กลายเป็น Talk of the Town ระดับโลกไปเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา กับโชว์พักครึ่ง หรือ Halftime Show ระหว่างการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศของ NFL Super Bowl LV (ครั้งที่ 55) ซึ่งในปีนี้เป็นคิวของศิลปินหนุ่ม “The Weeknd” ได้ขึ้นทำการแสดง พร้อมกับโพรดักชันจัดเต็ม ที่งานนี้เขายอมควักเงินโปะค่าโพรดักชันเพิ่มเข้าไปอีก 7 ล้านเหรียญสหรัฐ เนรมิตตั้งแต่แสง สี เสียงให้ออกมาอลังการสมกับมนต์ขลังและความศักดิ์สิทธิ์ของ Halftime Show
แม้ว่ามันจะเป็นโชว์สั้น ๆ เพียงแค่ 14 นาที แต่ด้วยความที่ Halftime Show ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นการแสดงอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีแต่ศิลปินเบอร์ใหญ่ระดับโลกเท่านั้นที่จะได้มีโอกาสทำการแสดง และที่สำคัญคือ แฟน ๆ ทั่วโลกต่างก็ตั้งตารอคอยว่าในแต่ละปีจะมีใครมาทำการแสดง และจะมีอะไรมาเซอร์ไพรส์ให้ได้ว้าวกันบ้าง
Halftime Show ในแต่ละปีล้วนมีแต่โมเมนต์ที่น่าจดจำแตกต่างกันไป เลยขอหยิบเอา 10 โมเมนต์มหัศจรรย์จากการแสดง Halftime Show ที่น่าจดจำในแต่ละปีมาแนะนำกันครับ ซึ่งในรายชื่อนี้ ไม่ได้เป็นการเรียงลำดับความชอบใด ๆ ทั้งสิ้นนะครับ เพราะทุกโชว์ที่คัดมา ล้วนมีความน่าประทับใจแตกต่างกันไปทั้งสิ้น
แต่ก่อนอื่น ขอย้อนรอยไปหาต้นตอของ Halftime Show ในการแข่งขัน Super Bowl ก่อนนะครับ
ต้นกำเนิด Halftime Show ใน NFL
นับตั้งแต่การแข่งขันอเมริกันฟุตบอล หรือ Super Bowl ครั้งแรกสุดในปี 1967 รอบชิงชนะเลิศของ National Football League (NFL) การแสดงระหว่างพักครึ่ง หรือที่เรียกกันว่า Halftime Show นั้นไม่ได้มีอะไรมากกว่าการเป็นธรรมเนียมของการแข่งขันอเมริกันฟุตบอล ที่เมื่อแข่งขันครึ่งแรกจบลง ก็จะต้องมีการแสดงวงโยธวาทิต การแสดงเชียร์ลีดเดอร์ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ (อย่างที่เรามักจะได้เห็นเชียร์ลีดเดอร์นุ่งกระโปรงสั้นออกมาเต้นโชว์นั่นแหละครับ) หรือการแสดงของศิลปินเล็ก ๆ น้อย ๆ มาแสดงเพื่อคั่นเวลาเฉย ๆ ไม่ได้เน้นศิลปินระดับโลก แถมพ่วงโพรดักชันแบบจัดหนัก จัดเต็มชนิดกลายเป็นกระแสไวรัลไปทั้งโลกเหมือนอย่างทุกวันนี้
แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป หลังจากที่ Super Bowl กลายมาเป็นโพรแกรมถ่ายทอดสดในทีวี โดยเฉพาะในช่วงยุค 80’s – 90s’ ที่เรตติ้งเป็นตัววัดทุกอย่าง แม้ว่าเอาจริง ๆ เรตติ้งของ Super Bowl จะมีคนดูเป็นจำนวนมากแบบเรตติงถล่มทลาย ประมาณว่า “โกโบริตาย เขาทรายต่อย” อย่างนั้นเลย
แต่ก็อย่าลืมว่า ช่องทีวีหลายสิบช่องของอเมริกาที่ไม่ได้สิทธิ์ถ่ายทอด ก็มักจะเอาโพรแกรมเด็ดมา “ดักทาง” ยกตัวอย่างเช่น โพรแกรมหนังพันล้าน หรือรายการพิเศษต่าง ๆ เพื่อหวังจะดึงเรตติ้งจากคนไม่ดูอเมริกันฟุตบอล จนกระทั่งมาถึงปี 1991 ซึ่งเป็นปีที่ 25 ของการแข่งขันซูเปอร์โบวล์ NFL ก็เลยแก้เกม จัดการเปลี่ยน Halftime Show จากโชว์เชียร์ลีดเดอร์ธรรมดา ๆ ด้วยการดึงเอาบอยแบนด์ดังแห่งยุค 90’s อย่าง New Kids on the Block มาแสดงเป็นวงแรก พร้อมพาเหรดตัวการ์ตูนจาก Disney
หลังจากนั้น ช่วงเวลาพักครึ่งก็เลยไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป ช่วงเวลาไม่กี่นาทีระหว่างพักครึ่งกลายเป็นสิ่งที่คนทั้งโลกต่างรอคอยว่า ปีถัดไปจะมีใครมาร่วมแสดง และจะมีอะไรใหม่ ๆ มาเซอร์ไพรส์เราบ้าง
แน่นอนว่าพอคนรอชมเยอะ ก็มีผลต่อค่าโฆษณาด้วยเช่นกัน อย่างในปี 2021 นี้ ตัวเลขค่าโฆษณาซูเปอร์โบลว์อยู่ที่ 5.6 ล้านดอลลาร์ หรือราว ๆ 167 ล้านบาทต่อ 30 วินาที ย้ำนะครับว่า 30 วินาที !!! และที่สำคัญคือ เรตนี้ ขึ้นราคาเฉลี่ยขั้นต่ำ 10% ทุกปีด้วยนะครับ
ซึ่งใน Halftime Show แต่ละปีก็มีศิลปินดังระดับโลกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาแสดงโชว์บนเวทีนี้โดยที่ไม่ได้รับค่าตัวใด ๆ เพิ่มเติม เพราะถือว่าเป็นเกียรติอันสูงส่งของนักแสดงที่ได้รับโอกาสขึ้นโชว์บนเวทีนี้ (สมัยก่อนมีข่าวลือว่า ศิลปินยอมทุ่มจ่ายเงินก้อนใหญ่เพื่อแลกกับการขึ้นเวทีนี้ด้วยซ้ำ)
ซึ่งในมุมของศิลปิน แม้จะไม่ได้รับค่าตัวใด ๆ แต่ก็ได้สิ่งที่มีค่าในทางอ้อม ก็คือ “แอร์ไทม์” หรือช่วงเวลาที่คนทั้งโลกจะได้เห็นศิลปินคนนั้นไปพร้อม ๆ กันบน “สื่อ” ที่ทรงพลังที่สุดในโลกแบบฟรี ๆ นั่นเองล่ะครับ
ขอแถมเกร็ดอีกนิดหน่อยเกี่ยวกับ Halftime Show ครับ
รู้ไหมครับว่า เห็นโชว์ยิ่งใหญ่อลังการขนาดนี้ แต่ทีมงานมีเวลาเซ็ตฉาก และระบบแสงสีเสียงเพียงแค่ไม่เกิน 6 – 7 นาทีเท่านั้น! คือนับตั้งแต่การแข่งขันครึ่งแรกจบ ก็จะมีการตัดเข้าโฆษณาของสถานี ช่วงนั้นแหละที่ทีมงานจะเข้ามาเซ็ตทุกอย่างจนเสร็จภายในเวลาเพียง 6-7 นาที ส่วนจะวุ่นวายขนาดไหน ลองดูเบื้องหลังการเซ็ตเวที Halftime Show ใน Super Bowl ครั้งที่ 51 (โชว์ของ Lady Gaga) คลิปนี้ครับ
10 โมเมนต์ Halftime show ในความทรงจำ
โมเมนต์ Justin Timberlake กระชาก “เสื้อ” Janet Jackson
(Halftime show 2004 / Super Bowl XXXVIII)
จะเรียกว่าเป็นโมเมนต์ “อ้าปากค้าง” ของยุคนั้นเลยก็ว่าได้ ในการแข่งขันซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 38 ในปี 2004 ซึ่งเป็นการโชว์ของ Justin Timberlake และ Janet Jackson ในขณะที่กำลังโชว์ปล่อยลีลาการเต้นสุดมันในเพลง “Rock Your Body”
ปรากฏว่าพอ 2 วินาทีสุดท้าย พ่อหนุ่มทิมเบอร์เลก กลับเอื้อมมือจากด้านหลังไปกระชากเสื้อของเจเน็ตขาดจนเห็นหน้าอกข้างหนึ่งแบบแวบ ๆ ก่อนจะเฟดหายไปกับความมืด คือจริง ๆ แล้วตลอดโชว์ของทั้งคู่น่ะก็เจ๋งดีอยู่ล่ะครับ แต่ดันโดนไอ้ 2 วินาทีนั้นมาแย่งซีนจนทำให้คนทั้งโลกอ้าปากค้าง ส่วนคนจัดงานก็วุ่นวายเพราะโดนสั่งปรับ แถมยังต้องออกกฏระเบียบควบคุมเรื่องการแต่งกายในการแสดงคอนเสิร์ตกันยกใหญ่
โมเมนต์เพื่อนสาว Beyoncé และ “Destiny’s Child รีเทิร์น”
(Halftime show 2013 / Super Bowl XLVII)
ใน Super Bowl ครั้งที่ 47 นี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ดีว่าตัวแม่อย่าง “บียอนเซ” ที่ได้ขนเพลงฮิตออกมาระเบิดพร้อมกับเอฟเฟกต์ไฟและกลุ่มควัน ลำพังแค่ขึ้นอินโทรเพลง “Love on Top” มาแบบกรุบกริบ แค่นี้ก็สามารถเรียกเสียงกรี๊ดจากบรรดาลูก ๆ ของแม่บีได้แบบปังมาก ปังไม่หยุด ปังไม่ไหว
ยิ่งพอเปิดด้วยเพลง “Crazy in Love” เพลงฮิตที่สุดของแม่บี จังหวะนี้บอกเลยว่า ปังปุริเย่มากแม่… แต่ความปังยังไม่หมด! เพราะงานนี้ยังเป็นการ “รียูเนียน” แบบย่อม ๆ ด้วย เพราะแม่บีพาเพื่อนสาว Kelly Rowland และ Michelle Williams มารวมพลังเกิร์ลกรุ๊ป Destiny’s Child กันอีกครั้ง หลังจากแยกย้ายกันมานาน เรียกได้ว่าเป็นโชว์เพื่อนหญิงพลังหญิงที่ปังสุดอะไรสุด!
โมเมนต์ Diana Ross นั่ง “เฮลิคอปเตอร์” แบบปัง ๆ
(Halftime show 1996 / Super Bowl XXX)
ขึ้นแท่นไฮดรอลิก โชว์เพลงฮิตแบบจัดเต็ม 12 นาทีไม่มีพัก แดนเซอร์หลายร้อยชีวิตที่นับยังไงก็ไม่ถ้วน การแปรขบวนอักษรที่ดูก็รู้เลยว่าออกแบบและซ้อมกันมาดี สิ่งเหล่านี้ทำให้โชว์พักครึ่งของ Diana Ross ดีวาระดับตำนาน กลายเป็น Halftime show ที่เต็มไปด้วยความอลังการจนยากจะหาใดมาเปรียบ เป็นโชว์ที่บางทีเราก็จินตนาการไม่ออกเลยว่า กะอีแค่ 12 นาทีทำไมถึงจัดเต็มกันได้ขนาดนี้
แต่เหนือสิ่งอื่นใด โมเมนต์สุดท้ายของโชว์ที่ทำให้คนทั้งในและนอกสนามตื่นตะลึงได้นั่นก็คือ เฮลิคอปเตอร์ลำใหญ่ที่บินมาลงจอดกลางสนาม หลังจากนั้นแม่ Diana Ross ก็ก้าวเข้าไปนั่งหน้าประตู แล้วค่อย ๆ บินออกไปจากสนามแบบปัง ๆ สมศักดิ์ศรีดีวาตัวแม่จริง ๆ
โมเมนต์ “เมจิก” ของ Michael Jackson
(Halftime show 1993 / Super Bowl XXVII)
ความสำคัญของโชว์พักครึ่งใน Super Bowl ครั้งที่ 27 ประจำปี 1993 นี้ ไม่ใช่เพียงแค่ว่า Michael Jackson เป็นศิลปินคนแรกที่ได้ขึ้นแสดงโชว์ “เดี่ยว” เหมาเวทีคนเดียว 7 นาทีตลอดโชว์ และถ่ายทอดสดยาว ๆ โดยไม่มีการตัดเข้าโฆษณาแต่เพียงเท่านั้น แต่การมาของราชาเพลงพอปยังทำให้ Halftime show ไม่ใช่เพียงแค่คอนเสิร์ตคั่นเวลา แต่มันถูกเปลี่ยนให้กลายเป็น “พื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์” ของศิลปินดังระดับโลกไปตลอดกาลจนถึงบัดนี้
ส่วนการแสดงของ MJ แค่ซีนเปิดตัวก็ต้องเรียกได้ว่าสุดจริง เพราเขาเล่นโดดโผล่ขึ้นมาจากจอสกอร์บอร์ดยักษ์ข้างสนามเลย ก่อนที่ MJ “ตัวจริง” จะปรากฏพรึ่บขึ้นที่เวทีหลักกลางสนาม ท่ามกลางเสียงกรี๊ดจากคนดูที่โหมกระหน่ำตลอดโชว์ แบบนี้ไม่เรียกว่า “เมจิก” ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกอะไรดี
โมเมนต์ “แฟนตาซี” สุดตระการตา ของ Katy Perry
(Halftime show 2015 / Super Bowl XLIX)
หลายคนที่ได้ยินว่า Katy Perry จะขึ้นแสดง Halftime show ต่างก็ค่อนขอดและสบประมาทเธอ (ในตอนนั้น) ว่าแต้มบุญบารมีไม่น่าจะเพียงพอสำหรับมาโชว์ในงานนี้หรือเปล่า แต่ไม่เลย เพราะในที่สุด โชว์ในปีนี้ก็สามารถทำลายสถิติโชว์ที่มีคนดูถ่ายทอดสดทางทีวีมากที่สุดในโลกมากกว่า 120 ล้านคน! ซึ่งสิ่งที่เธอนำเอามาโชว์ ก็เป็นการเล่นกับความบ้าพลัง ครีเอทีฟ สดใหม่ และแฟนตาซีในสไตล์เธอนั่นแหละ
ทั้งการเปิดตัวบนสิงโตทองคำตัวใหญ่ยักษ์ การมาร่วมแจม “I Kissed a Girl” แบบร็อกไฟลุกกับ Lenny Kravitz และไฮไลต์สุดน่ารักในเพลง “California Gurls” และ “Left Shark” ที่มีน้อนบอลชายหาดกับน้อนฉลามออกมาร่วมแดนซ์ และปิดท้ายโชว์แบบปัง ๆ กับการลอยบนอากาศไปพร้อมกับดาวหาง ลอยเด่นท่ามกลางพลุในเพลงฮิตอย่าง “Firework” กลายเป็นโชว์พักครึ่งที่ลบคำสบประมาทไปได้แบบ “แฟนตาซี”
อ่านต่ออีก 5 อันดับ คลิกที่นี่ หรือคลิกที่หน้า 2 ได้เลยครับ
10 โมเมนต์ Halftime show ในความทรงจำ (ต่อ)
โมเมนต์ “วางชามปีกไก่ลงซะ!!!!” ของ Bruce Springsteen & the E Street Band
(Halftime show 2009 / Super Bowl XLIII)
“สิบสองนาทีต่อจากนี้ บอกเลยว่า พวกคุณจะได้รับความสะใจจากเรา The E Street Band !!! แต่ก่อนอื่นนะ วางชามนาโชส์ ชามปีกไก่ที่กำลังกินลงซะ !!! อ้อ! แล้วก็เปิดเสียงทีวีในบ้านคุณให้ดังที่สุดด้วย !!! ”
นี่คือประโยคที่ป๋าบรูซ สปริงสทีน ได้ตะโกนปลุกใจทั้งคนในสนาม และฝากไปถึงผู้ชมทางบ้าน ก่อนจะวาดลวดลายอเมริกันร็อกสไตล์ป๋าแบบจัดเต็มตลอด 12 นาที หลังจากที่ป๋าเองก็บอกปัดไม่อยากมาโชว์อยู่นานหลายปี ป๋ายอมมาทั้งที มีหรือจะผิดหวัง เพราะงานนี้ป๋าหยิบเอาเพลงร็อกสไตล์อเมริกัน (แน่นอนว่าต้องมีเพลงฮิต “Born to Run” ด้วย) โอเค แม้โชว์นี้จะไม่ได้อลังการดาวล้านดวง แต่ด้วยพลังเต็มสูบของป๋า ทั้งปีนเปียโน สไลด์เข่าเข้าหาแฟนเพลง เรียกว่าใส่เต็มพลังทุกเพลงตลอดโชว์ พร้อมด้วยกลิ่นอายความอเมริกั๊น อเมริกัน คนที่ดูก็รู้สึกสะใจแบบพลังงานเต็มหลอด แบบที่ของกินอะไรก็คงไม่จำเป็น
โมเมนต์รวมมิตรเพลงฮิต Halftime Show โดย Coldplay, Beyonce และ Bruno Mars
(Halftime show 2016 / Super Bowl 50)
ในปี 2016 คือปีครบรอบ 50 ปีของการแข่งขันซูเปอร์โบวล์ ซึ่งโชว์พักครึ่งนี้เป็นการผสมผสานระหว่างวงร็อกอังกฤษ Coldplay และการกลับมายังเวที Halftime show อีกครั้งของ Beyonce และ Bruno Mars แม้ว่าแนวทางเพลงของทั้ง 3 ศิลปินจะต่างกันสุดขั้ว แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่า เราจะสามารถดูโชว์ทุกเพลงจากทุกศิลปินได้อย่างไหลลื่นเป็นเนื้อเดียว ภายใต้ธีมโพรดักชันสายรุ้งสดใส
โดย Coldplay เริ่มเปิดด้วยเพลงฮิตอย่าง “Viva la Vida” และ “Paradise” ก่อนส่งต่อไป “Uptown Funk” ของบรูโน และ ”Formation” ของแม่บี และไฮไลต์เพลง “Fix You” ที่มาพร้อมกับ VTR ทริบิวต์ให้กับ Halftime Show ระดับตำนานในอดีต พร้อมกับการสอดแทรกชื่อเพลงของศิลปินเหล่านั้นลงไปในเพลงด้วย เรียกว่าเป็นโชว์รวมมิตรเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีที่กลมกล่อมจริง ๆ
โมเมนต์ขุ่นแม่ Lady Gaga กับโชว์ชวน “โดด”
(Halftime show 2017 / Super Bowl LI)
ถ้าจะให้จำกัดความ Halftime Show ครั้งที่ 51 ของขุ่นแม่เลดี้กาก้า ก็น่าจะเปรียบได้กับ “ฟลอร์เต้นรำ” ที่สุดพลัง วิบวับ เร่าร้อน หนักแน่น และ Hype คนดูให้คึกคักชวนเต้นได้ตลอด 13 นาทีแบบเส้นกราฟไม่มีตก ตั้งแต่เปิดโชว์ก็เล่นใหญ่ด้วยการขึ้นไปร้องเพลงปลุกใจบนหลังคาสนาม NRG Stadium รัฐเท็กซัส และมีโดรนติดไฟนับร้อยตัวบินบนท้องฟ้าเป็นเบื้องหลัง แถมยังแปรเป็นภาพธงชาติสหรัฐอเมริกาได้อีกต่างหาก
ก่อนที่จะกระโดดดิ่งตัวมาระเบิดความมันกับเพลงฮิตทั้ง “Poker Face,” “Born This Way,”, “Just Dance”, “Telephone” ซึ่งเธอก็ทั้งโดด ร้อง เต้น บินเกาะสเตชัน เล่นเปียโนไปด้วยแบบไม่ยอมหยุดพักหายใจ พร้อมกับวิชวลแสงสี ป้ายไฟ เลเซอร์วิบวับเหมือนอยู่ในงานปาร์ตี้อย่างไรอย่างนั้น ก่อนที่จะปิดโชว์แบบสวย ๆ อีกครั้งด้วยการทิ้งไมค์ รับลูกบอล แล้วดิ่งลงมาจากบันไดหายตัวไปแบบเป๊ะ ๆ ปัง ๆ สไตล์ขุ่นแม่เขาล่ะ
โมเมนต์ “รำลึก 9/11” โดย U2
(Halftime show 2002 / Super Bowl XXXVI)
ซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 36 นี้ถูกจัดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ 9/11 เพียง 5 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อเมริกา และชาวอเมริกันยังอยู่ในห้วงของความหม่นหมอง แม้ว่าจะมีเสียงคัดค้านว่าปีนี้ควรงดจัด แต่ในที่สุดก็ยังคงยืนยันที่จะจัดซูเปอร์โบวล์ พร้อมกับ Halftime show ต่อไป เพื่อหวังว่าทุกอย่างจะกลับมาสดใสดังเดิม โดยคราวนี้เป็นคิวของวงดนตรีร็อกรุ่นใหญ่อย่าง U2 ที่วงเลือกเปิดด้วยเพลง “Beautiful Day” ก่อนจะเดินขึ้นมาแสดงต่อบนเวทีรูปหัวใจ เพื่อมอบกำลังใจแก่ทุกคน
แต่ที่เป็นเซอร์ไพรส์ที่สุดก็คือเพลง “Where the Streets Have No Name” ที่ไม่ใช่แค่โชว์ร้องเล่นอย่างเดียว แต่คราวนี้บนเวทีมีจอผ้าที่สูงเท่ากับหลังคาหลุยเซียนาซูเปอร์โดม พร้อมรายชื่อผู้เสียชีวิตทั้งหมดในเหตุการณ์ 9/11 ทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่นับพันชีวิตขึ้นมาเป็นฉากหลังด้วย! แม้ว่าจะดูหดหู่ และหลายคนดูแล้วก็ต้องหลั่งน้ำตาให้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือ Halftime Show ที่ “ทรงพลัง” จริง ๆ
โมเมนต์ “สายฝนสีม่วง” ของ Prince
(Halftime show 2007 / Super Bowl XXXVI)
โดยปกติซูเปอร์โบวล์มักไม่ค่อยฝนตก แต่ไม่ใช่กับซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 41 ที่เกิด “ฝนตกห่าใหญ่ ณ ไมอามี” ขึ้นเสียอย่างนั้น แต่ Prince กลับไม่ได้มองว่าเป็นอุปสรรคแต่อย่างใด เขาเลือกที่จะโชว์มันทั้งฝนตกอย่างนั้นแหละ แล้วด้วยความที่เลือดศิลปินแรง เขาเลือกที่จะเล่นกีตาร์จริง ๆ ทั้ง ๆ ที้ใช้ Backing Track (แทร็กเบื้องหลัง) แล้วเล่นซิงก์เอาเลยจะง่ายกว่ามาก เล่นเอาทีมงานเครียดประสาทกินกันไปเลย
แต่ในที่สุด ขบวนโชว์เพลง We Will Rock You ของวง Queen และเพลง All Along The Watchtower ของ Bob Dylan พร้อมมนต์เสน่ห์เสียงกีตาร์สด ๆ อันหนักหน่วง ก็ปลุกเร้าคนทั้งเวทีให้ลุกขึ้นเต้นกลางฝนปรอย ๆ ได้ ก่อนจะเข้าสู่เพลงของเขาเองอย่าง “Purple Rain” ที่ช่วงนั้นฝนดันตกห่าใหญ่ท่ามกลางแสงสีม่วงที่อาบไปทั่วทั้งสนาม กลายเป็น “ฝนสีม่วง” แบบเหมาะเหม็ง กลายเป็นโมเมนต์ประทับใจที่หลายคนดูแล้วฟินจนต้องหลั่งน้ำตา และกลายเป็นโชว์ที่ทรงพลังที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์แห่ง Halftime show
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส