[รีวิว] The Midnight Sky: ไกลสุดหมู่ดารา หาไม่เจอสิ่งสำคัญใกล้ตัว ดราม่าครอบครัว นิ่ง ๆ อิงไซไฟบางเบา

Release Date

23/12/2020

ความยาว

118 นาที

[รีวิว] The Midnight Sky: ไกลสุดหมู่ดารา หาไม่เจอสิ่งสำคัญใกล้ตัว ดราม่าครอบครัว นิ่ง ๆ อิงไซไฟบางเบา
Our score
7.0

The Midnight Sky

จุดเด่น

  1. ดราม่าเน้นบรรยากาศและอารมณ์ค่อย ๆ ซึมลึก มีเอาแอ็กชันมาปลุกบ้าง แต่ใด ๆ ความดีงามคือการแสดงผ่านสายตาจากนักแสดงฝีมือดีหลายคน และความน่านักของหนูน้อยสปริงกัลที่ขโมบหัวใจแบบไม่ต้องพูดอะไรก็ยังได้

จุดสังเกต

  1. ความเป็นไซไฟบางเบามากเกินไป หนังเดาบางจุดง่ายเกินไปหน่อย ซีจีมีลอยบางฉากแต่เล็กน้อย และที่สำคัญใครหวังดูอะไรตื่นเต้นเร้าใจ ไม่น่าเหมาะ เพราะเรื่องนี้นิ่งซึมลึกพอควร
  • บท

    7.5

  • โพรดักชัน

    8.0

  • การแสดง

    8.5

  • ความสนุกตามแนวหนัง

    5.0

  • ความคุ้มค่าการรับชม

    6.5

เรื่องย่อ เรื่องราวหลังวันสิ้นโลกนี้ติดตามชีวิตของ ออกัสติน (จอร์จ คลูนีย์) นักวิทยาศาสตร์ที่โดดเดี่ยวในแถบอาร์กติก ซึ่งเร่งหยุดยั้ง ซัลลี่ (เฟลิซิตี้ โจนส์) และทีมนักบินอวกาศไม่ให้กลับมาเจอหายนะปริศนาบนโลก

หนังได้ชื่อว่าเต็งชิงออสการ์สาขาใดสาขาหนึ่ง โดยตัวความหวังมากสุดก็คงเป็นในสาขารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมของ จอร์จ คลูนีย์ เอง ที่เรื่องนี้เหมาทั้งแสดงนำและกำกับ โดยหนังดัดแปลงมาจากนิยายปี 2016 ชื่อ Good Morning, Midnight ของ ลิลี บรูกส์ ดัลตัน เจ้าของรางวัล The Oregon Book Award ในปี 2015 ด้วยฝีมือของมือเขียนบท มาร์ก แอล. สมิธ ที่เคยฝากฝีไม้ลายมือกับการร่วมเขียนบทหนังรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอย่าง The Revenant (2015) มาแล้ว

สำหรับ The Midnight Sky นั้น มีบรรยากาศที่คล้ายคลึงทั้ง The Revenant ในแง่ของชายผู้สู้เพื่อครอบครัว โดยต้องเดินทางฝ่าพายุหิมะและความเหน็บหนาว และหนัง The Descendants (2011) ที่คลูนีย์แสดงนำในแง่คนที่พยายามสานสัมพันธ์กับครอบครัว และยังมีกลิ่นเบา ๆ ของชายผู้เคว้งคว้างไร้หลักยึดจนเกือบสูญเสียสิ่งสำคัญใกล้ตัวใน Up in the Air (2009) อีกผลงานการแสดงหนึ่งของเขาเช่นกัน

The Midnight Sky

ดังนี้น่าจะพอเห็นภาพว่า แม้หนังจะสวมผิวหนังของความเป็นหนังไซไฟอวกาศ ว่าด้วยการแสวงหาถิ่นฐานใหม่บนดาวเคราะห์อันห่างไกล แต่โดยเนื้อแท้มันคือหนังดราม่าที่แต่ละตัวละครยึดโยงกับสาระอันเป็นหัวใจเดียวกัน คือการโหยหาความผูกพัน การกลับคืนสู่บ้านในความหมายถึงครอบครัว ในแง่ใดแง่หนึ่ง มันจึงมีหัวใจของเรื่องแบบเดียวกันกับหนังของ คริสโตเฟอร์ โนแลน อย่าง Interstellar (2014) ที่ว่าด้วย พ่อ-ลูก และอุปสรรคของกาลอวกาศที่กั้นกลาง ด้วยเช่นกัน

The Midnight Sky

อย่างที่หลายคนล้วนบอกไว้ว่า บางทีเราก็ไขว้คว้าหาบางอย่างไกลแสนไกล ทั้งที่จริงมันอยู่ (หรือเคยอยู่) ข้างกายเรามาเสมอ กว่าจะรู้ค่าบางทีก็อาจสายไปเสียแล้ว ซึ่งข้อคิดแบบนี้ก็ทำให้หนัง The Midnight Sky มีคุณค่าหรือน้ำหนักทางความคิดที่จับต้องได้อยุ่ไม่น้อย

และแม้ดูเหมือนว่าหนังช่างดูคล้ายชาวบ้านเขาไปหมด แต่อย่างไรก็ตาม การนำเสนอของหนังมีความเฉพาะตัวอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องแบบคู่ขนาน 2 เหตุการณ์ คือ กลุ่มบนโลกอันได้แก่ ออกัสติน (จอร์จ คลูนีย์) ชายที่เคยถูกหน้าที่การงานพรากครอบครัวของเขาไป ในตอนนี้กำลังพยายามส่งสัญญาณไปยังยานอวกาศที่กำลังกลับมาโลกจากการสำรวจถิ่นฐานใหม่ที่แถบดาวพฤหัสฯ เพื่อเตือนไม่ให้กลับลงมาเพราะในเวลานี้โลกไม่ใช่ที่สิ่งมีชีวิตจะอาศัยรอดแล้ว

ในขณะเดียวกันเขาก็ได้รับโอกาสการเป็นพ่ออีกครั้งเมื่อต้องดูแล ไอรีส (แม่หนูน้อย โคออยลินน์ สปริงกัล) เด็กน้อยที่ถูกทิ้งไว้บนฐานของเขาหลังคนอพยพหนีกันไปหมดแล้ว

The Midnight Sky

และอีกเหตุการณ์คือเรื่องราวบนยานสำรวจอีเทอร์ที่ไม่ได้รับสัญญาณจากโลกจนลูกเรือเริ่มกังวล และเร่งเดินทางกลับมาหาครอบครัวบนโลก โดยเล่าผ่านสายตาของ ซัลลี่ (เฟลิซิตี้ โจนส์) ที่กำลังตั้งท้องอีกที

จะจับได้ว่าแต่ละตัวละครมีความรู้สึกของความเป็นพ่อแม่ ที่ต้องแบกรับภาระ ความรับผิดชอบ (การชดใช้ความผิดพลาด) หรือความรู้สึกอยากปกป้องลูกของตนเองไว้ตลอดเวลา และการแสดงออกเรื่องนี้ก็แตกต่างไปตามสถานการณ์ของแต่ละตัวละคร เรียกได้ว่า The Midnight Sky มั่นคงในการรักษาอารมณ์แบบดราม่าเนิบนิ่ง ซ่อนความหมายแห่งอารมณ์ของตัวละครไว้เพื่อเผยแล้วกระชากใจผู้ชมในช่วงท้ายอย่างมีนัยสำคัญ

โดยระหว่างทางแม้ยังมีฉากปลุกเร้าเราเป็นระยะอย่างการผจญภัยกลางพายุหิมะและทะเลสาบน้ำแข็งที่แตกร้าว หรืออุบัติเหตุกลางอวกาศของลูกทีมยานอีเทอร์ ตลอดจนการใช้งานภาพและซีจีที่สวยงามหมดจดตรึงสายตากับโลกในอนาคต แต่นั่นก็เพียงเป็นการตบตาเราจากสาระสำคัญที่รอการขยี้แรง ๆ เท่านั้น

The Midnight Sky

ซึ่งว่ากันตามตรงน่าเสียดายนิด ๆ เหมือนกันที่จุดเฉลยสำคัญอันหนึ่ง ผู้ชมสามารถคาดเดาได้ไม่ยากตั้งแต่นาทีที่ 50 ของเรื่อง แต่กระนั้นการเฉลยอีกส่วนก็ยังทำเราจุกเล็ก ๆ แต่หนักลึก ๆ ได้อยู่เหมือนกัน และน่าจะเป็นไม้ตายจริง ๆ ของกลวิธีการเล่าเสียมากกว่า เมื่อหนังเฉลยความทะแม่ง ๆ ทั้งหมดในฉากสุดท้ายทีเดียวเลย

สรุป ข้อเสียใหญ่ ๆ ของหนังก็คงเป็นหน้าหนังที่สร้างความเข้าใจว่าหนังเป็นแนวไซไฟ เอาตัวรอดบนโลกอนาคตของคนแก่และเด็กน้อย คล้าย ๆ พวก Bird Box (2018) ซึ่งมาจากโปสเตอร์และตัวอย่างหนังนั่นล่ะ เพราะเมื่อประเมินทั้งหมดทั้งมวล น่าจะกล่าวได้เต็มปากว่า The Midnight Sky เป็นหนังดราม่าครอบครัวมากกว่าหนังไซไฟ และตัวหนังมันก็อาจไม่ได้ถูกใจใครไปเสียหมด แต่ก็มีความดีที่เหนือมาตรฐานอยู่นิดหน่อย และน่าจะยากอยู่เหมือนกันที่จะไปชิงพื้นที่รางวัลใด ๆ ด้วยพลังงานที่ไปไม่สุดอารมณ์แบบนี้

The Midnight Sky

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส