ตั้งแต่ที่ ‘ทอม อิศรา กิจนิตย์ชีว์‘ ทำงานในวงการบันเทิงตั้งแต่เด็ก เรามักรู้จักเขาในฐานะที่เขามีชื่อห้อยท้ายตามมาโดยตลอด ทั้ง ‘ทอม ส้มฉุน’ ในละครเรื่อง ‘เรือนมยุรา’ จนกระทั่งเขาโตขึ้น และกลายมาเป็นนักร้องในฐานะศิลปินวง ‘ทอม ROOM39’ และพลิกชีวิตแบบข้ามคืน กับการสวม ‘หน้ากากทุเรียน’ ในรายการ ‘The Mask Singer’

ณ ตอนนี้ เขากลายเป็น ‘TOM ISARA’ ในแบบที่ไม่มีอะไรต่อท้ายชื่ออีกต่อไป พร้อมกับฐานที่มั่นที่เขาสร้างขึ้นด้วยตัวเองในฐานะศิลปินเดี่ยว สร้างผลงานเพลงเอง ลงทุนเอง เปิดแชนแนลเองแบบไม่พึ่งพาระบบค่าย เพื่อหวังต่อยอดความรักในการเป็นศิลปินของเขา

‘TOM ISARA’ ในวันนี้เป็นใคร เขากำลังจะ “ไปต่อ” ในฐานะศิลปินเดี่ยวอย่างไร เขาพร้อมแล้วที่จะค่อย ๆ เล่าให้เราฟัง


ชมบทสัมภาษณ์ ‘ทอม อิศรา’ ในรูปแบบคลิปได้ที่นี่


บทที่ 1

‘ทอม อิศรา’

ทอม อิศรา

เท่าที่ทราบก็คือ ตอนนี้คุณออกมาทำเพลงเองแล้ว ลงทุนเอง ทำโปรดักชันเอง ทำแชนแนลเอง จุดเริ่มต้นมาจากไหน

จุดเริ่มต้นมันมาจากที่ตอนนี้ เรามาเป็น ‘ทอม อิศรา’ แล้วเนี่ย เราออกมาจากวง ‘ROOM39’ แล้ว ก็เลยต้องออกมาทำในสิ่งที่ตัวเองชอบต่อไป แต่ว่าจะด้วยวิธีไหนดี ก็เลยลองมานั่งคิดว่า เอ๊ะ ถ้าเราไม่ได้อยู่ในค่ายแล้ว เราจะสามารถทำเองได้หรือเปล่าวะ

ตอนแรกที่เริ่มต้นก็ยากนะ มันก็เป็นการเรียนรู้อีกแบบหนึ่งเหมือนกัน จากที่เราเองเคยอยู่ค่ายมาแล้วร่วมสิบปี แต่การที่เราลองออกมาทำอะไรด้วยตัวเองมันก็เป็นสิ่งที่ท้าทายดี จากที่เราเคยได้เห็นพี่ ๆ หรือผู้ใหญ่ในค่ายทำให้เราเห็น เราก็ไปเรียนรู้จากตรงนั้นมา

แต่ทุก ๆ อย่างมันก็ต้องเกิดขึ้นมาจากทีมเวิร์ก จะให้ผมทำเองคนเดียวหมดมันก็คงทำไม่ได้ขนาดนั้นหรอก มันก็ต้องมีทีมงาน มีน้อง ๆ หลังบ้านเข้ามาช่วยประชุมกัน วิเคราะห์ วางแผนไปด้วยกัน ซึ่งมันก็สนุกดีไปอีกแบบนะครับที่ได้เรียนรู้ และผมเองก็ยังโชคดีมาก ๆ ที่มีพี่ ๆ ที่เรารู้จักจากค่ายต่าง ๆ เช่น LOVEiS หรือ BEC หรือหลาย ๆ ค่ายก็ยื่นมือเข้ามาช่วย

ทอม อิศรา

พอจะเล่าได้ไหมว่าแต่ละส่วนยื่นมือเข้ามาช่วยคุณอย่างไรบ้าง

พี่ ๆ ทีมงานทุกคนจากค่ายต่าง ๆ พร้อมให้คำปรึกษาผมทั้งหมดเลยครับ หรือแม้กระทั่งศิลปินต่าง ๆ อย่างเช่นพี่ตู่ ภพธร พี่ ๆ วงลิปตา อะไรแบบนี้ครับ เราคุยกันเหมือนเพื่อน จนเหมือนเป็นคอมมูนิตีเล็ก ๆ ที่ศิลปินต่าง ๆ มานั่งคุยกัน มาคอยช่วยกันหาทางออกในแต่ละเรื่อง

แน่นอน คนก็จะสงสัยว่า ทำไมไม่ไปสังกัดกับค่ายล่ะ เพราะก่อนหน้านี้ก็มีข่าวลือว่าคุณกำลังจะไปสังกัดค่ายใหญ่ด้วย

จริง ๆ แล้วผมว่า การที่เราอยู่ด้วยตัวเองแบบ Independence กับการอยู่ในค่าย ความรู้สึกมันก็ต่างกันนะ ซึ่งมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งผมเองก็รู้ทั้งข้อดีข้อเสียอยู่แล้วแหละ แต่ผมก็ยังอยากที่จะลองทำสิ่งต่าง ๆ ที่ผมคิด ทำในสิ่งที่ผมอยากทำให้ออกมาด้วยตัวผมเองจริง ๆ มากกว่า

ในแง่หนึ่ง ก็เข้าใจด้วยว่าการทำเพลงในค่ายมันก็คือการลงทุนอย่างหนึ่ง แต่สิ่งที่ผมอยากทำตอนนี้คือ ผมอยากใช้ไอเดียที่ผมมี อยากใช้เงินที่ผมมี ในการสร้าง ในการปลดปล่อยงานศิลปะชิ้นนี้ออกไป โดยที่ผมไม่ได้คาดหวังมากว่ามันจะต้องสร้างเงิน สร้างรายได้ให้มหาศาลถึงร้อยล้านขนาดนั้น แต่ผมแค่อยากจะลองทำแบบนี้ดู อยากรู้ว่าเพลงแบบนี้ที่ผมทำ ถ้าปล่อยออกไปช่วงนี้มันจะสื่อสารอะไรกับคนได้บ้าง คนจะชอบในสิ่งนี้ ในสิ่งที่ผมเป็นหรือเปล่า

ผมคงจะรู้สึกดีมาก ๆ ถ้าสิ่งที่ผมทำขึ้นมาแล้วมีคนชอบ เหมือนว่าถ้ามีคนวาดรูปรูปหนึ่ง ปรากฏว่ามีคนชอบ มีคนประมูลขึ้นไปถึงร้อยล้าน

ทอม อิศรา

แต่มันจะง่ายกว่าไหม ถ้าอยู่ค่ายแล้วมีคนลงทุนให้ ทำโปรโมตให้ ส่วนคุณเองก็แค่โฟกัสกับการทำเพลงไปอย่างเดียว

มันดีตรงที่มีคนลงทุนให้ มีคนคิดให้อยู่แล้ว มีทีมงานคอยช่วยซัปพอร์ตเราตลอดเวลา ดีตรงที่ไม่ต้องเสียเวลาจ้างทีมงาน จ้างพนักงานด้วย แต่ว่ามันเป็นความรู้สึกที่เราอยากจะเรียนรู้ อยากลองเป็นตัวเอง อยากพิสูจน์ตัวเอง อะไรแบบนี้ครับ โดยที่ผมเองก็มองข้ามในจุดนั้นไป จุดที่ว่าคนจะเอาเราไปเปรียบเทียบกับเมื่อก่อนไหม เอาเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ หรือเปล่า ซึ่งมันก็เป็นการฝึกให้ผมแข็งแกร่งขึ้นนะ

เพราะว่าถ้าผมยังคงอยู่ในค่าย ผมก็คงจะทำแบบเดิมไปเรื่อย ๆ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าในวันหนึ่ง ผมจะไปอยู่ที่จุดไหน ผมก็ยังมองตัวเองไม่ออกเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นเราวางแผนให้ตัวเองก่อนดีไหมว่าเราจะไปทางไหนดี แบบไหนที่เวิร์กสำหรับเรา

ทอม อิศรา

ณ ตอนนี้ คุณเป็น ‘ทอม อิศรา’ ที่ไม่ได้มีอะไรมาต่อสร้อยท้ายชื่อ คุณกลัวไหมว่า ผลงานเพลงที่คุณทำเอง อาจไม่ได้ประสบความสำเร็จเปรี้ยงปร้างเหมือนเมื่อก่อน

ผมไม่กังวลนะ ผมรู้สึกว่า ผมต้องสร้างความภาคภูมิใจให้ตัวเองสิ ผมคิดว่า ผมจะเป็น ‘ทอม อิศรา’ ยังไงให้คนจดจำในสิ่งที่ผมทำด้วยตัวเอง คือผมเองมีโอกาสได้อยู่ในวงการนี้มานานมาก ๆ แล้ว ตั้งแต่สมัยก่อนตอนเด็ก ๆ ที่ผมเล่นละคร คนก็เรียกผมว่า ‘ส้มฉุน’ พอโตขึ้น คนก็จะเรียกผมอีกแบบหนึ่ง เป็น ‘ทอม ROOM 39’ อีกช่วงหนึ่ง คนก็มาเรียกผมว่า ‘หน้ากากทุเรียน’

มันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ อยู่แล้วครับ ผมคงไม่สามารถอยู่วงการเดิมได้ไปตลอดชั่วชีวิต ผมอยากสร้างอะไรใหม่เรื่อย ๆ มากกว่า อยากให้คนเห็นผมในหลาย ๆ ด้าน แล้วก็อยากให้ตัวเราเองมีความสามารถหลาย ๆ ด้านด้วยแหละ มากกว่าที่จะหากินกับของเก่าไปตลอด

อยากรู้ในเชิงเทคนิคนิดหน่อยว่า การที่จะมาทำเพลงเอง ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

จริง ๆ มันก็ไม่ได้ยาก แต่ก็ไม่ได้ง่ายเสียทีเดียว ทุก ๆ อย่างมันก็มีความยากง่าย อย่างตอนนี้ที่ผมกำลังทำเพลงเองใช่มั้ยครับ อย่างเรื่องของโปรดิวเซอร์ ก็ต้องมองก่อนว่าเราอยากจะสื่อสารอะไร เนื้อหาเป็นยังไง Key Message คืออะไร มีอะไรบ้าง อยากได้ซาวนด์ออกมาเป็นแบบไหน แล้วเราก็ค่อยไปหาโปรดิวเซอร์ที่เหมาะกับแนวเพลงนั้นจริง ๆ คนเขียนเพลงที่เล่าเรื่องราวแล้วเรารู้สึกจริง ๆ

ซึ่งตรงนี้เราสามารถเลือกได้ ในขณะที่เราอยากลองทำงานกับคนเดิม ๆ ไหม หรือลองเปลี่ยนทีมงานใหม่ ๆ ดู ซึ่งก็ถือว่าเป็นการทดลองไปเรื่อย ๆ ไม่ได้รู้สึกว่ามันยากจนรู้สึกท้ออะไรขนาดนั้น


บทที่ 2

อิศรา กิจนิตย์ชีว์

ทอม อิศรา

คุณเข้าวงการบันเทิงมาตั้งแต่เด็กเลย คุณพอนึกออกไหมว่าเป็นเพราะอะไร

เท่าที่ผมจำได้นะ ไม่รู้ว่าเด็ก ๆ ทุกคนจำได้หรือเปล่า คือผมเป็นคนที่ชอบแสดงออก ชอบเต้น ชอบร้อง ที่บ้านก็จะเลยจะให้ไปเต้น ไปร้องเพลงในงานโรงเรียน อะไรแบบนี้ครับ มันก็เป็นความสุข ความสนุกแบบเด็ก ๆ ที่ตอนนั้นก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวเท่าไหร่ จนกระทั่งอายุประมาณสิบกว่าขวบ การร้องเพลงก็ยังเป็นสิ่งที่ผมทำแล้วมีความสุขมาโดยตลอด จนพอย้ายไปอยู่ที่อเมริกา ก็ยังมีโอกาสได้ร้องเพลงอีก ซึ่งก็ไม่เคยทำให้ผมเบื่อนะ

แต่เอาจริง ๆ ผมไม่เคยมีความฝันว่าจะอยากจะเป็นศิลปินเลยนะ เพราะผมรู้สึกว่า มันไกลตัวเราเกินไป รู้สึกว่ามันยากนะ การที่จะเป็นศิลปินเนี่ย พี่ ๆ ที่เขาเป็นศิลปินกัน ต้องหล่อ ต้องดูดี ดูสมาร์ต ดูสูง เรารู้สึกว่าเราไม่ได้พร้อมกับตรงนั้น เรารู้สึกแค่ว่า ถ้าในชีวินหนึ่งของเรา มีโอกาสร้องเพลง มันก็เป็นโอกาสที่ดีกว่าหลาย ๆ คนแล้วนะ การที่เราออกไปร้องเพลงในร้านอาหารตอนกลางคืน ตอนกลางวันก็เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย เป็นชีวิตที่ผมว่ามันลงตัว

ทอม อิศรา

ตอนเด็กคุณเคยออกอัลบั้ม ‘ทอมตามหาเจอรี่’ ด้วย ตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

ใช่ครับ ตอนนั้นถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะประมาณ 10 ขวบครับ เพิ่งเล่นละครเรื่อง ‘เรือนมยุรา’ จบ พี่นก (ฉัตรชัย เปล่งพานิช) เป็นคนแนะนำเรากับค่ายเพลงหนึ่ง เพราะเห็นว่าตอนนั้นผมชอบเต้น ชอบร้องเพลง ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรครับ คิดแค่ว่ามันสนุกดี ผมโชคดีที่มักจะได้รับโอกาสดี ๆ เข้ามาบ่อย แล้วก็เลือกที่จะรับมัน

คุณตอนนี้เวลาเห็นผลงานเหล่านี้ คุณรู้สึกเขินบ้างไหม

จริง ๆ ก็เขินนิด ๆ นะ แต่ถ้าให้นึกย้อนกลับไป ผมว่าก็คงไม่เขินหรอกครับ เพราะ ณ ตอนนั้นมันก็คงเต็มที่ที่สุด ดีที่สุดเท่าที่มันจะเป็นได้แล้ว


(อ่านเรื่องราว ‘หน้ากากทุเรียน’ คลิกที่นี่)

(อ่านเรื่องราวของ ‘ทอม อิศรา’ คลิกที่นี่)


บทที่ 3

‘ทอม หน้ากากทุเรียน’

ทอม อิศรา

คุณกลายเป็น ‘หน้ากากทุเรียน’ ในรายการ ‘The Mask Singer’ ซีซัน 1 ได้อย่างไร

ตอนนั้นผมเป็นพิธีกรรายการ ‘สตูดิโอโกแกง’ ที่เป็นรายการเกี่ยวกับเพลงของ Workpoint แล้วตอนนั้นครีเอทีฟรายการของเวิร์กพอยต์ก็ชักชวนให้มาร่วมรายการ ‘The Mask Singer’ เขาก็บอกว่าทอมน่าจะโอเคนะ ผมตอนนั้นก็ “ได้ครับ ๆ ” เอาจริง ๆ ถ้าพูดกันตอนนั้นก็คือไม่มีงานนั่นแหละ (หัวเราะ)

ตอนนั้นก็คิดว่า มันก็ได้ร้องเพลง น่าจะสนุกอยู่แล้ว พอประชุมกันอีกรอบ เขาก็เอาเทปรายการเวอร์ชันของเกาหลีใต้มาให้ดู เราก็ โห…มันเป็นรายการที่เราต้องใส่หน้ากาก ร้องเพลงแข่งกันโดยที่ต้องไม่ให้ใครรู้เหรอเนี่ย… ผมว่ามันก็น่าจะแปลกใหม่สำหรับคนไทย แล้วก็สำหรับเราด้วย ผมก็ตบปากรับคำไป

แล้วพอเขามาถามว่า เราอยากใส่ชุดหน้ากากอะไร อยากให้คอนเซ็ปต์ออกมาเป็นตัวเราที่สุด พอดีตอนนั้นเราชอบกินทุเรียน เราก็เลย อ่ะ งั้นก็หน้ากากทุเรียนแล้วกัน ตลกดี ผมชอบ แล้วตอนที่ไปก็ไม่ได้บอกใครเลย เดี๋ยวถ้าเขารู้แล้วเขาจะลำบากใจเวลามีคนมาคาดคั้น

ทอม อิศรา

ตอนนั้นก็ลำบากใจนะครับ เวลามีคนมาถามว่าใช่มั้ย โดยเฉพาะช่วงรอบ 2 รอบ 3 จะบอกว่าไม่ใ่ช่ก็พูดไม่ได้ จะบอกว่าใช่เหรอ…ก็ไม่รู้ว่าจะปั่นไปทางไหนดี ก็เลยบอกได้แค่ว่า “เดี๋ยวรอดูเอาเถอะ คนในเวิร์กพอยต์เขาห้ามพูด”

แต่ว่าตอนที่ไปรอบแรก ผมกะว่าผมไปเพื่อตกรอบทุกรอบเลยนะ (หัวเราะ) แต่พอเข้ารอบจริง ๆ ก็ต้องมานั่งคิดอีกว่าจะใช้เพลงอะไร

ทอม อิศรา

นั่นเลยเป็นจุดเริ่มต้นที่คุณเลือกเพลง ‘มือปืน’

เพราะตอนที่นึกได้ จริง ๆ แล้วผมไม่เคยประกวดอะไรแบบจริง ๆ จัง ๆ เลย แล้วความสามารถเรามันจะไปสู้ใครได้ เพราะว่าเราก็ไม่ใช่นักร้องสายโชว์พลังเสียง อยู่ดี ๆ ผมก็ไปนึกถึงเพลงเพื่อชีวิตที่ปกติก็ไม่เคยฟัง ก็ไปนั่งไล่ฟังดู จนมาเจอพี่ปู พงษ์สิทธิ์ ก็เริ่มฟังตั้งแต่เพลงดัง ๆ ก่อน ปรากฏว่าพี่เขาร้องดี ๆ กันทั้งนั้นเลย คนนั้นก็ดี คนนี้ก็ดี กูร้องไม่ได้อย่างเขาแน่ ๆ (หัวเราะ) งานยากแล้ว ยังไงดีวะ

ก็เลยไล่ฟังเพลงพี่ปูทีละอัลบั้ม จนมาเจอเพลง ‘มือปืน’ เราก็รู้สึกว่า “นี่มันอะไรวะเนี่ย…” พอใช้ความรู้สึกฟัง ทำไมเรารู้สึกชอบเพลงนี้จังเลย อยากฟังเพลงนี้ซ้ำ ๆ ฟังจนร้องตามได้ ก็เลยคิดว่า เออ หรือลองเอาเพลงนี้ไปประกวดดี น่าจะเป็นอะไรใหม่ ๆ ดีเหมือนกัน เพราะการประกวดครั้งนี้ ไม่มีใครรู้จักผมอยู่แล้ว ผมจะทำอะไรก็ได้ ไม่มีใครคาดหวังในความเป็นผมอยู่แล้ว

แล้วผมก็เข้ารอบ แล้วถ้าสังเกตในแต่ละรอบ ผมจะเลือกเพลงที่ไม่เหมือนกันเลย บางทีมีเพลงลูกทุ่ง เพลงโชว์พลัง เพลงใช้ความรู้สึก เพราะว่าในแต่ละรอบมันไม่ความคาดหวังจากคนดูอยู่แล้ว พอเข้ารอบแต่ละรอบ เราก็เลยสนุกในการเลือกเพลง เปลี่ยนแนวไปเรื่อย ๆ ในแต่ละรอบ

ทอม อิศรา

ซึ่งพอคุณร้องเพลง Cover ได้ดังมาก ๆ เพราะคุณเองก็เริ่มต้น ROOM39 จากการ Cover เพลง พอมาเป็นหน้ากากทุเรียน ก็ร้องเพลง Cover พอคุณทำเพลงเอง ในแชนแนลของคุณก็มีเพลง Cover อีก หลายคนอาจจะสังเกตว่า หรือจริง ๆ คุณทำเพลง Cover เพลงได้ดีกว่าร้องเพลงของตัวเอง หรือเพลงที่คุณทำเองหรือเปล่า คุณรู้สึกอย่างไรกับประเด็นนี้

ผมไม่ได้คิดอะไรนะ (ยิ้ม) ถ้าผมคิด ผมก็จะไม่มีกำลังใจในการทำอะไรเลย ผมคงจะเลิกร้องเพลง ทั้งเพลงของตัวเอง หรือเพลง Cover ด้วย ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่เราชอบ เราจะสนใจทำไม เราควรจะไปต่อหรือเปล่า

แล้วเพลงที่ผมเลือกมาร้อง ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นเพลงที่ดีจริง ๆ เพราะจริง ๆ สำหรับใครที่จะมองหรือคอมเมนต์เพื่อจะบั่นทอนเรา ผมก็คงไม่ได้รู้สึกอะไร ไม่ได้ต้องเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับใคร เราเอาความสุขในการร้องเพลงของเราเป็นที่ตั้งมากกว่า


บทที่ 4

‘TOM ISARA’

ทอม อิศรา

พูดถึงผลงานใหม่ ‘ไม่ใช่ไม่รู้สึก’ เพลงใหม่ล่าสุดที่คุณทำเองหน่อยว่าเป็นอย่างไรบ้าง

เพลงนี้ก็ได้พี่แทน ลิปตา (ธารณ ลิปตพัลลภ) มาแต่งให้ครับ ซึ่งนี่ก็เป็นเพลงที่ 2 แล้วที่พี่แทนเขียนเพลงให้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการร่วมงานกันอีกครั้งหนึ่ง

เพลงนี้เกิดจากการที่เราคุยกัน แล้วพี่แทนก็บอกว่า อยากให้เพลงนี้มันออกมาจากความรู้สึกของทอม ให้ลองเล่าออกมาว่าช่วงนี้ใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง คิดหรือรู้สึกยังไงบ้าง ส่วนในแง่กลิ่นอายเพลง เพลงนี้ก็จะฟังง่ายขึ้น ถ้าเทียบกับซิงเกิลของตัวเอง 2 ซิงเกิลแรกนะครับ เพลงนี้มีความ Catchy กว่า แต่ก็จะมีความยากอยู่ข้างใน

คือโดยตัวเพลงมันง่ายนั่นแหละ แต่พี่แทนมองว่าอยากให้มีเรื่องของเทคนิคการร้องที่ยากขึ้นนิดหนึ่ง ดูมีอะไรในเพลงให้มันมีความกลมกล่อมมากขึ้น ถ้าง่ายไปเลยมันก็ดูไม่ใช่ทอม แต่ถ้าจะให้ยากไปหมดเลย ทั้งเมโลดี วิธีการร้อง ต่าง ๆ นานา ก็อาจจะทำให้ฟังยาก

ทอม อิศรา

เท่าที่ฟังมา เหมือนคุณกำลังลาออกจากการทำงานประจำมาลองทำอะไรด้วยตัวเอง สิ่งที่คุณทำทุกวันนี้มันเติมเต็มความชอบของคุณที่อยากจะเป็นนักร้องบ้างไหม

สำหรับผม มันก็ไม่เชิงว่าจะเป็นการทำอะไรยิ่งใหญ่หรอกครับ เพียงแต่ว่าสิ่งที่ผมทำตอนนี้ ผมมองว่ามันเป็นการสร้างความภูมิใจให้ทอม อิศราอยู่ ผมกำลังทำสิ่งที่ผมอยากทำแค่นั้นเอง ผมคิดแค่ว่าผมอยากมีเพลง อยากทำเพลง อยากลองเป็นตัวเอง อยากลองทำสิ่งที่ตัวเองรู้สึก รู้สึกอย่างไรก็ทำแบบนั้น

ทอม อิศรา

คุณมีแผนข้างหน้าไหมว่า อยากทำอะไรต่อจากนี้ในนามของ ‘TOM ISARA’

จริง ๆ ตอนนี้ผมก็คงอยากทำไปเรื่อย ๆ นะครับ หรือต่อไปผมอาจจะลองทำอัลบั้มสักอ้ลบั้ม เป็นอัลบั้มที่เพลงไม่กระจัดกระจาย เพราะว่าเพลงที่ปล่อยออกไปตอนนี้มันเป็นซิงเกิล ซิงเกิลนี้อาจจะมีกลิ่นอายแบบนี้ ซิงเกิลอื่นก็มีกลิ่นอายแบบอื่น เพราะว่าตอนนี้ก็เป็นการทดลอง ถ้าจะทำอัลบั้ม ผมก็อยากได้โปรดิวเซอร์และทีมงานที่เป็นทีมเดียวกันทั้งหมดเลย ให้รู้สึกว่าคอนเซปต์ในอัลบั้มมันแข็งแรงและมั่นคง แล้วก็อยากให้เกิดภาพจำให้มากที่สุด

ทอม อิศรา

คำถามสุดท้าย ถ้า ณ วันนี้ มีคนมาถามคุณว่า ‘ทอม อิศรา’ เป็นใคร คุณจะอธิบายเขาอย่างไร

ก็คงต้องตอบว่า ผมก็คือทอม อิศราคนเดิมนี่แหละครับ เราคงไม่สามารถเป็นอะไรไปได้ ทอม อิศรา ก็คือ ทอม อิศรา เป็นทอมอิศราที่ไปทำงานนั้น ไปทำงานนี้ อะไรแบบนี้แหละครับ


พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส