พอพูดถึง Zweed n’ Roll ท่วงทำนองดนตรีที่จะดังขึ้นมาในใจก็คือท่วงทำนองของความหม่นเศร้า ล่องลอย แต่งดงาม เป็นบทเพลงเศร้าที่กลับทำให้เรารู้สึกอุ่นใจคล้ายมีคนอยู่ใกล้ ๆ คอยรับฟัง คอยปลอบโยนให้ความเศร้า ความเหงา ความช้ำนั้นจางหายไป เป็นเรื่องน่าแปลกที่บทเพลงเศร้าของพวกเขากลับเยียวยาความเศร้าได้เป็นอย่างดี ในวันนี้ Zweed n’ Roll ได้เติบโตขึ้นจากการเป็นวงอินดี้มาสู่ค่ายใหญ่อย่าง Warner Music ซึ่งการเติบโตครั้งนี้พวกเขาก็ยังคงรักษาไว้ซึ่งสุ้มเสียงอันเป็นเอกลักษณ์และในขณะเดียวกันก็ได้มีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอแฟน ๆ ด้วยเหมือนกันซึ่งล้วนแล้วแต่น่าประทับใจทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นซิงเกิลที่ปล่อยออกมาก่อนหน้านี้อย่าง “โลกใบเก่า” และซิงเกิลใหม่ที่ปล่อยทีเซอร์ออกมาแล้วและเรากำลังจะได้ฟังกันเต็ม ๆ พร้อม MV ในวันที่ 19 พ.ย.นี้ นอกจากนี้ยังมีข่าวดีว่าแฟน ๆ กำลังจะได้ฟังงานเพลงอัลบั้มเต็มชุดใหม่ของพวกเขาในเร็ววันนี้ เรามาพูดคุยกับพวกเขาถึงบทเพลงเศร้าที่เยียวยาจิตใจและหลากมุมมองที่น่าสนใจจาก Zweed n’ Roll กัน
Zweed n’ Roll
พัด–สุทธิภัทร สุทธิวาณิช (ร้องนำ)
ปูน–ณัฐพัชร์ สมิตนุกูลกิจ (กีตาร์)
มิน–ณัฐกร ศิลวัฒน์ (กีตาร์)
นิว–นิติ นิติยารมย์ (เบส)
ทัน–ธรรม์ ดำรงรัตน์ (กลอง)
ที่มาของชื่อวง
นิว : ชื่อนี้ผมเป็นคนตั้งครับคำว่า Zweed ถ้าตัดตัว Z ออกมันก็จะเป็น weed ใช่มั้ยครับก็กัญชาครับส่วน n’Roll ก็เป็น Rock n’ Roll ก็เป็นการผสมกันของสองอย่างนี้ครับ
แต่ละคนมีจุดเริ่มต้นในการเล่นดนตรียังไง
พัด : ของพัดน่าจะมาจากการฟังค่ะ ได้ยินพ่อเปิดที่บ้านตั้งแต่เด็ก ๆ ก็จะมีพวก Oldies ทั้งทางฝั่งสากลและไทยก็จะเป็นพวกสุรพล สุรชัย ชาย เมืองสิงห์ค่ะ แล้วเราก็ซึมซับมาเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นคนที่เล่นดนตรีเข้าโรงเรียนอะไรก็ไม่ได้เป็นคนที่ร้องเพลงเลย เพิ่งมาได้ร้องเพลงก็คือเข้ามหาลัยเรียนคณะดนตรีก็เป็นครั้งแรกเลยที่มีการเริ่มเล่นดนตรีเกิดขึ้น
นิว : ผมมีพี่ชายเค้าอยู่ประมาณ ม.ต้น ม.ปลายก็ไปดูเค้าเล่นแล้วเราก็รู้สึกว่าเฮ้ยมันมีอะไรแบบนี้ด้วยหรอก็เลยอยากจะเริ่มเล่นตอนแรกก็อยากจะเริ่มตีกลอง แล้วพอสักพักได้มาเรียนมัธยมก็ได้มาเจอเพื่อนบวกกับช่วงนั้นมันเป็นช่วงที่วงดนตรีมันเท่มากเป็นช่วงยุคชาวร็อกเลย Retrospect Bodyslam ช่วงนั้นเราวัยรุ่นด้วยก็อยากกระโดดโลดเต้นบนเวทีมันก็เลยเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้อยากเป็นนักดนตรีครับ
มิน : ของผมน่าจะมาจากตอนช่วงเด็ก ๆ เราชอบฟัง ชอบร้องเพลงไปด้วย แล้วก็เห็นลูกพี่ลูกน้องเค้าก็เล่นกีตาร์ร้องเพลงกัน มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราเห็นว่ามันสร้างคอร์ดให้เราร้องเองได้แล้วมันก็ยาวมาตั้งแต่นั้นครับ
ทัน : ของผมเริ่มมาจากเริ่มเล่นวงโย ฯ ตอนม.ต้นครับแล้วก็ทำวงงานโรงเรียนครับ
ปูน : ของผมคือที่บ้านให้เรียนเปียโนตั้งแต่ประถมแต่ไม่ได้ชอบนะครับ เราก็พยายามปฏิเสธไม่ชอบเรียน แต่ว่าพอโตเวลานั่งรถไปโรงเรียนก็จะได้ฟังเพลงตามคลื่นวิทยุพวก 97.5 อะไรแบบนี้ครับแล้วก็มีคลื่นเพลงสากลที่พี่สาวชอบเปิดให้ฟัง เราก็เริ่มแบบชอบและซึมซับมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาเข้ามัธยมต้นก็เห็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนเล่นตามงานโรงเรียน เราก็เลยรู้สึกว่ามันเท่ดีเราอยากทำอย่างนั้นบ้างเราก็น่าจะทำได้ก็เลยขอแม่ไปเรียนกีตาร์โปร่งครับแล้วก็เลยชอบ ตอนนั้นมีเพื่อนตามไปเรียนด้วย 2-3 คนแต่ก็เหลือแค่ผมที่ยังเล่นต่อ
แล้วมาเจอกันได้ยังไง
นิว : ก็เริ่มจากที่เรามาเรียนมหาลัยที่เดียวกันครับที่คณะดุริยางคศิลป์ ศิลปากร ตอนแรกก็ไม่ได้กะจะเริ่มวงอะไรแต่ด้วยความที่เรามีอะไรคล้ายกันเราก็เลยได้ hang out ที่หอด้วยกันบ่อย ๆ จนมาถึงปี 2 ที่เราไม่ค่อยมีเงินกันแล้วก็เลยคิดว่าเราน่าจะต้องเริ่มหาเงินกันแล้วก็เลยเริ่มเล่นดนตรีกลางคืนด้วยกันมันก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของวง Zweed n’ Roll ครับ
แล้วก็มาเล่นประจำที่ PLAY YARD อยากให้เล่าความทรงจำตอนที่ได้เล่นที่นั่นหน่อย
นิว : สำหรับผมถ้าไม่มี PLAY YARD Zweed n’ Roll ก็อาจจะไม่ได้เป็นอย่างทุกวันนี้ก็ได้ เพราะตอนที่เราเริ่มเล่นดนตรีกลางคืน เราก็เลือกเล่นเพลงสากล เล่นเพลงที่แบบไม่ได้แมสเท่าไหร่มันก็จะไม่ได้มีร้านเยอะที่รองรับดนตรีแนวนี้ แล้วเราก็มาเจอ PLAY YARD และก็ด้วยคำแนะนำของพี่โบ๊ตเจ้าของร้านด้วยหล่ะครับ ตอนแรกเราก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะมาทำเพลงเป็นศิลปินแต่พอเราไปออดิชันพี่เค้าก็แนะนำมาว่าเฮ้ยลองทำให้มันชัดเจนดูเลยมั้ย เราก็เลยแบบลองทำกันดูดีมั้ยมันก็เลยเกิดขึ้นเป็น Zweed n’ Roll ทุกวันนี้ครับซึ่งมันฟูมฟักเราหลาย ๆ อย่างมากครับเพราะแบบว่าการเลือกคัฟเวอร์เพลงต่าง ๆ มันก็ซึมอยู่ในตัวเราจริง ๆ
ซิงเกิลล่าสุด “โลกใบเก่า” มีที่มายังไง
พัด : ตอนที่เราทำเพลงนี้มันเป็นเพลงสุดท้ายที่ทำกันในอัลบั้ม เราคิดว่าเราน่าจะขาดเพลงที่อยากจะสื่อสารอยากพูดเรื่องนี้กับคนฟังได้ทุกกลุ่ม ก็เลยหยิบเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่พัดเห็นหลาย ๆ คนเจอความสัมพันธ์ toxic relationship แบบนี้บ่อย ที่แบบพอเราคบกันไปได้สักพักนึงแล้วมันเดินไปแล้วเจอทางตันที่เราเข้ากันไม่ค่อยได้ เราขัดแย้งกันตลอดเวลา แต่ด้วยอะไรหลาย ๆ อย่างมันไม่สามารถทำให้เราเลิกราหรือปล่อยมือกันไปได้ก็พบกับความบั่นทอนอะไรอย่างนั้นอยู่ มันก็เลยออกมาเป็นคีย์เวิร์ดว่าเหนื่อยแล้วพอได้แล้ว
เวลาพัดเขียนเพลงนี่มาจากประสบการณ์หรือเรื่องเล่าของคนอื่น
พัด : ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น หลัง ๆ ก็เริ่มหยิบเรื่องของคนอื่นมาเขียนบ้าง
ตอนนี้วงก็มาอยู่กับ Warner Music แล้วเป็นยังไงบ้างจากอินดี้มาอยู่ค่ายใหญ่ เริ่มย้ายมาตั้งแต่เมื่อไหร่
นิว : ช่วงกลางปีนี้เองครับ สำหรับเรา เราเคยทำอัลบั้มแรกเองอยู่แล้วรู้ process ว่ามันคืออะไร ตอนนี้เราก็อยากไปโฟกัสที่การทำเพลงแล้วมีทีมช่วยซึ่งเราค่อนข้างจะดีใจมากเพราะถ้าเปรียบเทียบกับ 6 ปีที่ผ่านมาหรือ 8 ปีที่ผ่านมาเราผลิตเพลงได้ปีละเพลงสองเพลงแต่ว่าในปีนี้เราสามารถทำกันจบอัลบั้มได้แล้ว
อัลบั้มใหม่เสร็จแล้ว
นิว : เรื่องการอัดเพลงก็เรียบร้อยแล้วครับ ตอนนี้ก็กำลังเตรียมการเรื่องอื่น ๆ ก็หวังว่าปลายปีต้นปีก็อยากให้ฟังกันได้เร็วที่สุดครับ
คอนเซ็ปต์ของอัลบั้มใหม่เป็นยังไง
นิว : ผมว่าสถานการณ์ในข่วงปีสองปีที่ผ่านมานี้มันค่อนข้างจะแย่และบั่นทอนมากเราเลยอยากแสดงให้รู้ว่ามีเราอยู่เป็นเพื่อนนะและเดี๋ยวเราจะไปด้วยกันต่อนะ
ช่วงโควิดที่ผ่านมาอยากให้วงเล่าประสบการณ์ว่ามันกระทบกับเรายังไงบ้างทั้งในแง่มุมมองการใช้ชีวิตและการทำเพลง
พัด : ถ้าอย่างของพัดจริง ๆ เรื่องการทำเพลงไม่ค่อยเปลี่ยนแต่เรื่องสุขภาพเปลี่ยนมากค่ะ เหมือนเราต้องอยู่กับตัวเองบ่อย ๆ มันก็เลยใส่ใจมากขึ้น ที่ผ่านมาเราไม่เคยดูแลเลยก็หันมาดูแลรักษามันสักที
มิน : สำหรับผมก็ทำให้ได้ลองมองอนาคตช่องทางในอนาคตเพราะเราไม่รู้ว่ามันจะมีอะไรแบบนี้อีกเมื่อไหร่ ทำให้นึกถึงอนาคตมากขึ้น
ปูน : ผมก็พยายามทำรูทีนให้มันดีที่สุด การใช้ชีวิตในแต่ละวันก็วางแผนว่าให้วัน ๆ นึงเราทำตัวให้มันมีประโยชน์มากที่สุดกับตัวเอง กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย หาความรู้เพิ่ม ต้องพยายามทำให้ตัวเองมีสุขภาพจิตที่ยังโอเคอยู่ครับ
ทัน : อย่างเรื่องเพลงนี่ไม่เปลี่ยนครับถ้าได้ซ้อมได้เจอกันบ่อย ๆ อย่างเรื่องชีวิตผมเองน่าจะเป็นผลกระทบเรื่องสุขภาพและก็ความคิด รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปบางอย่าง คิดว่าเหมือนค้นหาตัวเอง เคว้ง ๆ ครับ
นิว : สำหรับผมช่วงโควิดมานี่มันทำให้จิตใจมันแย่มาก มันไม่ง่ายจริง ๆ นะครับเหมือนเราก็ต้องเอ๊ะเราจะเอายังไงต่อกับชีวิตเรา ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับทุก ๆ คนนะครับเพราะผมเข้าใจว่ามันยากมากแล้วก็อยากให้รู้ว่า Zweed ก็ยังทำเพลงอยู่
มีคำกล่าวที่ว่า ‘ศิลปะนั้นช่วยคลายเหงา บรรเทาทุกข์ ฮีลเราได้’ Zweed มีความเห็นยังไงกับคำกล่าวนี้
พัด : ดนตรีน่าจะเป็นอะไรที่แบบเหมือนเค้าเรียกว่าส่งสารหรือรับสารได้ง่ายที่สุดในหมวดหมู่ศิลปะ มันน่าจะเกินคำว่าศิลปะไปด้วยซ้ำ มันก็เหมือนเพื่อนเหมือนกับสิ่งมีชีวิต ถ้าใครสักคนรู้สึกว่าไม่มีใครถ้าได้ฟังเพลงสักเพลงแล้วมันก็ทำให้รู้สึกว่าเยียวยาได้
นิว: อย่าง Zweed นี่พอพัดแต่งเพลงมาเราเล่นดนตรี เราก็เหมือนเราระบายสิ่งที่อยู่ในใจเรา บางทีมันก็พูดไม่ได้ว่าเราเศร้าหรือนู่นนี่ บางทีเราเล่นไปเราก็ระบายของเราก่อนและพอมีคนรับสารได้เค้าก็จะได้รู้ว่าเออมันมีคนแบบนี้อยู่นะ แล้วเค้าก็ยังอยู่ตรงนี้นะ
ปูน : มันช่วยฮีลกันได้จริง ๆ ครับ มันช่วยฮีลผมด้วยครับ อย่างบางทีผมดาร์ก ๆ บางทีผมก็ไปเปิดคอมเมนต์อ่านพวกยูทูบ มันก็มีคนที่แย่เหมือนกับเราบางคนเค้าก็บอกว่าดีขึ้นเพราะเพลงเรา มันก็ทำให้เราดีใจ
นิว : อย่างพวกคอมเมนต์นี่จริงครับ อย่างไปดูคอมเมนต์ล่าสุดเค้าบอกว่าเค้าเป็นโรคซึมเศร้าขอบคุณที่มีZ weed ยู่ในวันที่เค้าไม่มีใคร ผมรู้สึกว่าเพลงเราประสบความสำเร็จมาก ๆ แล้วครับ
พอพูดถึง Zweed นี่ความดาร์ก ความหม่น มันก็ลอยมาเลย อยากถามว่าทำไมเพลงของ Zweed มันดาร์กคงเส้นคงวาแบบนี้
พัด : น่าจะเป็นเรื่องราวที่เคยเจอแล้วก็สะสมมาเอามาเขียนเป็นเพลง
นิว : ส่วนเรื่องดนตรีนี่น่าจะเป็นประสบการณ์ของแต่ละคนครับ เราจะไม่ได้ตั้งใจให้มันเศร้า เราอาจจะอยากระบายหรือว่าเอาอะไรสักอย่างออกมาแล้วโทนมันเป็นแบบนี้ แล้วมันก็คงมาจากเพลงที่เราฟังที่คัฟเวอร์กันที่ PLAY YARD ด้วยครับ เพลงที่พัดร้องคล่องปากมันก็จะเป็นสไตล์นี้ด้วยครับ
Zweed เนี่ยทำให้เรารู้อย่างนึงว่าเวลาเราเศร้าหลายครั้งเราอาจรู้สึกว่าต้องไปหาอะไรสนุก ๆ ฟังเพลงร่าเริง แต่กลายเป็นว่าเพลงแบบ Zweed มันกลับฮีลคนที่กำลังเศร้า เหมือนเอาความเศร้ามาฮีลความเศร้า ทำไมเพลงเศร้ามันถึงช่วยฮีลความเศร้าได้ เหมือนหนามยอกเอาหนามบ่ง
นิว : ผมยกตัวอย่างง่าย ๆ อยากให้ดูเรื่อง Inside Out ที่เป็นการ์ตูนของ Pixar ที่มันจะมีตัว Sadness อยู่ บางทีเราจะบอกให้คนเศร้าไปสนุกไปมันส์กันบางทีเราก็ยังไม่พร้อม แค่อยู่เป็นเพื่อนกันก่อนบางทีไม่ต้องแนะนำอะไรก็ได้แค่รู้ว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียว
มิน : ล่าสุดไปเจอสารคดีที่เค้าพูดถึงสารที่มันออกมากับน้ำตาอะไรอย่างนี้อ่ะครับ มันเหมือนกับเป็นการที่ร่างกายเราได้บรรเทาความรู้สึกเจ็บปวดทางร่างกายไปด้วย
นิว : แบบว่าอยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเลยไม่ต้องกลั้นไว้ก็ได้ เพราะถ้าเรากลั้นไว้เราอาจจะไม่ร้องไห้แต่เราอาจไปทำอะไรที่มันแย่กว่านั้นเพราะเราเก็บความรู้สึกนั้นไว้จนวันนึงมันไม่ไหวแล้วเราก็ไม่รู้ตัวว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เหมือนเราจะเชื่อกันว่าการร้องไห้มันคือความอ่อนแอโดยเฉพาะกับผู้ชายมันเลยทำให้คนไม่กล้าร้องไห้
นิว : ใช่ครับ ๆ จริง ๆ เราอาจจะมองได้ว่ามันเป็นความกล้าหาญที่เราได้แสดงส่วนที่อ่อนแอที่สุดของเราออกมาครับ
อัลบั้มใหม่ยังมีเพลงสองภาษา ไทย-อังกฤษ เหมือนเดิมมั้ย
พัด : มีค่ะมีทั้งไทยและอังกฤษเลย
นิว : แต่สัดส่วนมันจะสลับกันหน่อยครับอัลบั้มแรกมีภาษาอังกฤษ 6 เพลงภาษาไทย 3 เพลง อัลบั้ม 2 ก็จะมีเพลงภาษาอังกฤษ 3 เพลงเพลงไทย 9 เพลงอะไรอย่างนี้ครับ
ปกติแฟน ๆ มี feedback เพลงไทย-อังกฤษยังไงบ้างครับ อย่างบางวงแต่งเนื้ออังกฤษแล้วแฟน ๆ ก็ไม่คุ้น
พัด : พัดว่ามันมีคนชอบทั้งสองอย่างและเหมือนเป็นโชคดีของเราด้วยมั้งคะที่เราเผอิญทำทั้งสองอย่างพร้อมกันพอดีก็เลยไม่ต้องมีการโต้เถียงว่าเราควรทำอะไรมากกว่ากัน
ในแง่การแต่งเพลงแบบไหนแต่งยากง่ายกว่ากัน
พัด : ภาษาไทยยากค่ะยากตรงที่เมโลดี้ คือพัดเป็นคนที่ค่อนข้างจะโอลด์สคูลในการแต่งเพลงภาษาไทย เป็นเรื่องของวรรณยุกต์ที่พอผันแล้วคำมันจะเพี้ยนมันก็เลยมีความยากตรงนี้ว่าเราจะเขียนเนื้อเพลงยังไงที่เราชอบและตรงกับเมโลดี้ที่เราชอบด้วย ส่วนความยากของภาษาอังกฤษก็คือมันไม่ใช่ภาษาแม่ของเรา แต่ว่ามันก็จะมีความฟรีกว่าในเรื่องของเมโลดี้และเรื่องพาร์ตดนตรีที่ไหลไปได้ไกลมากค่ะ
นิว : อย่าง Adele เพลงล่าสุด (‘Easy on Me’) นั่นแหละครับยาวเลย
เพราะซิงเกิลล่าสุดของ Zweed ชื่อว่า “โลกใบเก่า” ถ้าให้ออกจากโลกใบนั้นมาสู่โลกใบใหม่อยากถามว่า “โลกใบใหม่” ที่ Zweed อยากให้เป็นนั้นมันเป็นยังไง
พัด : ความคิดแรกที่นึกขึ้นมา (หัวเราะ) พูดได้มั้ย ก็เป็นโลกที่ปลอดภัยค่ะ แล้วก็มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ปูน : ของผมคงเป็นโลกที่แบบว่าไม่ต้องกังวลกับการแสดงออกอะไร ไม่ต้องโดนปิดกั้นอะไร รู้สึกปลอดภัยในการที่จะพูดอะไรก็ได้ ทำอะไรก็ได้โดยที่ไม่เบียดเบียนคนอื่น
นิว : ถ้าโลกใบใหม่ทำอะไรไม่ค่อยได้ก็อยากให้กัญชาถูกกฎหมายสักทีครับ (หัวเราะ)
ทัน : ของผมก็ยังครับ ตอนนี้ไม่ค่อยครับ (หัวเราะ)
พัด : ยังโอเคกับโลกใบเก่า (หัวเราะ)
มิน : ขอให้เป็นแบบไหนก็ได้ครับที่ดีกว่าตอนนี้ ขอให้ดีขึ้นมาทีละหน่อยก็ยังดี
จากวันแรกที่เริ่มเดินทางมาจนวันนี้ก็ 9 ปีแล้ว หากมองย้อนกลับไปอะไรคือบทเรียนที่สำคัญที่สุดบนเส้นทางสายดนตรีของ Zweed
พัด : เรื่องเวลาค่ะพัดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาเราปล่อยให้เวลามันผ่านไปนานเกินไป ด้วยอาชีพของการเป็นนักดนตรี เรนจ์ของอาชีพมันสั้นมาก ๆ และถ้าเราปล่อยมันก็กินไปครึ่งนึงแล้ว เราก็เหลืออยู่แค่ไม่กี่สิบปีกลายเป็นคนอีกยุคนึงไปแล้ว พัดว่าเวลาสำคัญมากค่ะ
นิว : สำหรับผมก็คงเป็นเรื่องของความรัก ผมเชื่อว่าเรารักในเสียงดนตรีจริง ๆ ครับ ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็แล้วแต่ เรารักอะไรมาก ๆ เราก็พยายามจะอยู่กับมันให้ได้และพยายามผ่านปัญหาทุกอย่างไปเหมือนที่ Zweed ทำอยู่ครับ
ทัน : ของผมขอเป็นเรื่องการตัดสินใจแล้วกันครับ การตัดสินใจสักอย่างนึงมันสำคัญมากต่อตัวเองในอนาคตครับ
มิน : ของผมก็จะเป็นเรื่องอีโก้เรามีมันมากน้อยแค่ไหน แล้วก็ควรใช้มันตอนไหนกับใครมากกว่า ควรใช้มันกับงานมั้ย กับเพื่อนเราควรใช้มั้ย ก็เป็นอะไรทีได้เรียนรู้ครับ
ปูน : ผมเป็นความกล้าครับ เหมือนเรากล้าที่จะลองอะไรใหม่ ๆ โดยไม่ต้องไปฟังเสียง หรือแคร์อะไรของคนที่ไม่สำคัญกับเรามาก จะได้เหมือนก้าวข้ามโลกใบเก่านี้ไปครับ
Zweed อยากฝากอะไรกับแฟน ๆ
พัด : ก็ฝากอัลบ้มใหม่ที่กำลังจะออกของพวกเราด้วยนะคะ แล้วก็ฝากเพลง “โลกใบเก่า” ด้วยค่ะมีให้ฟังกันทุกช่องทางในสตรีมมิงและก็มี MV ให้ดูด้วยค่ะ
นิว : และก็ในเดือนนี้ก็จะมีซิงเกิลใหม่เป็นเพลงสากลและเราภูมิใจที่จะพรีเซนต์มันมาก ๆ เราอยากที่จะรู้ว่าทุกคนคิดยังไงแต่สำหรับเราเราภูมิใจกับมันมาก ๆ เลยครับ
ปูน : ฝากติดตามเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ tiktok ด้วยนะครับ (หัวเราะ)
นิว : และก็ดูแลสุขภาพกันดี ๆ ครับ ผมรู้ว่ามันแย่มากก็จะไม่บอกว่าให้สู้ ๆ แต่อยากจะบอกว่าเข้าใจนะยังไงก็มีเราเป็นเพื่อนนะ ก็อยากให้มาเจอกันเผื่อว่าเราจะผ่านมันไปด้วยกันได้ครับ
สามารถฟังซิงเกิลภาษาอังกฤษเพลงล่าสุดจาก Zweed n’ Roll ‘Fighter’ ได้แล้ววันนี้
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส