Release Date
30/12/2021
แนว
แอ็คชัน/ผจญภัย/ตลก
ความยาว
2.11 ชม. (131 นาที)
เรตผู้ชม
น 18+ / R
ผู้กำกับ
Matthew Vaughn (แมทธิว วอห์น)
Our score
8.0The King’s Man | กำเนิดโคตรพยัคฆ์คิงส์แมน
จุดเด่น
- เติมมุมมองของหนังสายลับในแบบฉบับของ Kingsman ได้น่าสนใจโดยไม่ต้องอ้างอิงชื่อเสียงจากภาคหลักมากนัก
- ดัดแปลงและยั่วล้อเกร็ดสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้น่าสนใจดี คอประวัติศาสตร์น่าจะชอบ
- พาร์ตแอ็กชันยังทำได้ดี ไม่ได้เน้นความไฮเทคและเทคนิคแพรวพราวจัดจ้าน แต่เน้นลูกเล่นหวือหวา และมุมกล้องแปลกใหม่
จุดสังเกต
- ปูเรื่องสู่การกำเนิดคิงส์แมนค่อนข้างนาน คนไม่ชอบประวัติศาสตร์อาจรู้สึกว่าน่าเบื่อ
- ตัวหนังยังเล่าแบ็กกราวนด์และเล่าเรื่องฝั่งตัวร้ายได้ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่
- การเผยโฉมตัวร้าย "ตัวจริง" ยังไม่ค่อยว้าวเท่าที่ควร
-
ความสมบูรณ์ของเนื้อหา
7.9
-
คุณภาพงานสร้าง
7.3
-
คุณภาพของบท / เนื้อเรื่อง
8.6
-
การตัดต่อ / การลำดับ และการดำเนินเรื่อง
8.1
-
ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม
7.9
เรื่องย่อ เมื่อโลกต้องพบกับมหาวายร้ายที่หมายจะล้างบางมวลมนุษย์ บุรุษหนึ่งคนพร้อมลูกชายของเขาจะต้องร่วมมือกันปกป้องโลกให้ทันเวลาอย่างมีสไตล์
หลังจากที่ผู้กำกับอย่าง ‘แมทธิว วอห์น’ (Matthew Vaughn) ได้พาเราไปรู้จัก ‘คิงส์แมน’ (Kingsman) หน่วยสืบราชการลับสุภาพบุรุษสุดเนี้ยบที่ไม่ขึ้นตรงต่อหน่วยงานใด ๆ มีสำนักงานที่แอบซ่อนไว้ภายใต้ร้านตัดสูท ณ ถนนซาวิลล์ โรว์ (Savile Row) ประเทศอังกฤษมาแล้วถึง 2 ภาค ทั้ง ‘Kingsman: The Secret Service’ (2015) ที่เน้นความหล่อเท่ และ ‘Kingsman: The Golden Circle’ (2017) ที่แหวกแนวและเปี่ยมลูกบ้า
แต่คราวนี้ สุภาพบุรุษคิงส์แมนกลับมาอีกครั้งใน ‘The King’s Man’ หรือ ‘กำเนิดโคตรพยัคฆ์คิงส์แมน’ ที่ไม่ได้นับเป็นหนังภาค 3 แต่เป็นภาพยนตร์ Prequel (หรือเรียกว่าเป็น Spin off หรือหนังภาคขยายก็ได้ เพราะว่าเนื้อหาไม่ได้ต่อจากสองภาคที่แล้ว) ที่จะพาย้อนกลับไปยังยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ค้นหาที่มาที่มาที่ไปของหน่วยคิงส์แมนที่มีต้นกำเนิดยาวนานนับร้อยปี
ตัวหนังเล่าย้อนไปในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ดยุก ‘อ็อกฟอร์ด’ (Ralph Fiennes) ได้สูญเสียภรรยาไปอย่างกะทันหันในระหว่างภารกิจส่งสเบียงให้กับทหาร เขาให้คำสัญญากับภรรยาว่าจะปกป้องลูกชายคนเดียวอย่าง ‘คอนราด’ (Harris Dickinson) ผู้มีความใฝ่ฝันว่าอยากจะเป็นทหารไม่ให้เข้าร่วมรบ จนกระทั่งเมื่อเกิดเหตุลอบสังหารจักรพรรดิแห่งออสเตรีย กลายเป็นชนวนเหตุแห่งสงครามโลกครั้งที่ 1 อันเป็นแผนของ ‘คนเลี้ยงแกะ’ ที่คอยชักใยการเมืองของประเทศร่วมสงครามอยู่เบื้องหลัง ดยุกอ็อกฟอร์ดจึงได้เผย “เครือข่ายคนรับใช้” ที่คอยสอดแนมหาข่าวกรองทั่วทุกมุมโลก ที่มีแม่บ้านอย่าง ‘พอลลี’ (Gemma Arterton) และ ‘โชลา’ (Djimon Hounsou) สารถีรถม้าเป็นสมาชิกลับ ๆ ให้คอนราดได้รับรู้ ซึ่งเครือข่ายนี้นี่แหละคือต้นกำเนิดที่จะกลายไปเป็นหน่วย Kingsman ในเวลาต่อมา
แม้ว่าจะเป็นหนังที่เป็นภาคต่อจาก Kingsman ทั้งสองภาค แต่ก็ต้องขอเบรกเอี๊ยดก่อนนะครับ ถ้าหากว่าอยากจะไปดูแอ็กชันมัน ๆ ล้ำ ๆ เปี่ยมลูกบ้า หรืออยากไปดูความทันสมัยเท่เนี้ยบเฉียบคมในแบบสองภาคก่อนหน้านี้ เพราะว่าตัวหนังเรื่องนี้เป็นหนัง Prequel ที่พาย้อนไปหาตำนานต้นกำเนิดของหน่วยข่าวกรองคิงส์แมนแบบจริง ๆ จัง ๆ โปรดักชันดีไซน์โดยรวมก็เลยพาย้อนไปในยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 แบบชัดเจนซะจนแทบไม่หลงเหลือภาพของหนังแอ็กชันล้ำ ๆ และพล็อตเปี่ยมลูกบ้าเหมือนอย่างสองภาคก่อนหน้าเลยแม้แต่น้อย แต่แทนที่ด้วยการเล่าเรื่องแบบหนังแอ็กชันที่ผสมรายละเอียดเกี่ยวกับการเมือง สงคราม และนำเสนอผ่านเรื่องราวของสายลับอังกฤษสมัยโบราณขนานแท้
สิ่งที่เป็นจุดเด่นอย่างชัดเจนของหนังเรื่องนี้ก็คือการหยิบเรื่องราวประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกมาตีความใหม่และดัดแปลงได้อย่างโดดเด่นและกลมกลืนมาก ๆ ครับ นอกจากว่าจะหยิบเอาเกร็ดประวัติศาสตร์ที่มีอยู่จริง รวมทั้งการใส่บุคคลที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ เช่นจักรพรรดิ กษัตริย์ ประธานาธิบดี รวมถึง ‘รัสปูติน’ (Rhys Ifans) ผู้อื้อฉาว หรือแม้แต่ดยุกอ็อกฟอร์ดเองก็ได้แรงบันดาลใจจาก ‘ทีอี ลอว์เรนซ์’ (T. E. Lawrence) สายลับอังกฤษสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่มีตัวตนอยู่จริง
รวมทั้งการดัดแปลงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เช่นการล่มสลายของจักรวรรดิรัสเซียด้วย แม้ว่าตัวหนังจะเล่าเกร็ดประวัติศาสตร์เอาไว้แบบหลวม ๆ แต่ก็ไม่ใช่แค่การเล่าประวัติศาสตร์ที่เอามาจับคู่กับตำนานสายลับคิงส์แมนที่เป็นเรื่องแต่ง ก่อนที่จะค่อย ๆ เฉลยที่มาที่ไปเล็ก ๆ น้อย ๆ ของสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยคิงส์แมน (ที่คนดูภาคก่อน ๆ แล้วน่าจะเก็ต) เพียงเท่านั้น
แต่ตัวหนังยังผสมผสานและแอบบิดประวัติศาสตร์ใหม่ ด้วยการเพิ่มพล็อตให้ตัวแทนประเทศต่าง ๆ ถูกควบคุมและยุแยงให้ทำสงครามกันอย่างลับ ๆ โดย “คนเลี้ยงแกะ” ได้อย่างแนบเนียนกลมกลืน ชนิดที่ดูแล้วเชื่อว่าสายลับคิงส์แมนอาจจะมีอยู่จริง และที่เกิดสงครามโลกก็อาจจะเป็นเพราะผู้ชายเพียงคนเดียวก็ได้นะครับ (555) เรียกได้ว่าตัวหนังในครึ่งแรกนี่คือมีความเป็นโทนหนังการเมืองแบบซีเรียส ๆ อยู่พอสมควร คอประวัติศาสตร์สงครามโลกที่พอจะรู้ปูมหลังอยู่แล้วน่าจะดูแล้วอึ้งและชื่นชอบได้ไม่ยาก
แม้ว่าตัวหนังเองจะไม่ได้สานต่อจากสองภาคก่อนหน้า แต่ก็ต้องชื่นชมว่าตัวหนังเองยังคงดีเอ็นเอของหนังฉบับคิงส์แมนเอาไว้นะครับ ทั้งอารมณ์ขันที่คราวนี้ตัวหนังแฝงอารมณ์ขันสไตล์ผู้ดีอังกฤษเอาไว้แบบให้ได้พอยิ้ม ๆ และฉากแอ็กชัน ที่แม้ว่าในภาคนี้จะไม่ได้มีเยอะ ใส่ลูกบ้าแพรวพราว ความเนี้ยบหล่อเท่ และถล่มเครื่องมือไฮเทคแบบจัดเต็มเหมือนกับสองภาคหลัก แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยแอ็กชันแบบโบราณ เช่นฟันดาบ การใช้มีด หรือสู้มือเปล่าเข้ามาแทน
แต่ถึงกระนั้น ตัวฉากแอ็กชันก็ยังแอบสอดแทรกความหวือหวา เช่น มุมกล้องแปลกแหวกแนว ใส่การเต้นลีลาศระหว่างต่อสู้ หรือใส่ฉากสังหารแบบโหด ๆ เข้ามาให้ได้ตื่นเต้น หรือเพลงประกอบที่ฉีกจากภาพอย่างที่หนัง Kingsman ทำในทุก ๆ ภาคก็ยังคงมีอยู่ ส่วนฉากต่อสู้ในสนามรบก็ทำได้ออกมาตึงเครียดในระดับเดียวกับหนังสงครามเพียว ๆ เลย รวมทั้งยังมีจุดพีกหักมุมให้ได้เซอร์ไพรส์ได้ตลอด (แม้ว่าจะมีบางซีนที่ยังมีความหลุด ดูโม้ ๆ การ์ตูน ๆ อยู่บ้างก็เถอะนะ (555)
ส่วนถ้าจะมีข้อสังเกต ก็มีอยู่สองจุดใหญ่ ๆ ครับ นั่นก็คือการให้รายละเอียดเกี่ยวกับแก๊งตัวร้าย ทั้งสมาชิกและคนเลี้ยงแกะ ที่เป็นหัวหน้าใหญ่สุดนั้นผู้เขียนมองว่า ตัวหนังยังไม่ได้ให้รายละเอียดกับฝั่งตัวร้ายสักเท่าไหร่ เป็นการเล่าแบบบาง ๆ แค่ว่าเป็นการประชุมกันระหว่างตัวแทนชาติต่าง ๆ ที่จะคอยไปเสี้ยมชักใยชาติของตัวเองให้ทำตามความต้องการของคนเลี้ยงแกะเพียงเท่านั้น จนทำให้ในบางครั้ง ตัวร้ายเองก็ดูไม่ค่อยจะน่ากลัวสักเท่าไหร่
และที่สำคัญคือ การเผยโฉมที่แท้จริงของคนเลี้ยงแกะ ที่อุตส่าห์ปิดบังเอาไว้ตลอดทั้งเรื่องว่าเป็นใคร สำหรับผู้เขียนคิดว่ายังไม่ว้าวเท่าที่ควรครับ และอีกจุดก็คือ ด้วยความที่ตัวหนังทั้งเรื่องนั้นให้เวลากับการปูที่มาของคิงส์แมนอย่างเต็มที่ โดยมีแกนของประวัติศาสตร์โลกมาขับเคลื่อนเรื่องราว ถ้าใครที่พอจะรู้ปูมหลังอยู่แล้วน่าจะดูแล้วอินได้ไม่ยาก แต่สำหรับคนที่ยังไม่เข้าใจปูมหลังประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็อาจจะรู้สึกว่าตัวหนังแอบเนือย ๆ ไปนิด กว่าจะเดินเรื่องมาถึงจุดที่ดยุกอ็อกซ์ฟอร์ดได้ก่อตั้งหน่วยคิงส์แมนขึ้นมาแล้ว ก็ถือว่าใช้เวลานานเกือบทั้งเรื่องอยู่เหมือนกัน
สรุปโดยรวม จริง ๆ กระแสคนดูในต่างประเทศสำหรับภาคนี้ค่อนไปทางลบนะครับ เรียกว่าแทบจะซ้ำรอยกับภาค 2 หรือภาค The Golden Circle เลยแหละ แต่สิ่งที่ผู้เขียนเองอยากจะบอกหลังจากดูก็คือ สำหรับภาคนี้ส่วนตัวผู้เขียนเองคิดว่าเกินคาดครับ และชอบมากกว่าภาค 2 ด้วยซ้ำ สำหรับแฟน ๆ สายลับคิงส์แมน หนังเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นการเติมเต็มจักรวาลสายลับ Kingsman ที่น่าจะสมกับการรอคอยหลังจากเลื่อนฉายมาตั้งแต่ปีที่แล้วนะครับ
เพราะตัวหนังเองก็เต็มไปด้วย Easter Egg และที่มาของสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับหน่วยคิงส์แมนเอาไว้ได้แบบแทบจะครบถ้วน (เพียงแต่ว่าต้องให้หนังปูเรื่องนานหน่อย) และสำหรับคอประวัติศาสตร์ หนังเรื่องนี้ก็น่าจะถูกใจในแง่ของการหยิบเอาประวัติศาสตร์มาบิดใหม่ให้น่าสนใจขึ้น จนเรียกได้ว่า หนังเรื่องนี้น่าจะเป็นสปินออฟที่ต่อยอดไปสู่จักรวาลหนังสายลับ Kingsman ได้อย่างน่าสนใจ และน่าไปดูซ้ำเก็บรายละเอียดอยู่เหมือนกันครับ
ปล. 1 ตัวหนังมีฉาก Mid-credits 1 ตัวนะครับ ใครที่ชอบประวัติศาสตร์สงครามโลกต้องรอดูเลย ว้าวแน่นอน อันนี้ผู้เขียนก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะมีอะไรต่อยอดหรือไม่ หรือทำมาแค่เซอร์ไพรส์คนดูเฉย ๆ
ปล. 2 สำหรับใครที่สงสัยว่า จำเป็นที่จะต้องดู 2 ภาคแรกไหม ผู้เขียนคิดว่าจำเป็นครับ เพราะอย่างน้อย ๆ ก็จะได้เข้าใจภาพรวมของหน่วยคิงส์แมนได้อย่างเห็นภาพ และที่สำคัญจะรู้สึกสนุกไปกับการเก็บ Easter Egg ที่ตัวหนังภาคนี้ได้สอดแทรกรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับองค์กรคิงส์แมนไว้ตามรายทาง และเป็นการเผยที่มาที่ไปของรายละเอียดยิบย่อยได้อย่างครบถ้วนด้วย (ทั้งสองภาคมีให้ดูใน Disney+ Hotstar ครับ)
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส