What the Fact ได้นำรายชื่อของหนังดีที่คอหนังอาจพลาดไปแห่งปี 2020 มาแนะนำกันไปแล้ว ซึ่งหนังดีจริง ๆ แล้วยังมีหนังของสตรีมมิง Netflix แพลตฟอร์มสตรีมมิงที่ได้รับความนิยมสูงสุดสำหรับชาวไทยในปี 2020 ด้วย จึงต้องขอเขียนแยกเป็นอีกหนึ่งบทความซึ่งจะขอแนะนำกันแบบเน้น ๆ ไปเลยว่า Rare Items หนัง Original Content ที่อาจจะหลงหูหลงตากันไปใน Netflix มีเรื่องอะไรบ้างที่เราไม่อยากให้คุณพลาดด้วยประการทั้งปวง

ชวนอ่าน 10 หนังดี-สุดมันจาก Netflix ปี 2020

DA 5 BLOODS

หนังเรื่องรองสุดท้ายของ Chadwick Boseman ซึ่งเสียชีวิตในปี 2020 ที่ผ่านมา (เรื่องสุดท้ายก็เป็นหนัง Netflix ที่อยู่ในลิสต์นี้ด้วยเช่นกัน) และเรื่องนี้ก็ยังเดินทางเข้ามาถ่ายทำในไทยอีกด้วย Da 5 Bloods นั้นเป็นผลงานของผู้กำกับผิวดำมากฝีมืออีกคนแห่งยุคอย่าง Spike Lee ซึ่งมีหนังอย่าง BlacKkKlansman (2018) , Inside Man (2006) และ Malcolm X (1992) อยู่ในเครดิต หนังได้เข้ามาถ่ายทำในประเทศไทยช่วงปี 2019 ที่กรุงเทพฯ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย นนทบุรี สมุทรสงคราม ราชบุรี และกาญจนบุรี แต่ก็น่าเสียดายที่ในตัวอย่างหนังนั้นบอกว่าเหตุการณ์เกิดที่เวียดนาม เพราะเท้าความถึงสงครามเวียดนามยุค 70s

หนังเล่าเรื่องของทหารผ่านศึกสัญชาติแอฟริกัน-อเมริกัน 4 คนที่กลับไปยังประเทศเวียดนาม เพื่อตามหาศพของผู้บัญชาการหน่วยรบของพวกเขา (Chadwick Boseman) และสมบัติที่ถูกฝังเอาไว้ สมทบด้วยนักแสดง Jean Reno (Leon: The Professional), Delroy Lindo (Get Shorty), Clarke Peters (The Wire), Isiah Whitlock Jr. และ Paul Walter Hauser (I, Tonya) หนังได้รับคำชื่นชมเรื่องการแสดงที่เข้าขาของทีมนักแสดง โดยเฉพาะ Delroy Lindo ที่น่าจะมีบทบาทบนเวทีรางวัลอย่างแน่นอน และหนังก็ยังใช้ลูกเล่นด้านภาพได้อย่างน่าสนใจ และน่าศึกษางานภาพไว้สำหรับนักเรียนภาพยนตร์ (อ่านรีวิวเรื่องนี้ของ WTF) (Rotten Tomatoes: 92%/iMDB Rating: 6.5/10)

HIS HOUSE

หลังจากหนีรอดจากประเทศซูดานใต้ที่แหลกสลายด้วยสงครามมาได้อย่างหวุดหวิด คู่รักผู้ลี้ภัยต้องปรับตัวกับชีวิตใหม่ในเมืองเล็ก ๆ ของอังกฤษอย่างยากลำบาก และในเมืองนี้มีสิ่งชั่วร้ายที่ไม่มีใครกล้าพูดถึงรอขย้ำพวกเขาอยู่ด้วย ปัญหาผู้อพยพในยุโรปน่าจะเป็นวาระแห่งทวีปที่คลุมบรรยากาศตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา Remi Weekes ผู้กำกับหน้าใหม่ชาวอังกฤษ เก่งที่นำความรู้สึกหวาดกลัวลึก ๆ ในใจของทั้งผู้อพยพหอบหิ้วความทรงจำอันโหดร้ายจากสงครามกลางเมืองในบ้านเกิดมาสู่ชีวิตใหม่อันแปลกแยก และทำให้เห็นว่าผู้ให้ที่พำนักก็หวาดระแวงฝั่งผู้มาอาศัยอยู่เช่นกัน ทั้งปัญหาต่างวัฒนธรรม โรคระบาด การแย่งงานแย่งอาชีพ

หนังฉลาดที่นำประเด็นทางสังคมมาเล่าโดยเติมรสความลึกลับปนสยองขวัญได้อย่างถึงกึ๋น และทำออกมาได้โดดเด่นไม่แพ้ผลงานสะท้อนสังคมของผู้กำกับ Jordan Peele จาก Get Out (2017) และ Us (2019) เจ้าหากแต่ Weekes อาจยังขาดลูกลีลาหรือรสนิยมด้านศิลปะภาพยนตร์ แต่กระนั้นเขาก็นำเสนอมันด้วยมาตรฐานของหนังคุณภาพได้อย่างจัดเจน เชื่อว่าอนาคตถ้าเขาได้ฝึกกรำจนเจนมือ น่าจะสร้างเอกลักษณ์ของตนเองออกมาได้เด่นชัดกว่านี้ (อ่านรีวิวเรื่องนี้ของ WTF) (Rotten Tomatoes: 100%/iMDB Rating: 6.5/10)

I’M THINKING OF ENDING THINGS

หนังที่มีชื่อไทยสุดโรแมนซ์ว่า “อยากให้เธออยู่ดูตอนจบด้วยกัน” เรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งที่แม้จะไม่แน่ใจเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเอง แต่เธอก็ตัดสินใจไปโรดทริปกับ Jake แฟนใหม่เพื่อเที่ยวฟาร์มของครอบครัวเขา หลังจากติดพายุหิมะอยู่กับแม่และพ่อของ Jake สาวคนนี้เริ่มสงสัยทุกเรื่องที่เธอรู้มาหรือเข้าใจเกี่ยวกับแฟนหนุ่ม ตัวเอง และโลกใบนี้ สร้างจากนิยายชื่อดังของ Iain Reid กำกับและเขียนบทโดย Charlie Kaufman ผู้เขียนบทหนังดัง ๆ อย่าง Being John Malkovich (1997), Adaptation. (2002), Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004) ซึ่งเรื่องหลังสุดก็เป็นหนึ่งในหนังรักชั้นดี

หลายคนชอบสไตล์ความว้าวุ่นและวุ่นวายของหนัง Kaufman อยู่แล้ว (ซึ่งคงเป็นชื่อที่ใช้ขายหนังอยู่แล้ว) ถึงแม้ว่าสุดท้ายคนดูจะไม่เข้าใจรายละเอียดทุกอย่างก็ตาม หนังของเขาล้วนว่าด้วยตัวละครที่มักต้องจัดการกับความล้มเหลวบางอย่างในชีวิต และความรู้สึกนี้มักจะโยงใยไปพัวพันกับเรื่องความรัก ความสัมพันธ์กับผู้หญิง นำไปสู่ภาวะความโศกเศร้า Kaufman เป็นผู้กำกับและมือเขียนบทที่พยายามจำลองการทำงานของสมองมนุษย์ ทั้งความคิด ความทรงจำ ความรู้สึกออกมาในแบบที่เราคาดไม่ถึงเช่นผลงานเก่า ๆ ที่แล้วมาและเรื่องนี้ก็ด้วย หนังพูดกันตลอดเรื่องและไม่ถูกใจคอหนังทั่วไปแน่นอน แต่สำหรับใครที่ชอบหนังแนวนี้ หนังฉลาดมากในการเล่าเรื่อง โดยนักแสดงนำ Jessie Buckley และ Jesse Plemons (Rotten Tomatoes: 81%/iMDB Rating: 6.6/10)

FATHER SOLDIER SON

เจ้าของรางวัลตัดต่อยอดเยี่ยมและเข้าชิงภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม จากเทศกาลภาพยนตร์ Tribecca Film Festival ของปี 2020 เรื่องราวย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน ในปี 2010 ที่เมือง Wautoma รัฐวิสคอนซินของสหรัฐฯ หนังเล่าเรื่องจริงของคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวของลูกชาย 2 คนอย่าง Brian Eisch พ่อของ Joey วัย 7 ขวบ และ Isaac วัย 12 ขวบ Brian ถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ในสงครามอัฟกานิสถาน และเลือกที่จะฝากฝังให้ลุงดูแลเด็กทั้งสองคน สองพี่น้องต้องย้ายที่อยู่ รวมไปถึงปรับตัวเข้ากับโรงเรียนและสังคมใหม่ โดย Brian ได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเอง ว่าเขาได้เลือกสิ่งที่ถูกต้องสำหรับลูก ๆ ของเขาแล้วหรือไม่

ในขณะเดียวกัน เขาก็พยายามทำหน้าที่เป็นทหารที่ประเทศชาติเรียกร้องอย่างเต็มที่ หนังสารคดีเรื่องนี้ได้พาคนดูร่วมติดตามความเปลี่ยนแปลงของ Brian ทั้งการเป็นพ่อและทหารควบคู่กันไป การสูญเสียจากสงครามไม่ใช่เพียงแค่การบาดเจ็บทางร่างกาย หรือเสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีผลกระทบอื่น ๆที่ไม่อาจประเมินค่าได้ ผลงานการกำกับของ Leslye Davis และ Catrin Einhorn ซึ่งเป็น 2 นักข่าวจาก The New York Times ที่ใช้เวลาในการติดตามและถ่ายทำสารคดีชุดนี้จริง ๆ นานถึง 10 ปี หนังได้รับคำชื่นชมเรื่องราวการนำเสนออย่างสะเทือนอารมณ์ และสะท้อนชีวิตทหารและครอบครัวอเมริกันได้อย่างสมจริง (Rotten Tomatoes: 91%/iMDB Rating: 7.3/10)

LOST GIRLS

ดัดแปลงจากนิยายติดอันดับ Best Sellers ของ New York Times “Lost Girls: An Unsolved American Mystery” และเปิดฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์เมื่อต้นปี 2020 ก่อนจะมาลง Netflix เรื่องราวเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมที่สร้างจากเรื่องจริงอย่างคดี Long Island Serial Killer เกี่ยวกับ Mari Gilbert แม่ผู้ขาดการติดต่อกับลูกสาวของเธออย่าง Shannan ที่หายตัวไปอย่างลึกลับ แม้ผู้เป็นแม่จะแจ้งทางตำรวจไปแล้วก็ได้กลับมาเพียงความว่างเปล่า เธอจึงพยายามออกสืบหาลูกสาวด้วยตนเอง เพื่อหาคำตอบว่าลูกสาวหายไปไหน

หนังเป็นผลงานของผู้กำกับที่เคยเสนอถูกเสนอเข้าชิงสองรางวัลออสการ์อย่าง Liz Garbus จากหนังสารคดี The Farm: Angola, USA (1998) และ What Happened, Miss Simone? (2015) ซึ่งก็เชื่อมั่นได้เลยว่าความสมจริงระดับหนังสารคดีนั้นมีอยู่เต็มเปี่ยม หนังมีช่วง 20 นาทีแรกมีความน่าสนใจที่ให้คนดูและตัวละครไล่ตามปริศนาไปพร้อม ๆ กัน ตัวละคร Mari ของนักแสดง Amy Ryan (เคยเข้าชิงออสการ์จาก Gone Baby Gone (2007)) สามารถถ่ายทอดอารมณ์ความเป็นแม่คนออกมาได้อย่างน่าจดจำ งานโปรดักชั่น ดนตรีประกอบ และการถ่ายทอดภาพสารคดีภายในเรื่องดูสมจริงมาก แต่ข้อเสียคือตัวละครอื่นนอกจาก Mari นั้นช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเลย (Rotten Tomatoes: 73%/iMDB Rating: 6.1/10)

(อ่านต่อหน้าถัดไป)

LOST BULLET

หนังแอ็กชันรถแข่งสุดมันที่นิยามได้ว่าไม่เน้นซิ่งแต่เน้นปะทะกันแบบเน้น ๆ ซึ่งทำให้นึกถึงหนังหลายเรื่องที่มี Jason Statham เป็นพระเอก (ทำนองเดียวกันกับ Death Race (2008) แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะไม่มีนักแสดงดังเลยก็ตาม Lost Bullet เล่าเรื่องราวของ Lino (Alban Lenoir จาก Taken (2008) และเป็นสตันท์แมนในหนังหลายเรื่อง) ผู้วางแผนขับรถปล้นร้านเพชรแต่รถดันแรงเกินไปหน่อยเลยโดนจับเข้าคุก จังหวะพอดีกับที่ฝ่ายตำรวจกำลังหาช่างยนต์ฝีมือเทพมาช่วยแต่งรถไว้ไล่จับแก๊งค้ายา ทำให้เขาได้ออกจากเรือนจำมาช่วยงานตำรวจ ทุกอย่างกำลังไปได้ดีจนกระทั่งเขาถูกโยนความผิดว่าเป็นคนฆ่าตำรวจจึงต้องหนีหัวซุกหัวซุนพร้อมหาทางพิสูจน์ตัวเอง

หนังดูเอามันแบบห้ามคิดอะไรเยอะ พระเอกก็คือแสนดี ส่วนตัวร้ายก็ร้ายเหมือนหลุดมาจากหนังการ์ตูน ฉากแอ็กชันเตะต่อยมีไม่เยอะ แต่ฉากเด็ดคือตำรวจทั้งโรงพักรุมพระเอกคนเดียวซึ่งก็ทำให้นึกถึงหนัง John Wick (2014) ที่เป็นหนังแอ็กชันในยุคปัจจุบันที่มีการออกแบบคิวบู๊ดูสมจริง ส่วนข้อเสียสำหรับคอหนังแอ็กชันอาจจะอยู่ที่หนังไม่ฉากขับรถไล่ล่าน้อยไปหน่อย ส่วนตอนจบก็จบแบบง่าย ๆ ตามสูตร (Rotten Tomatoes: 75%/iMDB Rating: 6.2/10)

MA RAINEY’S BLACK BOTTOM

ผลงานการแสดงเรื่องสุดท้ายจริง ๆ ของ Chadwick Boseman ที่หลายคนก็ลุ้นให้เข้าได้เข้าชิงหรือกระทั่งคว้ารางวัลออสการ์ให้ได้จากหนังเรื่องนี้ (ซึ่งก็เป็นโอกาสสุดท้ายของเขาแล้ว) รวมถึงนักแสดงนำหญิงของเรื่องอย่าง Viola Davis ผู้ชนะรางวัลออสการ์จาก Fences (2016) และเคยเข้าชิงจาก The Help (2011) และ Doubt (2008) ที่น่าจะได้กลับขึ้นเวทีอีกครั้งอย่างแน่นอน Ma Rainey’s Black Bottom ยังเป็นผลงานกำกับของ George C. Wolfe ที่อาจไม่ได้มีผลงานภาพยนตร์มากนัก (Nights in Rodanthe (2008) แต่สร้างชื่อจากแวดวงซีรีส์โทรทัศน์อย่าง Lackawanna Blues (2005)

หนังมีฉากหลังเป็นวงการดนตรีในชิคาโกยุค 1920s ดัดแปลงจากบทละครเวทีของนักเขียน 2 รางวัลพูลิตเซอร์ August Wilson ผู้เขียนบทหนังเรื่อง Fence โดยมี Denzel Washington (ที่ Boseman นับถืออย่างมาก) รับหน้าที่อำนวยการสร้าง โดย Davis รับบทเป็น Ma Rainey เจ้าของชื่อเรื่องและเป็นเจ้าแม่เพลงบลูส์ผู้เป็นตำนานและโด่งดังแห่งยุค ตัวหนังเล่าเรื่องราวความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างเธอและเหล่าสมาชิกในวง เมื่อพวกเขาต้องไปทำงานให้ค่ายเพลงของคนขาว ส่วน Boseman รับบทเป็น Levee รับบทเป็นนักเป่าทรัมเป็ตผู้มีพรสวรรค์และทะเยอทะยาน ความอยากโด่งดังและสร้างชื่อให้ตัวเองของเขาได้กลายเป็นปมขัดแย้งสำคัญกับ Rainey (Rotten Tomatoes: 98%/iMDB Rating: 7.2/10)

MISS AMERICANA

Netflix ค่อนข้างไปได้สวยกับหนังสารคดี โดยเฉพาะเรื่องนี้ที่เล่าเรื่องของศิลปินชื่อดังที่สุดคนหนึ่งในปัจจุบันอย่าง Taylor Swift หนังสารคดี Miss Americana เป็นหนังสารคดีความยาว 1 ชั่วโมง 25 นาที กำกับโดย Lana Wilson และได้ทีมเบื้องหลังสารคดี 20 Feets From Stardom (2013) ที่เคยชนะออสการ์มาดูแลการสร้าง หนังถ่ายทำช่วงปี 2018 ถึง 2019 ตั้งแต่เธอออกทัวร์ “The Reputation Stadium Tour” จนถึงการทำอัลบั้มล่าสุด “Lover” พร้อมมีการผสมผสานฟุตเตจเก่า ๆ และใช้วิดีโอส่วนตัวของครอบครัว มาปูเรื่องราวให้เห็นถึงวิวัฒนาการ ความกดดัน และปัญหาที่เข้ามารุมเร้าเธอตั้งแต่อายุ 13 นอกจากนี้สารคดียังแตะประเด็นที่ละเอียดอ่อนทั้งการเมือง ปัญหาโรคการกินผิดปกติ เรื่องคดีล่วงละเมิดทางเพศ และโรคมะเร็งที่แม่ของเธอต้องรับมืออยู่

แม้ประเด็นถูกพูดถึงมากที่สุดของหนังอาจจะเป็นการได้เห็น Taylor อินเลิฟกับแฟนหนุ่มในตอนนั้นอย่างนักแสดง Joe Alwyn จาก The Favourite (2018) และการที่เธอตัดสินใจออกมาแสดงจุดยืนด้านการเมือง แต่หนังก็ทำให้เห็นอีกด้านของศิลปินดังระดับโลกอย่างเธอ แม้คนดูจะไม่ชอบเพลงของเธอ หรือรู้สึกว่าเธอขยันสร้างข่าวมากเกินไป แต่เชื่อว่า หลังดูสารคดีเรื่องนี้จบลง กำแพงที่หลายคนมีกับเธอจะพังทลายลงและคนดูน่าจะมีจุดเชื่อมโยงอะไรบางอย่างกับตัวตนของเธอได้ (Rotten Tomatoes: 91%/iMDB Rating: 7.4/10)

THE LIFE AHEAD

The Life Ahead หนังอิตาลีที่มีชื่อภาษาอิตาเลียนว่า La vita davanti a sé ภาพยนตร์ดราม่าที่สร้างจากวรรณกรรมฝรั่งเศสเรื่อง “The Life Before Us” เขียนโดย Romain Gary ที่ได้รับรางวัลวรรณกรรมดีเด่นปี 1975 กำกับโดย Edoardo Ponti นำแสดงโดย Sophia Loren จาก Grumpier Old Men (1995) และนักแสดงเด็ก Ibrahima Gueye เป็นภาพยนตร์ดราม่าที่สร้างและตีความใหม่ ซึ่ง Netflix ได้ทำการซื้อมาสตรีมมิงภายในเจ็ดวันหลังจากเข้าฉายจำกัดโรงที่อิตาลี โดยถือเป็นครั้งที่ 2 แล้วที่เรื่องราวเดียวกันนี้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ เพราะเคยมีการสร้างเป็นหนังฝรั่งเศส Madame Rosa (1977) ภาพยนตร์ฉบับใหม่ยังได้รับรางวัล Academy Award for Best International Feature Film ด้วย

หนังเล่าเรื่องราวของ Momo เด็กหนุ่มกำพร้าชาวมุสลิมที่ไม่มีเป้าหมายในชีวิตและออกลักขโมยเพื่อแลกกับเงินมาใช้จุนเจือชีวิต วันหนึ่งเขาดันไปเจอกับ Madame Rosa หญิงชราที่เป็นทั้งผู้หญิงขายบริการและเปิดสถานรับเลี้ยงเด็ก จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่สวยงามนักเมื่อทั้งคู่พยายามผลักไสอีกฝ่ายออกจากชีวิต แต่เมื่อ Momo ได้พบเจอคนมากมายที่ยื่นมือสนับสนุนเขาและได้เข้าไปร่วมรับรู้ความลับของ Madame Rosa ทำให้เขาต้องคิดทบทวนชีวิตว่าจะเลือกเดินไปทางไหน หนังได้รับคำชื่นชมว่าเป็นหนังที่เรียบง่ายและเจ็บปวดแห่งปี 2020 (Rotten Tomatoes: 93%/iMDB Rating: 6.8/10)

THE BOYS IN THE BAND

หนังที่เป็นที่ถูกอกถูกใจของบรรดาเก้งก้างเพราะนอกจากจะเจาะลึกถึงเรื่องราวเบื้องลึกของพวกเขาแล้ว หนังก็ยังรีเมกมาจากละครบรอดเวย์ดัง เมื่อปี 1968 แล้วได้กลายเป็นภาพยนตร์ในปี 1970 ซึ่งการกลับมารอบนี้ เป็นการเขียนบทและอำนวยการสร้างโดย Mart Crowley เจ้าของผลงานที่เคยสร้างฉบับดั้งเดิมไว้ในอดีต แล้วก็นำกลับมาทำเป็นละครบรอดเวย์เมื่อปี 2018 ด้วย

หนังได้ทีมนักแสดงชุดเดิมจากฉบับบรอดเวย์ปี 2018 มารับบทในเวอร์ชันภาพยนตร์ของ Netflix นำทีมโดย Jim Parsons จากซีรีส์ The Big Bang Theory, Zachary Quinto จากไตรภาค Star Trek (2009-2016) และ Matt Bomer จาก Magic Mike (2012) รวมถึงเป็นผลงานกำกับของ Joe Mantello นักแสดงจากซีรีส์ Netflix เรื่อง Hollywood

หนังเป็นเรื่องราวของเกย์ 9 คนที่จัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดให้กับเพื่อน ซึ่งในยุคนั้นงานเลี้ยงของชาวเกย์เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายดังนั้นจึงเป็นความเสี่ยงของพวกเขาที่จะถูกตำรวจจับได้ ซึ่งในงานปาร์ตี้นั้น ก็เป็นการรวมตัวของเพื่อนชาวเกย์ที่ห่างหายไปนาน และมีคนที่กำลังสับสนอยู่ว่าตัวเองเป็นเกย์หรือไม่ ไปจนถึงคนที่แต่งงานกับภรรยาแต่ก็ตัดสินใจเลือกที่จะมาหาคู่รักในหมู่ผองเพื่อน พล็อตหนังไม่ได้มีอะไรมากไปว่าการจับเกย์ 9 คนมาพูดจาเชือดเฉือน แสดงจริตความเป็นเกย์อย่างเต็มที่ แต่ก็เป็นหนังที่ถูกจริตกลุ่มเป้าหมายอย่างจัง (Rotten Tomatoes: 82%/iMDB Rating: 6.8/10)

(อ่านต่อหน้าถัดไป)

THE HALF OF IT

Netflix มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ชมกลุ่มวัยรุ่นที่อยู่ในช่วงกำลังเรียนรู้และเข้าใจความหมายของชีวิตอยู่พอสมควร จึงได้ทำหนังและซีรีส์วัยรุ่นออกมามากมายและได้รับความนิยมเป็นอย่างดี เช่น ซีรีส์ Sex Education ที่มีออกมา 2 ซีซันและ The End of the F***ing World 2 ซีซัน ผลงานกำกับของ Alice Wu ผู้กำกับหนังหน้าใหม่จาก Saving Face (2004) ก็เป็นอีกเรื่องที่ได้รับคำชมในปีที่ผ่านมา โดยหนังเลือกจะชูประเด็นเรื่องความหลากหลายทางเพศ เพราะเรื่องราว Coming of Age ของหนังเป็นเรื่อง “หญิงรักหญิง”

The Half of It เล่าเรื่องราวของ Ellie Chu (รับบทโดย Leah Lewis จากซีรีส์ Nancy Drew) เด็กสาวเรียนเก่ง แต่ขี้อายและไม่มีเพื่อน ผู้มีพรสวรรค์ด้านการเขียนหนังสือและเธอก็หารายได้พิเศษด้วยการรับจ้างเขียนเรียงความให้เพื่อนนักเรียน เธอถูก Paul Munsky (รับบทโดย Daniel Diemer จาก Secred Lies) เพื่อนชายหนุ่มนักกีฬาซื่อ ๆ ที่บื้อเรื่องการจีบหญิง เขาขอให้เขียนจดหมายรักแทนเขาเพื่อจีบสาวคนดังของโรงเรียน (รับบทโดย Alexxis Lemire จาก Truth or Dare (2017)) แต่จุดหักเหอยู่ตรงที่ว่าทั้งเขาและเธอกลับตกหลุมรักผู้หญิงคนเดียวกัน แล้วอยู่ดี ๆ ก็เหมือน Paul ก็จะหันเหกลับมาชอบ Ellie ด้วยเหมือนกัน (อ่านรีวิวเรื่องนี้ของ WTF) (Rotten Tomatoes: 97%/iMDB Rating: 6.9/10)

THE TRAIL OF THE CHICAGO 7

หากใครที่ชื่นชอบหนังจากการเขียนบทของ Aaron Sorkin มือเขียนของหนังที่ดูสนุกแม้จะเต็มไปด้วยบทสนทนาตลอดทั้งเรื่อง เช่น The Social Network (2010), Moneyball (2011) หรือหนังเก่าน้ำดี A Few Good Men (1992) ต้องไม่พลาดหนังเรื่องนี้ที่เป็นการเขียนบทและกำกับของ Sorkin ด้วย โดยหนังระดมทีมนักแสดงมากฝีมือระดับออสการ์หรือไม่ก็เข้าชิงล้วน ๆ ตั้งแต่ Eddie Redmayne เจ้าของออสการ์จาก The Theory of Everything (2014), Sacha Baron Cohen เข้าชิงออสการ์จาก Borat (2007) , Mark Rylance เจ้าของออสการ์จาก Bridge of Spies (2015), Frank Langella เข้าชิงออสการ์จาก Frost/Nixon (2008), Michael Keaton เข้าชิงออสการ์จาก Birdman or (The Unexpected Virtue of Ignorance) (2014), Joseph Gordon-Levitt เข้าชิงลูกโลกทองคำจาก (500) Days of Summer (2009), Jeremy Strong จากซีรีส์ Succession และ Yahya Abdul-Mateen II จาก Aquaman (2018)

หนังจะเล่าเรื่องจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นปี 1969 ซึ่งเป็นเหตุการณ์การประท้วงของประชาชนต่อต้านการเข้าสู่สงครามเวียดนามของสหรัฐฯ และตั้งข้อกล่าวหารัฐบาลว่า เข้าแทรกแซงงานการเลือกตัวแทนชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครตเมื่อปี 1968 เรื่องจะไม่เป็นเรื่องถ้าการประท้วงอยู่ในความสงบ แต่เกิดมีการปะทะกันเกิดขึ้นระหว่างตำรวจกับประชาชน และมีจับกุมผู้ต้องหาไป 7 คน จนเข้าสู่กระบวนการทางศาล และกลายเป็นคดีที่ถูกกล่าวขวัญยาวนาน The Trial of the Chicago 7 ยังได้รับคำชมในความเยี่ยมของบทและบทสนทนาของหนัง (Rotten Tomatoes: 90%/iMDB Rating: 7.8/10)

TIGERTAIL

หนังที่มีชื่อไทยว่า “รอยรักแห่งวันวาน” ผลงานของ Alan Yang ผู้สร้างซีรีส์ Master of None ของ Netflix ที่จากเรื่องนั้นได้รางวัล Emmy Awards ในปี 2016 มาแล้ว รวมถึงหนัง Little America ของ Apple TV+ ด้วย หนังดราม่าที่ไม่เน้นความฟูมฟายแต่มีบรรยากาศความอึนให้รู้สึกไปตลอดทั้งเรื่อง Tigertail เน้นเล่าเรื่องแนวคิด ชีวิตความเป็นอยู่ และความสัมพันธ์ในครอบครัวของคนจีน ผ่านชีวิตของชายคนนึงที่ชื่อ “พิ่นรุ้ย” ซึ่งเกิดในยุคสงครามกลางเมืองของจีน ช่วงที่พรรคก๊กมินตั๋งถูกผลักดันให้มาอาศัยอยู่ที่เกาะไต้หวัน ด้วยที่กำพร้าพ่อแต่เด็กและวิถีชีวิตที่ยากจน ทำให้พิ่นรุ้ยได้ตัดสินใจในสิ่งที่จะเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล

พิ่นรุ้ยเสียพ่อไปตั้งแต่อายุ 1 ขวบ และต้องมาอาศัยอยู่กับตายายชั่วคราว เพราะแม่ต้องออกไปหางานทำที่เมืองอื่น จนเขาได้มาพบกับ “หยวน” สาวน้อยน่ารักที่บ้านมีฐานะพอควรและเพิ่งย้ายมาที่เมืองนี้ไม่นาน พิ่นรุ้ยและหยวนสนิทกันอย่างรวดเร็ว มันเป็นช่วงเวลาดี ๆ อันน้อยนิดในชีวิตที่พิ่นรุ้ยได้รับ เพราะปีหนึ่งหลังจากนั้นเขาก็ต้องย้ายกลับไปอยู่กับแม่ ต่อมาพวกเขาได้กลับมาเจอกันและสานต่อความรัก

แต่ด้วยฐานะที่ต่างกัน พิ่นรุ้ยยังอยากจะทำตามความฝันด้วยการไปสหรัฐอเมริกา เพื่อสร้างฐานะและทำให้แม่สบายขึ้น การไปดินแดนแห่งเสรีภาพไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งสำหรับพิ่นรุ้ยก็แทบไม่มีทางเลย สุดท้ายเขาได้ตัดสินใจในสิ่งที่ทำให้ความสุขจากเขาไปเกือบตลอดกาล นั่นก็คือเขายอมแต่งงานกับ “เจินเจิน” ลูกสาวเจ้าของโรงงานที่เขาทำงานอยู่เพื่อให้มีค่าเดินทางไปต่างประเทศ หนังมีบรรยากาศเรื่อย ๆ ตลอดเรื่องแต่มี 5 นาทีที่สุดท้ายที่บาดลึกและทำให้น้ำตารื้น (Rotten Tomatoes: 81%/iMDB Rating: 6.4/10)

THE WILLOUGHBYS

หนังการ์ตูนคุณภาพที่ถูกพูดถึงมากพอสมควรสำหรับการเป็นผลงาน Netflix ที่ยอดเยี่ยม ดัดแปลงมาจากนวนิยายของ Lois Lowry นักเขียนนวนิยายเด็ก เล่าเรื่องย่อของตระกูล Willoughbys  4 พี่น้องผจญภัย พวกเขาเหล่านั้นเป็นทั้งนักวิทยาศาสตร์, ทหาร, กษัตริย์ และนักผจญภัย แต่เมื่อคราวถึงยุคปัจจุบันที่ความรุ่งเรืองเหล่านั้นได้จางหายไปแล้วตามกาลเวลา และในตอนนี้เอง Tim ก็อยากที่จะกอบกู้ชื่อเสียงของตระกูลให้ได้ แต่ยังติดที่ว่า Tim และพี่น้องอีกสามคนต้องทนทรมานอยู่กับพ่อและแม่ของพวกเขาที่ไม่เคยแสดงความรักต่อพวกเขาเลย เหล่า Willoughbys เด็กจึงต้องวางแผนกำจัดพ่อแม่เพื่อเอาชีวิตที่ควรจะเป็นของพวกเขากลับมา

หนังได้ผู้กำกับแอนิเมชันอย่าง Kris Pearn จาก Open Season (2006) และ Cloudy with a Chance of Meatballs 2 (2013) มากำกับ แต่ความเนียนของ CGI ยังไม่เนียบขนาดนั้น โดยในเรื่องนี้จะมีเนื้อหาที่มีความโหดร้ายของการใช้ชีวิตของเหล่า Willoughbysกับพ่อแม่ของพวกเขาตลอดทั้งเรื่อง ที่ความโหดถูกทำให้เบาบางด้วยภาพ และมุขตลกที่สอดแทรกเข้ามา ทางที่ดีแล้วผู้ปกครองก็ควรให้คำแนะนำและให้คำปรึกษาเหล่าเด็ก ๆ เมื่อดูเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน (Rotten Tomatoes: 91%/iMDB Rating: 6.4/10)

UNCORKED

หนังที่มีชื่อไทยว่า “บ่มรักสู่ฝัน” ผลงานกำกับของผู้กำกับหน้าใหม่ Prentice Penny เล่าเรื่องราวของหนุ่มวัยรุ่นผิวดำชื่อ Elijah (รับบทโดย Mamoudou Athie จาก Underwater (2020)) ที่พาตัวเองออกจากการเรียนมหาวิทยาลัย ไปสู่เส้นทางความฝันในการเป็น “มาสเตอร์ซอมเมลิเยร์ (Sommelier Master)” ผู้เชี่ยวชาญไวน์ที่มีเพียงน้อยนิดบนโลกใบนี้ให้เป็นจริง ในขณะเดียวกันก็ต้องแบกความหวังของพ่อในการรับช่วงต่อร้านบาร์บีคิวชื่อดังของครอบครัวในเมืองเมมฟิสไปด้วย

คนดูจะได้เห็นตั้งแต่จุดเริ่มของอาชีพซอมเมลิเยร์ ที่พระเอกทำงานในร้านขายไวน์แล้วมีเจ้าของร้านเป็นซอมเมลิเยร์ที่ทำหน้าที่เลือกซื้อไวน์จากทั่วโลกมาขาย แล้วยังได้เห็นเรื่องราวการก้าวเข้าไปในโลกของซอมเมลิเยร์ที่ต้องสอบเข้าโรงเรียน Sommelier school ที่ค่าเรียนแสนแพง แถมยังต้องมีการเดินทางไปปารีสเมืองแห่งไวน์ด้วยค่าใช้จ่ายที่เกินตัวจนเกิดความขัดแย้งกับพ่อที่หวังให้ลูกสืบทอดร้านของตระกูลมาตลอด ในขณะที่แม่สนับสนุนให้ลูกไปตามฝัน แต่หนังก็ไม่ได้เน้นปมขัดแย้งดราม่าจนเกินเลยไปนัก คำชมที่ได้รับจากนักวิจารณ์ก็คือนักแสดงนำของเรื่องอย่าง Mamoudou Athie (Rotten Tomatoes: 91%/iMDB Rating: 6.2/10)

ชวนอ่าน 10 หนังดี-สุดมันจาก Netflix ปี 2020

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส