Release Date
08/04/2021
ความยาว
110 นาที
Our score
7.0Mortal Kombat
จุดเด่น
- คอเกมน่าจะพอใจที่ได้เห็นตัวละครหลายตัวมามีชีวิตบนจอ กับฉากพิฆาตโหด ๆ เท่ ๆ แถมการขยายที่มาที่ไปของหลายตัวละครที่ดูดี
จุดสังเกต
- หนังเอาใจคอเกมมากกว่าผู้ชมหน้าใหม่ ตัวละครมีความเบียว หนังวางการจับคู่สู้ได้ไม่ค่อยลงตัว หลายฉากก็ยัดมาแบบไร้เหตุผล บางตัวละครก็ตายง่ายเกิน
-
บท
5.0
-
โปรดักชัน
7.0
-
การแสดง
6.0
-
ความสนุก โหดตามเกมต้นฉบับ
6.5
-
ความคุ้มค่าการรับชม
7.0
เรื่องย่อ โคล ยัง นักสู้บนสังเวียน MMA ผู้คุ้นเคยกับการต่อสู้เพื่อแลกกับเงิน เขาไม่รู้เลยว่าเขาได้สืบทอดมรดกแสนล้ำค่าบางอย่างมา ในขณะเดียวกันนั้น ชาง ซุง จักรพรรดิแห่ง Outworld ก็ได้ส่งนักรบที่เก่งกาจที่สุดของเขาอย่าง ซับ-ซีโร มาเพื่อตามล่าโคล จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้โคลต้องเตรียมพร้อมรับมือกับศัตรูผู้มาจาก Outworld ในการต่อสู้ที่มีเดิมพันสูงที่สุดในจักรวาล
เกม ‘Mortal Kombat’ เป็นเกมคอมพิวเตอร์แนวต่อสู้ที่ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องความรุนแรง และถูกเพ่งเล็งในวาระที่เกิดคดีก่อความรุนแรงจากเยาวชนที่เล่นเกมมาเสมอ (เคียงคู่กับเกม GTA) แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าถึงผู้ปกครองรุ่นเก่าจะไม่ชื่นชอบมันอย่างไร ทว่าตัวเกมนี้ก็ได้รับความนิยมสูงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ภาคแรกออกในปี 1992 จนปัจจุบันก็ออกมาถึง 11 ภาคเข้าไปแล้ว
สำหรับคอหนังน่าจะจำได้จากการที่มันเคยทำมาเป็นหนังคนแสดงในปี 1995 ในชื่อ Mortal Kombat เป็นงานกำกับเรื่องแรก ๆ ของผู้กำกับ ‘Resident Evil’ (2002) อย่าง พอล ดับเบิลยู.เอส. แอนเดอร์สัน (Paul W.S. Anderson) โดยที่น่าจะติดตาชาวไทยคงเป็นฉากหลังของหนังที่มาถ่ายทำในไทยแทบทั้งเรื่อง ส่วนตัวยังจำดราม่าเรื่องชาวบ้านร้องเข้าตรวจสอบกองถ่ายทำลายโบราณสถานได้อยู่เลย (แน่นอนว่าเป็นเพียงฉากที่ทำจำลองของจริงจนแยกไม่ออก)
ซึ่งในฉบับหนังก็ยังคงดึงเสน่ห์แบบหนังบู๊มาเชียลอาร์ตยุค ฌอง-คล็อด แวน แดมม์ (Jean-Claude Van Damme) อย่าง ‘Kickboxer’ ปี 1989 (ซึ่งถ่ายในไทยด้วย) ออกมาได้อย่างสมจริงสมจัง บวกพลังเหนือมนุษย์แบบแฟนตาซีที่ทำให้หนังยิ่งดูสนุกขึ้น แต่หลังจาก ‘Mortal Kombat: Annihilation’ ภาคต่อในปี 1997 ที่เป็นผลงานเรื่องแรกของผู้กำกับ จอห์น อาร์. ลีโอเน็ตติ (John R. Leonetti) จากหนัง Annabelle (2014) หนังตระกูลต่อสู้ชุดนี้ก็เงียบหายไป โดยเสียงร่ำร้องที่สำคัญมาก ๆ คือควรมีหนังที่รุนแรงได้เรตสูง ๆ ให้สมกับความโหดของเกมได้แล้ว
การมาของ Mortal Kombat (2021) จึงมีโจทย์สำคัญที่ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ของหนังอย่าง ไซมอน แมกควอยด์ (Simon McQuoid) ผู้กำกับหนังโฆษณาชาวออสเตรเลีย และชิมลางมากำกับหนังเรื่องแรก ต้องแบกรับความคาดหวังมหาศาลไปเต็ม ๆ และส่วนตัวก็ไม่ได้คาดหวังกับเนื้อเรื่องใด ๆ มากนัก ขอแค่ฉากต่อสู้สนุก ๆ มัน ๆ เท่านั้นก็พร้อมเทคะแนนให้แน่นอน
และต้องบอกว่าหลาย ๆ อย่างที่หนังประเคนให้มา น่าจะสะใจคอเกมพอสมควร ทั้งการต่อสู้มัน ๆ ยาว ๆ ฉากหลังที่เอามาจากตัวเกมหลายฉาก ตัวละครที่เลือกมาอัดกันกว่า 10 ตัว และแน่นอนท่าจบโหด ๆ เท่ ๆ ที่ถ้าเป็นแฟนเกมนี้ต้องกรี๊ดกร๊าดแน่ ๆ
และหนังก็ใช้ความที่ตั้งใจให้ได้เรตอาร์ ได้อย่างดี ฉากเปิดเรื่องกับการเปิดตัวร้ายประจำภาคอย่าง ปี่หาน หรือ ซับซีโร่ นั้น เราลุ้นจนเกร็งไปหมดว่าพี่แกจะโหดขนาดไหน เพราะหนึ่งในเหยื่อที่หนังเปิดให้เชือดคือเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งด้วย ทว่าน่าสนใจว่าแม้หนังจะไม่แคร์เรื่องเรต แต่ก็ยังอัดฉากโหด ๆ แบบชวนคลื่นไส้ตามตัวเกมมาน้อยกว่าที่คิด ทำให้มีความเป็นหนังต่อสู้ทั่วไป ที่นาน ๆ ทีจะมีฉากโหดอ้วกพุ่งสักครั้งหนึ่ง
ซึ่งไอ้ความโหดที่มาไม่ต่อเนื่องพอ ยังทำให้ภาพรวมหนังดูห่างไกลคนดูมากขึ้นด้วย เพราะเหมือนตัวละคร 2 กลุ่มยกพวกตีกันเอง แม้จะอ้างว่ามีโลกเป็นเดิมพัน ทว่าเราในฐานะคนดูดันไม่รู้สึกความยิ่งใหญ่อะไรแบบนั้นเลย เพราะฉากที่ควรโหดใส่คนเดินถนนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ให้เห็นความเหี้ยมของอาณาจักรที่อยากมายึดครองโลก มันกลับไม่มีใครเจ็บใครตายเลยนอกจากพวกตัวละครหลัก ตรงนี้น่าเสียดายเหมือนกัน เพราะจะเสริมอารมณ์เรื่องได้อีกเยอะ
และที่เซอร์ไพรส์มากกว่าคือ หนังมีความตลกสอดแทรกอยู่ตลอด โดยเฉพาะตัวละคร เคโน นี่น่าจะเรียกว่าตัวขโมยซีน และตัวละครที่น่าสนใจที่สุดของเรื่องได้เลยตลอดครึ่งเรื่องแรก พวกมุกตลกคำพูด หรือจังหวะนรกนี่มาแบบเซียนมาก ๆ ดีหลายมุก
นอกจากนี้มุกตลกประเภทแซวตัวเกมอย่าง ล้อคำสะกด Kombat หรือท่ากระโดดที่ถูกเตะตัดขาแบบในเกมก็เรียกว่าเป็นมุกชั้นดีที่ใครเล่นเกมมา น่าจะได้หลายฮาอยู่
แต่ที่ไม่ดีก็มี คือหนังมีความฮาที่ไม่ตั้งใจมากเกินไป ซึ่งถ้าว่ากันตามภาษาเด็ก ๆ ก็เรียกว่ามีความเบี้ยวอยู่ไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่น การเต๊ะท่า หรือเก๊กพูดคำคม ที่ตัวละครโคตรมั่นใจว่าเท่แน่ ๆ แต่คนดูจะรู้สึกว่าผิดที่ผิดทาง ทำอะไรของเอ็งฟระ เป็นต้น หรือบางฉากก็มีความฮาในตัวเองอย่าง ตัวละครพูดว่า ฉันไม่ใช่ศัตรูของพวกนายนะ แต่ก่อนพูดเพิ่งซัดลูกพลังใส่คู่สนทนาไปหมาด ๆ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งพบหน้ากัน หรืออีกฉากหนึ่ง ตัวละครพูดว่า ผมได้รวบรวมนักสู้เหล่านี้มาแล้ว ซึ่งจริง ๆ กลุ่มตัวละครเดินทางมาตามหาที่ฝึกวิชานี้กันเอง แล้วตัวละครทุกตัวก็ทำเหมือนไม่มีอะไรผิดตรรกะเกิดขึ้น แต่ทว่าในหัวคนดูคือ ขำไปแล้ว ว่าอะไรของคุณเอ็งฟระ ประมาณนี้
ซึ่งในหนังยังมีฉากแบบนี้อีกหลายฉาก ที่ฮาสุดคงเป็นการเดินเข้าฉากมาทื่อ ๆ ของโคตรตัวร้ายของเรื่อง แบบละครเวทีเดินจากหลังม่านเข้าฉากมา ทั้งที่ควรมาแบบพลังเท่ ๆ อะไรแบบนั้น แล้วตัวร้ายนี่ก็แบบมั่นหน้าเดินมาเลยด้วย ว่าข้าโคตรเท่ อืม น่าเกรงขามตรงไหนล่ะนั่น
นอกจากนี้หลายฉากที่ควรเท่ได้อีก เท่ได้กว่านี้หนังก็เหมือนขาดนิด ๆ หน่อย ๆ ตลอด แบบหลายฉากรู้สึกเสียดายแทนว่าเพิ่มอีกนิดน่าจะสวยเลย โดยเฉพาะการเลือกจับคู่ตัวละครที่มาสู้กัน เสียดายมาก ๆ ถ้าจับคู่ใหม่ดี ๆ น่าจะลงตัวกว่านี้เยอะมาก แล้วเรื่องจะไม่อืดตอนฝึกวิชา แล้วต้องไปรีบ ๆ อัด ตัดทอนการต่อสู้สำคัญ ๆ ในตอนท้ายเสียหลายคู่เลย บางตัวละครยังโชว์ของไม่คุ้มเลย ตายซะแล้ว ตรงนี้คิดว่าคนทำพลาดสุดแล้ว
มองแบบแฟนเกมไปแล้ว ลองถ้ามองในแง่ความเป็นหนังแอ็กชันต่อสู้ ก็ต้องบอกว่าเนื้อเรื่องพอใช้ได้เลย ทว่ามันขาดความน่าสนใจไปนิด เทียบกับสถานการณ์ที่เหล่านักสู้เดินทางไปชิงรางวัลโดยไม่รู้จุดหมายปลายทางแท้จริง และใช้ความเป็นทัวร์นาเมนต์แบบหนังกีฬาเสริมรสชาติไป อย่างในปี 1995 ในหนังปี 2021 นี้มีโครงเรื่องที่ใหญ่กว่าแบบเดิมพันโลก แต่ดันมีซับพลอตที่คนดูสนใจกว่าอย่างความแค้นคู่ระหว่าง ซับ-ซีโร่ และ สกอร์เปียน ซะงั้นเลย
และหนังก็เร่งเข้าเนื้อเรื่องความขัดแย้งระหว่างสองโลกแต่มาแบบเล่าหนังสือกลางเล่มคนดูไม่ทันอินก็โดนบังคับอ่านต่อเลยกลายเป็นความไม่ค่อยสนุกเต็มอารมณ์นัก ตัวแทนสายตาคนดูอย่าง โคล ยัง ก็ไม่ได้ทำหน้าที่พาคนดูไปรู้จักโลกของหนังได้ดีพอ เหตุผลหลาย ๆ อย่างก็ออกจะแถ ๆ จนทำลายความสมจริงไปเหมือนกัน อันนี้น่าจะโดนใจสาวกคอเกมที่พอรู้เรื่องราวมาบ้างมากกว่าผู้ชมหน้าใหม่ที่อาจรู้สึกเรื่องเดินไวแบบมั่ว ๆ
และแม้จะมีจุดให้ติงด้วยความเสียดายมากมาย ทว่าก็ยอมรับว่าหนังมีจุดดีจุดแข็งที่เพียงพอให้ไปรับชมอยู่ดีนั่นเอง ไม่ดีมากแต่ภาพสวย มุกฮามี แอ็กชันก็เยอะดี เรียกว่าเพลินใช้ได้เลย
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส