านั้นได้ จิตใจของพวกเขาก็จะถูกกระทบกระเทือนทำให้อารมณ์แปรปรวนจนเป็นเหตุให้ทั้ง 3 เพื่อนรักต้องผิดใจกัน ข้อดีของหนังภาคนี้คือการปล่อยให้คนดูได้ใช้เวลาไปสำรวจความสัมพันธ์ของพวกเขาอย่างละเอียด รวมถึงการเริ่มสัมผัสความสูญเสียตัวละครสำคัญที่คนดูรักและผูกพันมาตั้งแต่ภาคแรก ก่อนที่ตอนจบจะส่งต่อให้ภาคปิดท้ายที่เป็นบทสรุปอันเต็มไปด้วยการต่อสู้ระหว่างฝั่งธรรมะกับอธรรมในฉากสุดยิ่งใหญ่ (เหมือนทุกภาคที่แล้วมา)

  • นักแสดง: Daniel Radcliffe, Emma Watson, Gary Oldman, Ralph Fiennes, Alan Rickman, Helena Bonham Carter, John Hurt, Michael Gambon, Domhnall Gleeson, Helena Bonham Carter
  • ผู้กำกับ: David Yates (Harry Potter 5-7, Fantastic Beasts 1-2, The Legend of Tarzan)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 200 / 976 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 77% / 7.7/10
  • รางวัลบนเวทีออสการ์: เข้าชิง 2 สาขา (วิชวลเอฟเฟกต์ยอดเยี่ยม, องค์ประกอบศิลป์ยอดเยี่ยม)

อันดับ 7 A Star is Born (2018)

ความยอดเยี่ยมของภาพยนตร์สุดดราม่าของคู่รักนักดนตรีที่ตอนจบของเรื่องกลายเป็นโศกนาฏกรรมแสนสะเทือนใจอีกเรื่องหนึ่ง อยู่ที่การแสดงอันยอดเยี่ยมของพระเอกนางเอกอย่าง Bradley Cooper ที่ทำได้ดีอยู่แล้วในหนังดราม่า กับเรื่องนี้ยิ่งได้โชว์ร้องเพลงเอง (รวมถึงงานเบื้องหลังอย่างการกำกับหนังเป็นครั้งแรกและเขียนบทเองด้วย) ส่วนอีกคนก็คือการแจ้งเกิดในวงการแสดงแบบดังเปรี้ยงของ Lady Gaga ที่สำหรับวงการเพลงนั้นเธอเป็นตัวแม่มาเป็นสิบปีแล้ว

เรื่องราวของ A Star is Born นั้นเป็นหนังอมตะอีกเรื่องหนึ่งที่ฮอลลีวูดรักมาก จนรีเมกครั้งนี้นับเป็นครั้ง 4 แล้ว (1937 , 1954 และ 1976) โดยเฉพาะฉบับปี 1976 ที่ผู้คนยังจำการแสดงของ Barbra Streisand ในบทเดียวกับ Lady Gaga ได้ และเพลง “Evergreen” ก็ฮิตมากและคว้ารางวัลออสการ์เพลงประกอบภาพยนตร์ไปด้วย ส่วนฉบับปี 2018 นั้นเพลง “Shallow” ก็กลับมาคว้ารางวัลเดียวกัน ความน่าสะเทือนใจของหนัง ตอนที่เข้าฉายในนิวซีแลนด์ ต้องมีการขึ้นคำเตือนว่าในหนังมีฉากจบที่สะเทือนอารมณ์ที่อาจทำให้เกิดการเลียนแบบก่อนหนังจะเริ่มต้นขึ้น แม้ว่าคำเตือนดังกล่าวจะเป็นการเปิดเผยฉากจบสำคัญของหนังก็ตาม

หนังเล่าเรื่องราวของ Jack ศิลปินเพลงคันทรีชื่อดังที่ชีวิตกำลังร่วงเพราะการติดเหล้า ขณะที่เขากำลังจะทิ้งวงการไปนั้น เขาก็ได้ค้นพบ Ally นักแต่งเพลงผู้ที่มีเสียงใหญ่และไพเราะแต่ไม่กล้าที่จะขึ้นเวทีร้องเพลง Jack จึงพยายามผลักดันเธอและช่วยเธอให้พ้นจากความกลัว แต่เมื่อขณะที่อาชีพด้านการร้องเพลงของAlly กำลังรุ่งพุ่งทะยานอย่างฉุดไม่อยู่ Jack ก็ไม่โด่งดังอีกแล้วแถมทรุดหนักเพราะอาการเจ็บป่วย (อ่านรีวิวเรื่องนี้ของ WTF)

Bradley Cooper และ Lady Gaga ใน A Star is Born (2018)
  • นักแสดง: Bradley Cooper, Lady Gaga, Sam Elliott, Alec Baldwin, Andrew Dice Clay, Dave Chappelle
  • ผู้กำกับ: Bradley Cooper
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 36 / 436 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 90% / 7.6/10
  • รางวัลบนเวทีออสการ์:
    • ชนะ 1 สาขา (เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม)
    • เข้าชิงอีก 7 สาขา (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Bradley Cooper), นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (Lady Gaga), นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Sam Elliott), บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม, ถ่ายภาพยอดเยี่ยม, ผสมเสียงยอดเยี่ยม)

อันดับ 6 La La Land (2016)

หนังที่เฉียดใกล้ออสการ์ที่สุดเรื่องหนึ่ง เพราะเป็นตัวเต็งและเป็นผู้ชนะอยู่ราว ๆ 2-3 วินาทีก่อนจะมีการประกาศแก้ชื่อเป็นหนัง Moonlight แทน ถึงอย่างนั้น La La Land ก็ยังเป็นผลงานมาสเตอร์พีซของผู้กำกับ Damien Chazelle ที่สร้างบรรยากาศให้หวนนึกถึงหนังเพลงในยุค 60s รวมถึงฉากจบที่แสนปวดร้าว แทบจะพลิกอารมณ์ของหนังทั้งเรื่องให้กลายเป็นหนังเรื่องใหม่เลยทีเดียว แต่นั่นก็ทำให้หนังมีตอนจบเป็นที่กล่าวถึงและถูกจัดให้เป็นตอนจบที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในโลกภาพยนตร์

พล็อตเรื่องว่าด้วย “บอยมีตเกิร์ล” ชายหนุ่มหญิงสาวตกหลุมรักกันและฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามต่าง ๆ โดยเฉพาะการไล่ตามความฝันในมหานครแห่งโลกมายาอย่าง L.A. ด้วย หนังเล่าเรื่อง 2 ส่วน หลังจากฉากเต้นสุดหวือหวาบนทางด่วนที่รถติดแน่นขนัด พระเอกกับนางเอกก็ได้พบกันครั้งแรกและประทับใจกันแบบพ่อแง่แม่งอน แล้วหนังก็เริ่มจับไปเล่าชีวิตของ Mia นางเอกที่เป็นเพียงเด็กบ้านนอก มาทำงานบาร์เทนเดอร์ร้านกาแฟ และเฝ้าตามความฝันในการเป็นนักแสดงโด่งดัง เธอผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับการไปออดิชันแคสติ้งงานต่าง ๆ แต่ก็ไม่เคยท้อใจ จนวันคริสต์มาสที่ทุกอย่างดูไม่เป็นใจเอาเสียเลย เธอก็ได้พบกับชายหนุ่มนักเปียโนแนวแจ๊สในคลับแห่งหนึ่ง ที่จะกลายมาเป็นทั้งแรงบันดาลใจและแรงผลักดันคนสำคัญ (อ่านรีวิวเรื่องนี้ของ WTF)

La La Land
La La Land
  • นักแสดง: Ryan Gosling, Emma Stone, J.K. Simmons
  • ผู้กำกับ: Damien Chazelle (Whiplash, First Man)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 30 / 446 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 91% / 8/10
  • รางวัลบนเวทีออสการ์:
    • ชนะ 6 สาขา (นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (Emma Stone), ผู้กำกับยอดเยี่ยม, ถ่ายภาพยอดเยี่ยม, เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ทั้งเพลงและสกอร์) และ องค์ประกอบศิลยอดเยี่ยม)
    • เข้าชิง 8 สาขา (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Ryan Gosling), บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ลำดับภาพยอดเยี่ยม, ผสมเสียงยอดเยี่ยม, ตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม, ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม และเพลงประกอบยอดเยี่ยม (เข้าชิงถึง 2 เพลง คว้ารางวัล 1 เพลง))

ชวนอ่านบทความที่เกี่ยวกับหนัง La La Land

รวมหนังดราม่า “ต้องเสียน้ำตา” สักครั้งในชีวิตบน Netflix (ตอนที่ 2)

(อ่านต่อหน้าถัดไป)

อันดับ 5 Avengers: Endgame (2019)

หนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลสำหรับแฟนหนังซูเปอร์ฮีโรและแฟนหนังมาร์เวล ที่มีทั้งฉากการประจัญบานหลังจาก Captain America พูดคำว่า “Assemble” เปรียบเสมือนจุดสิ้นสุดหรือปลายทางที่รอคอยกันมาตั้งแต่หนังเรื่องแรก Iron Man (2008) ผู้กำกับพี่น้อง Russo ฉลาดในการสร้างซีนการต่อสู้ที่ค่อย ๆ บิลต์อารมณ์ เปิดศึกกับ Thanos ด้วยขวัญใจ Avengers รุ่นแรกที่จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ก่อนที่เพื่อน ๆ มาช่วยอีกคำรบ ซึ่งก็ถือเป็นการกระจายบทบาทของตัวละครที่มีมากกว่า 20 ตัวได้อย่างดี

คอหนังยังได้เห็นฉากรวมฮีโรฝ่ายหญิงแบบเท่ ๆ ฉากกอดที่คิดถึงที่กอดสุดท้ายของ Tony Starks และ Peter Parker ฉากเปิดตัวอันทรงพลังของ Captain Marvel ฉาก Doctor Strange ที่มอบทางเลือกสุดท้ายเพียงหนึ่งเดียวให้กับ Iron Man ก่อนจะปิดท้ายด้วยความเศร้าiระดับน้ำตาแตกตอนท้ายเรื่อง เรียกว่านี่คือัหนังฮีโรที่ครบรสและอิ่มเอมที่ดีที่สุดของโลก (ณ ตอนนี้) ต้องขอบคุณมาร์เวลที่สร้างช่วงเวลา 11 ปีที่ทรงคุณค่า สนองนีดแฟน ๆ ได้ถึงอกถึงใจตลอดมา

ฉากต่อสู้ประจัญบานในตอนสุดท้ายของ Avengers: Endgame
  • นักแสดง: Robert Downey Jr., Chris Evans, Mark Ruffalo, Chris Hemsworth, Scarlett Johansson, Jeremy Renner, Chadwick Boseman, Brie Larson, Tom Holland, Benedict Cumberbatch, Brie Larson, Paul Rudd
  • ผู้กำกับ: Anthony and Joe Russo (Captain America: The Winter Soldier & Civil War, Avengers: Infinity War)
  • ทุนสร้าง/รายร้บรวมทั่วโลก: 356 / 2,797 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 94% / 8.4/10
  • รางวัลบนเวทีออสการ์: เข้าชิง 1 สาขา (วิชวลเอฟเฟกต์ยอดเยี่ยม)

ชวนอ่านบทความที่เกี่ยวกับหนัง Avengers: Endgame

อันดับ 4 Inception (2010)

ที่สุดแห่งหนังไซไฟในทศวรรษนี้มีมาให้ได้ชมกันตั้งแต่ปีแรกของ 10 ปีที่เหลือ ซึ่งก็คงไม่เกินเลยไปจากความจริงที่ว่า นี่คือหนังที่สดใหม่ มาจากแนวคิดดั้งเดิมแท้ ๆ ของผู้กำกับ Christopher Nolan ที่สร้างหนังเรื่องนี้โดยได้เแรงบันดาลใจจาก James Bond รวมเข้ากับแนวคิดจิตวิทยา Inception ประกอบไปด้วยหลากหลายองค์ประกอบของความไซไฟ ไล่ตั้งแต่ การเดินทางเข้าไปในฝันซ้อนฝัน การขโมยความลับจากจิตใต้สำนึกระหว่างที่เหยื่อกำลังหลับ และหว่านจิตใต้สำนึกปลอมเพื่อเปลี่ยนความเป็นจริง หนังยังเต็มไปด้วยลูกล่อลูกชนให้คนเดาว่านี่คือความฝันหรือเรื่องจริง ไปจนถึงฉากสุดท้ายที่กลายเป็นหนึ่งในฉากจบที่ชวนสงสัยที่สุดตลอดกาล

หนังเล่าเรื่องราวของ Copp ที่ก่อตั้งทีมจารกรรมความคิด เขาและทีมงานจะเจาะเข้าไปในจิตใจของเป้าหมายผ่านทางการร่วมแชร์ความฝัน เพื่อดึงเอาข้อมูลลับที่เป้าหมายเก็บงำไว้ในจิตใต้สำนึกออกมา ซึ่งโดยมากแล้วจะเป็นการล้วงความลับทางธุรกิจ เป้าหมายรายล่าสุดของ Copp และทีมงานคือ Saito นักธุรกิจชาวญี่ปุ่น Copp ล้วงข้อมูลของ Saito ผ่านทางความฝันซ้อนฝัน ซึ่งจบลงด้วยความล้มเหลว แต่ Saito กลับยื่นข้อเสนอว่าจ้างทีมของ Copp ทำ Inception กับเป้าหมายของ Saito แทน

Inception คือวิธีการที่แทนที่จะล้วงลึกไปถึงข้อมูลที่เป้าหมายเก็บซ่อนไว้ กลายเป็นการนำเอาข้อมูลที่ต้องการลงไปวางไว้ในจิตใต้สำนึกของเหยื่อแทน แม้จะไม่อยากทำเพราะเป็นงานยาก แต่ Saito ก็ยื่นข้อเสนอตอบแทนเป็นการล้มล้างความผิดที่ Copp เคยโดนข้อหาฆาตกรรมภรรยาตนเองในอดีต และจะได้สิทธิ์กลับเข้าสหรัฐฯ เพื่อเจอหน้าลูกอีกครั้ง Copp จึงตกลงและเริ่มต้นวางแผนการทำงานทันทีกับทีมงานระดับพระกาฬ 

Inception (2010)
Inception (2010)
  • นักแสดง: Leonardo DiCaprio, Tom Hardy, Joseph Gordon-Levitt, Ken Watanabe, Ellen Page
  • ผู้กำกับ: Christopher Nolan (The Dark Knight Trilogy, Memento, The Prestige)
  • ทุนสร้าง/รายได้ทั่วโลก: 160 / 829 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 87% / 8.8/10
  • รางวัลบนเวทีออสการ์:
    • ชนะ 4 สาขา (ถ่ายภาพยอดเยี่ยม, ผสมเสียงยอดเยี่ยม, ตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม, วิชวลเอฟเฟกต์ยอดเยี่ยม)
    • เข้าชิง 4 สาขา (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, เพลงประกอบยอดเยี่ยม, องค์ประกอบศิลป์ยอดเยี่ยม)

ชวนอ่านบทความที่เกี่ยวกับหนัง Inception

อันดับ 3 Black Panther (2018)

อีกหนึ่งภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดสำหรับการเป็นหนังจากจักรวาลมาร์เวลที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 เป็นรองแค่ Avengers: Endgame (2019) และยังเป็นหนังฮีโรแยกเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จทางรายได้สูงสุด รวมถึงเป็นหนังที่มีตัวละครหลักเป็นคนผิวดำที่ทำรายได้มากที่สุดด้วย (มีการวิเคราะห์กันว่า คนผิวดำออกมาสนับสนุนหนังเป็นจำนวนมากเพื่อจะสื่อเชิงสัญลักษณ์ถึงพลังคนของคนแอฟริกัน-อเมริกันในสหรัฐฯ) แต่ข่าวที่น่าเศร้าที่สุดก็มาถึงแฟรนไชส์หนังเรื่องนี้เช่นกัน เมื่อปีนี้นักแสดงนำ Chadwick Boseman ต้องเสียชีวิตลงจากโรคมะเร็งในวัย 43 ปีเท่านั้น

T’Challa ราชาผู้ปกครองวากันดาคนใหม่ที่สืบทอดบัลลังก์หลังบิดาเสียชีวิต เขาต้องเผชิญกับปัญหาจากทั้งการเมืองภายในของวากันดา ที่ชนเผ่าต่าง ๆ ไม่เชื่อมั่นเขาในฐานะกษัตริย์หนุ่มคนใหม่ รวมถึงภัยคุกคามจากเจ้าชายพลัดถิ่น  Erik Killmonger ที่หมายแย่งชิงบัลลังก์ ขณะเดียวกันก็ต้องปกป้องความลับของประเทศวากันดาไม่ให้โลกภายนอกได้รับรู้ Boseman ปรากฏตัวครั้งแรกในบทฝ่าบาท T’Challa แห่งวากานดาในหนัง Captain America: Civil War (2016) ก่อนจะมีหนังภาคแยกของตัวเองปี 2018 ต่อมาร่วมแสดงในหนัง Avengers: Infinity War (2018) และ Endgame (2019) ที่กลายเป็นผลงานหนัง MCU เรื่องสุดท้ายของเขาด้วย

Black Panther 2
  • นักแสดง: Chadwick Boseman, Michael B. Jordan, Lupita Nyong’o, Forest Whitaker, Danai Gurira, Andy Serkis, Martin Freeman, Angela Bassett, Daniel Kaluuya
  • ผู้กำกับ: Ryan Coogler (Creed, Fruitvale Station)
  • ทุนสร้าง/รายร้บรวมทั่วโลก: 200 / 1,347 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 96% / 7.3/10
  • รางวัลบนเวทีออสการ์:
    • ชนะ 3 สาขา (เพลงประกอบยอดเยี่ยม, ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม, องค์ประกอบศิลป์ยอดเยี่ยม)
    • เข้าชิง 4 สาขา (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, เพลงประกอบยอดเยี่ยม (จากการเข้าชิง 2 เพลง), ตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม, ผสมเสียงยอดเยี่ยม)

ชวนอ่านบทความที่เกี่ยวกับหนัง Black Panther

ร่วมไว้อาลัยกับ 9 บทของฝ่าบาท Chadwick Boseman แห่ง Black Panther

อันดับ 2 12 Years a Slave (2013)

https://www.youtube.com/watch?v=aMABq5Dtzi8

สร้างจากเรื่องจริงของ Solomon Northup ชายผิวดำที่เป็นไทอยู่ในเมืองนิวยอร์ก แต่โชคร้ายถูกลักพาตัวไปขายเป็นทาสอยู่ที่ทางใต้ของสหรัฐอเมริกาในช่วงก่อนสงครามกลางเมือง Northup ต้องกลายเป็นทาสอยู่ถึง 12 ปี ได้รับใช้นายทาสหลายคนที่มีทั้งใจดีและโหดร้าย และต้องปกปิดฐานะแท้จริงของตัวเองเพราะกลัวจะถูกฆ่าจนในที่สุดก็ได้รับการช่วยเหลือ หลังจากหาทางส่งจดหมายไปหาภรรยาที่เมืองนิวยอร์กให้มายืนยันตัวเขาได้สำเร็จ

หนังสร้างโดย Plan B Entertainment ของ Brad Pitt ที่เรื่องนี้เขาก็มานำแสดงในบทรับเชิญของเรื่องด้วย สร้างมาจากบันทึกความทรงจำที่เขียนขึ้นมาของ Northup ที่เขาเขียนขึ้นเมื่อปี 1853 และเรื่องราวนี้ก็เคยถูกนำมาสร้างแล้วครั้งหนึ่งในรูปแบบภาพยนตร์ทางโทรทัศน์เรื่อง American Playhouse: Solomon Northup’s Odyssey (1984) หนังได้รับคำชมในแง่ของการนำเสนอเรื่องราวที่น่าหดหู่และแสนสะเทือนใจ ทำให้เห็นภาพอย่างชัดเจนว่าบรรดาทาสผิวดำต้องเจอกับนรกยังไงบ้าง แต่ในด้านอื่น ๆ ของหนังนั้นก็อาจไม่ได้ยอดเยี่ยมเกินกว่าภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ ในทศวรรษนี้ อาจจะเพียงแค่หนังมาถูกที่ถูกเวลาที่หนังคนผิวดำในรับความนิยมเท่านั้นเอง

  • นักแสดง: Chiwetel Ejiofor, Brad Pitt, Michael Fassbender, Benedict Cumberbatch, Lupita Nyong’o, Paul Dano, Sarah Paulson
  • ผู้กำกับ: Steve McQueen (Widows, Shame, Hunger)
  • ทุนสร้าง/รายร้บรวมทั่วโลก: 20 / 187 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 95% / 8.1/10
  • รางวัลบนเวทีออสการ์:
    • ชนะ 3 สาขา (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (Lupita Nyong’o) และบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม)
    • เข้าชิง 6 สาขา (ผู้กำกับยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Chiwetel Ejiofor) และนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Michael Fassbender), ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม, ลำดับภาพยอดเยี่ยม, องค์ประกอบศิลป์ยอดเยี่ยม)

ชวนอ่านบทความที่เกี่ยวกับหนัง 12 Years a Slave

รวมหนังตีแผ่การเหยียดสีผิว #BlackLivesMatter ที่ดูแล้วจะเข้าใจและเสียน้ำตาให้ “คนผิวดำ”

อันดับ 1 Get Out (2017)

นี่คือหนังที่ได้คะแนนโหวตในเว็บมะเขือเน่าสูงถึง 99% ชนะรางวัลออสการ์บทดั้งเดิมยอดเยี่ยม และเข้าชิงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Daniel Kaluuya) และผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ทั้งที่ Peele เพิ่งกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก เขาดูจะไปได้ดีกับงานหนังสยองขวัญ เพราะก็เปรี้ยงกับ Us (2019) อีกเรื่อง Get Out ได้รับคำชื่นชมในแง่ของการทำหนังสยองหักมุมให้มีกลิ่นอายหนังของผู้กำกับอย่าง Alfred Hitchcock ในยุค 60s ที่ผู้ชมสมัยใหม่ไม่ได้เห็นมานานแล้ว

หนังเล่าเรื่องของ Chris Washington และ Rose Armitage คู่รักต่างสีผิวที่กำลังรักกันดูดดื่ม แล้ว Rose ก็ต้องการพา Chris ไปรู้จักกับพ่อแม่ในวันสุดสัปดาห์ เขารู้สึกประหม่าเพราะแฟนไม่ได้บอกว่า เขาเป็นคนแอฟริกัน-อเมริกัน แต่สุดท้าย Chris ก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพ่อแม่ และ Jeremy น้องชาย แต่ Chris เริ่มรู้สึกแปลก ๆ กับ Georgina และ Walter คนรับใช้ที่มองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ และมีพฤติกรรมที่น่าสงสัย ยิ่งพอเข้าวันที่ 2 ที่เป็นเทศกาลรวมญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของครอบครัว Armitage Chris ก็ได้พบกับ Andre คนผิวดำคนแรกในหมู่บ้านนี้ แต่แล้วเขาก็ได้พบกับเรื่องราวชวนช็อค จน Chris รู้สึกว่าเขาอยู่ที่บ้านหลังนี้ต่อไม่ได้แล้ว แต่เขาจะหาทางหนีออกไปได้หรือไม่ (อ่านรีวิวเรื่องนี้ของ WTF)

  • นักแสดง: Daniel Kaluuya, Allison Williams, Catherine Keener, Bradley Whitford, Caleb Landry Jones
  • ผู้กำกับ: Jordan Peele (Us)
  • ทุนสร้าง/รายร้บรวมทั่วโลก: 4 / 255 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score / iMDB Rating: 98% / 7.7/10
  • รางวัลบนเวทีออสการ์:
    • ชนะ 1 สาขา (บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม)
    • เข้าชิง 3 สาขา (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Daniel Kaluuya), ผู้กำกับยอดเยี่ยม

ชวนอ่านบทความที่เกี่ยวกับหนัง Get Out

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส