ปลายปี 2020 ได้มีอัลบั้มดี ๆ ให้เราได้ฟังส่งท้ายปีและส่งพลังงานดี ๆ ข้ามมาสู่ปีนี้ อัลบั้มที่ว่านี้คือ อัลบั้มที่ใช้ชื่อปีที่มันได้ถือกำเนิดมาคือ ‘2020’ เป็นชื่ออัลบั้ม ส่วนศิลปินนั้นคือ ‘Balloon Boy’
‘Balloon Boy’ นั้นไม่ใช่ใครที่ไหนอื่นไกล หากแต่เป็นร่างอวตารของ ธนชัย อุชชิน หรือที่เรารู้จักกันในนาม ป๊อด โมเดิร์นด็อก ที่มาในร่างของตัวการ์ตูนเด็กน้อยลูกโป่งสีฟ้าที่มาพร้อมบทเพลงไพเราะที่จะพาเราล่องลอยไปในท่วงทำนองอันสดใส งดงาม กับภาพความทรงจำในอดีต ความเป็นไปในปัจจุบัน และการปรับตัวปรับใจสู่ชีวิตในอนาคต
ถึงแม้ว่าป๊อดจะอยู่ในวงที่ชื่อ ‘โมเดิร์น’ด็อก แต่ในแง่ของเทคโนโลยีแล้วเขากลับรู้สึกว่าตัวเองนั้น ‘โลว์เทค’ มากและพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งนี้มาตลอด แต่ในที่สุดในช่วงปลายปี 2018 ป๊อดได้เปิดตัวเองออกไปเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพื่อนำมาสร้างสรรค์ผลงานต่อไปในอนาคต ด้วยการไปสมัครเรียนการใช้โปรแกรมทำเพลงด้วยคอมพิวเตอร์ และได้นำเอาความรู้ที่ได้เรียนมาลองประกอบร่างสร้างออกมาเป็นเพลง จนเริ่มสนุก เกิดเป็นไอเดียว่า อยากทำเป็น Side Project ใช้ชื่อว่า Balloon Boy ซึ่งเป็นเหมือนอวตารของตัวเขานั่นเอง
ด้วยเหตุนี้เจ้าหนูน้อย Balloon Boy ผู้เป็นตัวแทนของความอิสระที่ล่องลอยไปบนอากาศได้อย่างเสรีจึงได้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับ 10 บทเพลงที่เรียบง่าย จริงใจ ใช้เครื่องดนตรีน้อยชิ้น เรียงร้อยความรู้สึกผ่านท่วงทำนอง เสียงร้อง และเรื่องราวในบทเพลงอันอบอุ่นที่ทำให้เราคิดถึงวัยเด็ก ความทรงจำ ความสุข ความอิสระ และสีสันในชีวิต ในช่วงเวลาที่เราต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหญ่ของมนุษยชาติอย่างโรคโควิด-19 ที่ทำให้เราต่างห่างไกลกัน ขาดอิสระที่จะทำในสิ่งที่ต้องการอย่างเต็มร้อย ‘Balloon Boy’ คือสิ่งที่ช่วยปลดปล่อยจิตใจให้เราเป็นอิสระ และได้กลับไปสำรวจบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในใจ
สิ่งที่ Ballon Boy ได้สำรวจคือ 3 ช่วงเวลาที่เกี่ยวพันกับชีวิตของเราคือ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ในแทร็กแรก ‘ไปโรงเรียน’ คือตัวแทนของความคิดถึงที่เรามีต่ออดีตที่มีความสุข ดนตรีเบา ๆ สบาย ๆ ในท่วงทำนองที่น่ารัก เมโลดี้ที่ฟังแล้วมีความสุข เสียงซินธ์ที่ใช้ฟังดูกุ๊กกิ๊กอินโทรให้ความรู้สึกเหมือนเสียงนาฬิกาบอกเวลาเคารพธงชาติที่เราคุ้นหูกันดี เสียงซินธิไซเซอร์บาง ๆ ลอยคลอเสริมส่งให้เสียงร้องสบายใจของป๊อดมีเสน่ห์น่าประทับใจ บทเพลงนี้ได้พาเรากลับไปสัมผัสช่วงเวลาแห่งความสุขอันบริสุทธิ์ของการได้ไปโรงเรียนเพื่อเจอกับคนที่เราแอบปลื้ม ‘วันนี้ฉันมีความสุข ไม่มีทุกข์ในเรื่องใด / ก็เพราะว่าภายในใจ ยังคงรอใครสักคน’ รีบมาโรงเรียนแต่เช้ามานั่งรอว่าวันนี้เธอจะมามั้ย จะมาเมื่อไหร่ จะนั่งตรงไหนและจะมานั่งข้างเรารึเปล่า หัวใจมันอุ่น ๆ ตุ๊มต่อมบอกไม่ถูกเลย
เรายังคงอยู่กับอดีตอันหอมหวานต่อในแทร็กที่ 2 ‘กอดคอ’ (ชื่อเดิมคือ ‘คืนสู่เหย้า’) กับบทเพลงในท่วงทำนองของกีตาร์โปร่งและเสียงสตริงที่โอบอุ้มความอบอุ่น ซินธ์น่ารัก ๆ ที่เติมเข้ามา ชวนให้คิดถึงวันเก่า ๆ “ที่เคยหยอกล้อด้วยกัน ที่เคยกอดคอทุก ๆ วัน เพลงที่เธอร้องกับฉัน ยังคิดถึงคืนวันเหล่านั้น” น้ำเสียงเจือความรัก ความห่วงใย ที่ส่งผ่านมาในบทเพลงนี้คงทำให้ภาพของใครคนหนึ่งในความทรงจำของเราลอยเด่นขึ้นมาอย่างชัดเจน
ท่วงทำนองของความสุขในอดีตได้ถูกส่งต่อมาเป็นพลังใจในปัจจุบันใน ‘เพลงโปรด’ กับซาวด์กีตาร์ไฟฟ้าสว่างสดใส ท่วงทำนองชวนเบิกบาน เหมือนกับแสงแดดยามเช้าที่ปลุกเราขึ้นมาทำงานและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ในวันที่อ่อนล้าเพียงได้ยินเสียงเพลงโปรดลอยมาก็ทำให้ชื่นใจแล้ว “ในวันที่ใจนั้นอ่อนล้า มันทำให้ฉันลุกขึ้นมา ไม่มีอะไรที่หนักหนา เมื่อได้ยินเสียงเพลงผ่านมา” ในช่วงเวลาแบบนี้มาฟังเพลงโปรดแล้วร้องหรือผิวปากตามกันไปให้สบายอารมณ์กันดีกว่า
ในความเป็นจริงแล้วชีวิตเราไม่ได้มีแต่ด้านที่สวยงามและความสุขความสมหวังเพียงอย่างเดียว ในบางครั้งที่ต้องเจอกับความทุกข์ใจเราก็ต้องรวบรวมพลังกาย พลังใจให้เข้มแข็งและข้ามผ่านมันมาให้ได้‘ปล่อยเขาไป’ คือบทเพลงที่พูดถึงการสลัดอดีตที่ทุกข์ใจ เพื่อทำปัจจุบันนี้ให้มีความสุข มาพร้อมบีทเร้าใจ ชวนแดนซ์ ไลน์กีตาร์พาใจสนุก ปลุกพลังในวันที่เหงาซึมเซาหัวใจให้กลับมามีพลังอีกครั้ง สลัดความหมองใจให้มันหายไปจากใจเราซะ ! ‘ปล่อยปล่อยให้เขาไป ถ้าเขานั้นไม่ใยดี แค่ลืมลืมไปเสียที วันนี้อย่ามีหมองใจ’
‘Everyday’ คือบทเพลงที่เป็นตัวแทนของห้วงรักหวามไหวในปัจจุบัน กับท่วงทำนองที่มีกลิ่นความเซ็กซี่ ร่ำร้องถึงความหลงใหลที่มีต่อเธอคนนั้น เธอที่ทำใจชั้นหวั่น เพราะเธอไม่รู้เหมือนกัน เพราะเธอเลยเพ้อไปวัน ๆ เพราะเธอคือคนที่ชั้นใฝ่ฝัน “everyday มากมาย everyday หัวใจ everyday คิดถึงใคร everyday คือเธอใช่ไหม”
เวลาที่ชีวิตเราได้ดำเนินไปในบางครั้งก็คงมีบ้างที่ได้หวนกลับมาคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านเลยมาและสัมผัสอันอบอุ่นจากใครคนหนึ่งที่ร่องรอยนั้นยังประทับใจอยู่ในความรู้สึกและความทรงจำของเราเสมอ อีกบทเพลงหนึ่งที่เป็นท่วงทำนองของความคิดถึงที่มีต่ออดีตที่มีความสุขก็คือ ‘กอด’ สตริงอินโทรนำพาเราสู่อดีตอันหอมหวล บีตเบา ๆ บิลต์เราอย่างช้า ๆ อารมณ์แห่งความคิดถึงค่อย ๆ หลากล้นเพิ่มพูนขึ้นแต่ก็เพียงบางเบาและละมุน อยากกอดกับเธออีกครั้งให้ชื่นใจ เมื่อความคิดถึงเปี่ยมล้นทั้งหัวใจ “เธอเคยอยู่ตรงนี้และวันก็ล่วงไป ทุกสิ่งที่เคยมี ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะกลับมาตรงนี้ อยากกอดอีกสักที…”
และการที่เราได้กลับมาพบกับใครคนนั้นในช่วงเวลาขณะปัจจุบันของชีวิตนั่นคือช่วงเวลาแห่งความสุขอันแสนนั้น ช่วงเวลาที่อดีตกับปัจจุบันนั้นมาบรรจบกัน ใน ‘Long Time No See’ ได้ถ่ายทอดช่วงเวลาอันแสนสั้นนั้นผ่านซาวด์อิเล็กทรอนิกส์ บีตหนัก เสียงร้องย้ำ ๆ ท่อนร้อง ซ้ำ ๆ เหมือนอยากผลิตซ้ำหรือย้ำหยุดช่วงเวลานี้ให้เป็นนิรันดร์ ได้แต่พร่ำย้ำอยู่ในใจว่า “อยู่นาน ๆ หน่อยนะ อยู่นาน ๆ หน่อยนะ” จากการได้พบเธอคนนั้นผู้เป็นตัวแทนความทรงจำและอดีตอันมีความสุข โซโลแซ็กเซ็กซี่ซึมแทรกเข้ามาเพิ่มความรู้สึกหวามไหวในหัวใจ
บนท่วงทำนองของเสียงสตริง บีตจังหวะกำลังดี และกีตาร์เร้าพลัง ‘ฟ้าคะนองกระจาย’ คือบทเพลงที่ปลุกพลังใจในวันที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจ ให้เรามุ่งมั่นทำในสิ่งที่รักต่อไปแม้ว่าใครจะไม่มอง ทำด้วยใจไปกับสมองของเรา “ต่อให้เมฆดำเคลื่อนมาเป็นพายุร้าย ต่อให้มีลมฝนฟ้าคะนองกระจาย จะรวบรวมเรี่ยวแรงจนวันสุดท้าย และจะเดินข้ามไปจนทะลุกำแพง” เป็นเพลงที่ปลุกพลังใจในวันที่อ่อนล้า เป็นการย้ำเตือนกับตัวเองในสิ่งที่ใจปรารถนา
‘Don’t Wanna Say Goodbye’ แทร็กสุดท้ายของอัลบั้มคือบทคำนึงถึงสัจธรรมของชีวิต กับเสียงกีตาร์ล่องลอยจากเมธี น้อยจินดา มือกีตาร์แห่งวงโมเดิร์นด็อก เป็นบทสรุปที่ลงตัวของงานเพลงในอัลบั้มนี้และช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยเฉพาะในปี 2020 อันเป็นชื่อของอัลบั้มที่ทำให้เราต้องเรียนรู้ที่จะต้องละวางสิ่งที่แบกเอาไว้ ทั้งอดีต ความกังวล และความคาดหวังในใจ ความไปถึงความสัมพันธ์ทั้งหลายเพื่อเรียนรู้ที่จะดำเนินชีวิตต่อไปในกระแสของความเป็นไปที่ไม่จีรังยั่งยืน
“ฉันก็รู้ไม่มีอะไรจีรัง จะฉุดรั้งยังไง สุดท้ายแล้วก็ต้องลา
ฉันก็รู้ไม่มีอะไรคืนมา จะคิดถึงยังไง ปวดร้าวเพียงใด ก็เห็นเป็นธรรมดา”
“สุดท้าย ในวันที่เราเคยมี วันนี้มาพังสลาย
โหดร้าย สิ่งใดที่เคยครอบครอง เคยเป็นเจ้าของ เก็บมันเอาไว้ไม่ได้”
“Don’t Wanna Say Goodbye”
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส